ตอนที่ 229 คลอดอย่างราบรื่น

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เอนนอนอยู่บนเตียงอย่างเงียบสงบ สัมผัสถึงการเคลื่อนไหวของเด็กน้อยในท้อง สองชั่วยามก่อน นางได้มีน้ำคร่ำไหลออกมา แม่นมฉินรีบไปเชิญอินหงหลันเข้ามาทันที หมอตำแยสองคนที่เตรียมไว้อยู่นานก็ถูกเรียกเข้ามาที่เรือนมีคู่เช่นกัน ทางโรงครัวได้เริ่มต้มน้ำร้อน ตระเตรียมเรื่องต่างๆ อย่างเพียบพร้อม และนางนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความกระวนกระวายใจอยู่บ้าง

ในทางตรงกันข้าม ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลับใจเย็นที่สุด นางทำตามคำแนะนำของซินหรันอย่างระมัดระวัง ใช้มือลูบท้องอย่างเบาๆ เพื่อปลอบประโลมเด็กน้อยที่กระสับกระส่ายไปพลาง ทั้งค่อยๆ ปรับลมหายใจของตนเองไปพลาง สัมผัสความ รู้สึกหดเกร็งของท้องที่ส่งมาเป็นพักๆ อย่างละเอียด

“ยังฝังเข็มให้มี่เอ๋อร์ไม่ได้หรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรออยู่ด้านนอกห้อง กล่าวถามอินหงหลันที่กำลังจิบชาอย่างอิ่มเอมใจ นางมั่นใจเป็นอย่างมากว่า ขอเพียงแค่อินหงหลันเข้าไปฝังเข็มให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางก็ย่อมคลอดเด็กได้โดยเร็ว

“ยังไม่ถึงเวลา” ที่จริงอินหงหลันกลับไม่ได้มีท่าทีไม่สนใจอันใดเหมือนที่เขาแสดงออกมา เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์มาแล้ว การฝังเข็มสำหรับมารดานั้นทำให้สบายอยู่มาก แต่กับเด็กในครรภ์แล้วใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เยี่ยนมี่เอ๋อร์จึงปฏิเสธการฝังเข็มอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตัดสินใจให้ตัวเองทนเจ็บเสียหน่อย คลอดบุตรตามธรรมชาติย่อมดีกว่า

“ยังไม่ถึงเวลาอีกแล้ว!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้ออยากจะดึงคอเขามาเค้นถามคำตอบ แต่มาคิดดู อย่าเพิ่งทำดีกว่า…ย่อมยังมีอะไรที่ต้องขอร้องเขาแน่ ตอนนี้ไม่อาจจะล่วงเกินเขาได้

“นายท่านและเจวี๋ยเอ๋อร์ยังไม่กลับมาหรือ?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อถามถึงสองพ่อลูกที่ไปเรือนพำนักอวี้ฉิงตั้งแต่เช้าตรู่ อินหงหลันเอาแต่พูดว่ากำหนดคลอดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์คงจะยังสักอีกสองวัน พวกเขาก็เชื่อตามนั้น ไม่ได้รั้งตัวอยู่ในจวน เดินทางไปขอชื่อของเด็กน้อยจากท่านบรรพชน

“พวกเรากลับมาแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว เห็นอินหงหลันก็ถามทันที “ลุงอิน มี่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ยังเพิ่งเริ่มเจ็บเท่านั้น หากจะคลอดยังต้องรอเวลาอีกสักพัก!” อินหงหลันกล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ป้าของเจ้าดูแลอยู่ในนั้นไม่มีเรื่องอันใดหรอก เจ้าก็นั่งลงตรงนี้ดีๆ ก่อนเถิด!”

“ข้าจะเข้าไปดู!” ซั่งกวนเจวี๋ยไหนเลยจะนั่งลงได้ ฟังจบก็ฝ่าเข้าไปอย่างไม่สนกฎเกณฑ์อันใด กลับพบหมอตำแยไม่กี่คนกำลังนั่งพักอยู่ฟากหนึ่ง แม่นมฉินและซินหรันเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ส่วนพวกสาวใช้แม่นมก็นั่งเงียบๆ เป็นกลุ่มอยู่ด้านข้าง แทบไม่มีบรรยากาศตึงเครียดของห้องคลอดอย่างที่ควรจะเป็นแม้แต่น้อย

“มี่เอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?” ในที่สุดซั่งกวนเจวี๋ยก็เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางกำลังเอนกายอยู่บนเตียง ดูแล้วคล้ายกับสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก ทว่าใบหน้ากลับซีดขาวอยู่บ้าง เม็ดเหงื่อไหลลงจากผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงหยดแล้วหยดเล่า แม่นมฉินมองนางด้วยท่าทีว้าวุ่นใจ มือทั้งสองข้างจับผ้าปูที่นอนแน่น ด้านซินหรันกลับเผยท่าทีเฉกเช่นปกติเช็ดเหงื่อให้นางอย่างระมัด ระวัง

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้มออกมา นางในยามนี้ไม่กล้าฟุ้งซ่านแม้แต่น้อย ทั้งยิ่งไม่กล้าใช้แรงอันใดมาก นางไม่อยากจะอาศัยการฝังเข็มของอินหงหลัน นั่นจะไม่ดีกับเด็กในครรภ์เท่าใด ซินหรันก็เอาแต่พูดว่าเริ่มแรกตัวเองนั้นให้กำเนิดอย่างราบรื่นอย่าง ไร ให้นางได้คลายความหวาดกลัว แต่ความหวาดกลัวที่ฝังลึกในใจ หากจะให้หายไปในทันทีก็ย่อมเป็นไปไม่ได้

“มี่เอ๋อร์ไม่อาจเป็นอันใดหรอก ข้าอยู่ที่นี่ทั้งคน!” ตั้งแต่ซั่งกวนเจวี๋ยเข้ามา ซินหรันที่พุ่งสมาธิไปกับการหวีผมหวีเผ้าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้เรียบร้อยก็ดึงสติกลับมา ขยับไปด้านข้างเพื่อเหลือที่ว่างให้ “ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะไม่ยอมออกมา เจ้าพูดกับเขาเสียหน่อย อย่างไรเขาก็ชอบฟังเสียงของเจ้ามาโดยตลอด!”

“เจ้าตัวเล็ก นี่พ่อเอง!” ซั่งกวนเจวี๋ยแนบมือกับหน้าท้องของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะประทับริมฝีปากตามไป แย้มยิ้มเล็กน้อย “พ่ออยากเห็นว่าเจ้าตัวเล็กจะโตมาเป็นอย่างไรแล้ว เจ้าอยากเห็นพ่อบ้างหรือเปล่า? หากอยากก็ออกมาอย่างดีๆ เสีย พ่อรออุ้มเจ้าอยู่…”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์เห็นซั่งกวนเจวี๋ยพูดอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น ในใจก็รู้สึกตื้นตันขึ้นมา ตั้งแต่ที่ตัวเองเริ่มตั้งท้อง ผู้ชายคนนี้ก็อยู่ข้างกายของตนมาโดยตลอด แม้จะไม่ได้ถึงกับอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่ก็เอาใจใส่และอดทนในฐานะสามีที่น้อยคนจะทำได้ คอยคุยเล่นกับตัวเอง พูดคุยกับลูกในท้อง มักจะใช้มือแนบกับท้องอย่างระมัดระวัง ให้เจ้าเด็กซุกซนได้รู้จักเขา ทั้ง หมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นความอบอุ่น และสุขใจอย่างมาก ขณะที่คิดอยู่ อาการปวดท้องก็ทวีความรุนแรงขึ้นมา นางอดครวญครางออกมาไม่ได้ ซินหรันตื่นตัวขึ้นมาทันที กล่าวถามอย่างร้อนใจ “มี่เอ๋อร์จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กัดฟันผงกศีรษะ ซินหรันเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้าอย่างเสร็จสรรพแล้ว รีบยัดของเข้าไปในปากให้นางกัดอย่างช่ำชอง ดึงตัวซั่งกวนเจวี๋ยออกไปอย่างรวดเร็ว หมอตำแยทั้งสองคนก็พาแม่นมฉินออกมาไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม คนหนึ่งผลักซั่งกวนเจวี๋ยที่ยืนแข็งเป็นท่อนไม้ออกไป ก่อนจะตะโกนเสียงดัง พวกสาวใช้ก็พากันขยับขึ้นมาทันที ใครจะทำอะไรก่อนหน้านี้ก็ได้กำชับไว้แล้ว ต่างคนต่างก็ไปทำเรื่องของตัวเอง

ซั่งกวนเจวี๋ยคล้ายกับถูกคนสกัดจุดแล้วผลักออกมา หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรีบถลาเข้ามาทันที “มี่เอ๋อร์เป็นอะไร? จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”

ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้าอย่างนิ่งงัน สมาธิทั้งหมดล้วนจดจ่ออยู่กับการเคลื่อนไหวในห้องคลอด เขาได้ยินเพียงเสียงให้กำลังใจของหมอตำแย ซินหรันที่ดูเหมือนจะออกคำสั่งอย่างใจเย็น ส่วนอย่างอื่นก็ฟังไม่ชัดแล้ว พวกสาวใช้ล้วนพยายามทำให้การเคลื่อนไหวของตัวเองเงียบเชียบที่สุด ดังนั้นเสียงอื่นจึงไม่มีให้ได้ยินสักนิด

“เหตุใดเจ้าไม่เข้าไปฝังเข็มให้มี่เอ๋อร์เล่า?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างโมโห หมุนกายไปดึงคอเสื้อของอินหงหลันเพื่อกล่าวถาม ซั่งกวนฮ่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับปล่อยหวงฝู่เยวี่ยเอ้อเลยตามเลยไป

“นางไม่เป็นอันใดหรอก!” อินหงหลันปัดมือของหวงฝู่เยวี่ยเอ้อออกอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนอันใด ถึงเวลานี้ซินหรันก็ไม่ได้ส่งเสียงตกใจอะไรออกมา นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดล้วนเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างดี มี่เอ๋อร์ไม่มีมีความผิดปกติอันใด เด็กในท้องก็ย่อมไม่เป็นอะไรเช่นกัน

“ข้าเห็นหัวแล้ว สะใภ้ใหญ่ออกแรงหน่อยเจ้าค่ะ!” จู่ๆ หมอตำแยก็ส่งเสียงดังทำให้คนทั้งหมดต่างก็ผ่อนคลายลง เห็นหัวก็แสดงว่าทั้งหมดย่อมต้องราบรื่น…

“ร่างก็ออกมาแล้วเจ้าค่ะ…สะใภ้ใหญ่ออกแรงอีกนิดเจ้าค่ะ!” เสียงของหมอตำแยทำให้หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพุ่งมาอยู่ที่หน้าประตู โดยมีซั่งกวนเจวี๋ยยืนอยู่อีกอีกด้านราวกับเป็นยักษ์เฝ้าประตูพอดี

จู่ๆ ในห้องก็เงียบไปเสียพักใหญ่ แม้กระทั่งเสียงของหมอตำแยก็ไม่มีให้ได้ยิน เสียงหัวใจเต้นของทุกคนล้วนดังชัดในยามนี้ ก่อนเสียงร้องไห้จะดังกระจ่างขึ้นมา ล่วงสู่หูของทุกคนที่กำลังตั้งตาคอยอย่างร้อนใจ นับว่าชัดเจน ทั้งไพเราะเพราะพริ้งเป็นอย่างยิ่ง…

“ยินดีกับนายท่านและฮูหยิน เป็นเด็กผู้ชายเจ้าค่ะ!” ไม่นานนัก หมอตำแยก็ห่อตัวทารกที่ทำความสะอาดเล็กน้อยด้วยผ้าซึ่งเตรียมไว้นานแล้ว อุ้มออกมารายงานข่าวดีให้พวกซั่งกวนฮ่าว แต่ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นกลับเห็นเบื้องหน้าเป็นสีดำไปหมด พยายามข่มกลั้นเอาไว้ จึงไม่ได้เป็นลมล้มลงไป

“มี่เอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรับเด็กมาจากหมอตำแยไปพลาง ไม่ทันได้มองเด็กน้อยที่ตนเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาคอยก็กล่าวถามอย่างเป็นกังวล

“สะใภ้ใหญ่ปลอดภัยดีทุกอย่างเจ้าค่ะ เพียงแต่อ่อนเพลียอยู่บ้างเท่านั้น!” หมอตำแยกล่าวด้วยยิ้มยินดี “ข้าเคยทำคลอดเด็กมามากมาย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยพบคนที่เหมือนสะใภ้ใหญ่มาก่อน ไม่มีท่าทีลนลานแม้แต่น้อย ล้วนแต่ปฏิบัติตามคำแนะนำ แรงทั้งหมดทั้งมวลแทบไม่ได้เสียเปล่า คลอดโดยธรรมชาติจึงราบรื่นเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ!”

ซั่งกวนเจวี๋ยถอนหายใจเฮือกใหญ่ เบื้องหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา มี่เอ๋อร์ไม่เป็นไรก็ดี นางไม่ส่งเสียงให้ได้ยินแม้แต่น้อย ทำให้ใจของเขากระวนกระวายอย่างถึงที่สุด

“เจ้ารีบเข้าไปดูแลสะใภ้ใหญ่เสีย!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวทันที เห็นหมอตำแยเผยรอยยิ้มก่อนกลับเข้าห้องคลอดไป ยามนี้นางจึงหันมาสนใจเด็กน้อยในอ้อมอก พอเห็นก็ยิ้มขึ้นมาทันที กล่าวกับซั่งกวนฮ่าว “นายท่าน ท่านรีบเข้ามาดูเร็ว หลานตัวน้อยของพวกเราหน้าตาดีไม่หยอก คิ้วและดวงตาเหมือนกับเจวี๋ยเอ๋อร์ ปากนั้นคล้ายมี่เอ๋อร์ แต่จมูกเหมือนข้า เค้าโครงหน้าก็คล้ายกับนายท่าน!”

นั่นก็หมายความว่าเหมือนกับซั่งกวนเจวี๋ยค่อนข้างมาก! อินหงหลันก็ผ่อนคลายใจที่กระวนกระวายลงได้เช่นกัน แม้เขาจะรู้ว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์เรียนวิชาที่เขาตั้งใจให้ซินหรันนำไปสอนมาโดยตลอด แต่ก็รู้ว่าวรยุทธ์ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั้นมีฝีมือสูงกว่าซินหรันปีนั้นมาก ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอันใด แต่เหตุไม่คาดฝันก็คือเหตุไม่คาดฝัน หากสามารถคาดถึงได้ก็ไม่ใช่เหตุไม่คาดฝันแล้ว

“ข้าว่าเค้าโครงหน้าตาของเด็กน้อยเหมือนกับเจวี๋ยเอ๋อร์ไม่มีผิด!” ซั่งกวนฮ่าวมองเด็กน้อยพริบตาเดียวก็กล่าวสรุปทันที ใบหน้าของซั่งกวนเจวี๋ยนั้นได้รับการถ่ายทอดมาจากตัวเขาเอง เหมือนตัวเองกับเหมือนซั่งกวนเจวี๋ยก็เป็นเพียงวิธีพูดที่แตกต่างเท่านั้น ความจริงก็คือเหมือนกัน สิ่งเดียวที่ซั่งกวนเจวี๋ยได้รับการถ่ายทอดมาจากหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็คือจมูก เมื่อมองอย่างละเอียด ก็เหมือนกับซั่งกวนเจวี๋ยยามที่เพิ่งกำเนิดจริงๆ แต่ว่ามีรอยย่นน้อยกว่าซั่งกวนเจวี๋ยในเวลานั้นอยู่บ้าง มีผมมากกว่าเล็กน้อย ตัวก็อ้วนจ้ำม่ำกว่า

“เจวี๋ยเอ๋อร์ เจ้ายังไม่เข้ามาดูลูกเจ้าอีก?” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวอย่างไม่พอใจใส่ซั่งกวนเจวี๋ยที่เอาแต่ยืนตรงนั้นไม่ยอมขยับ หรือเขาจะแสดงความดีใจที่เพิ่งเป็นพ่อคนไม่ได้เชียวหรือ?

“ข้าก้าวขาไม่ออก!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มเจื่อนๆ แต่ไหนแต่ไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันนี้ได้ มี่เอ๋อร์นั้นยังคงคลอดราบรื่น…หากประสบภาวะคลอดยาก…เขานั้นอดสั่นสะท้านไม่ได้ เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังจะสามารถยืนไหวอยู่หรือเปล่า

“ฮูหยิน สะใภ้ใหญ่อยากเห็นหน้าคุณชายน้อยเจ้าค่ะ!” หมอตำแยคนเมื่อสักครู่เดินยิ้มออกมากล่าว “ด้านในได้ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว สะใภ้ใหญ่นอกจากอ่อนเพลียเล็กน้อย อาการอย่างอื่นก็ดีหมด อยากจะพบคุณชายน้อยเจ้าค่ะ”

“รีบอุ้มเข้าไปเสียเถิด!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ได้ส่งเด็กน้อยให้หมอตำแย แต่ยื่นให้แก่ซั่งกวนเจวี๋ย ไม่ว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะอุ้มอย่างไรก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องไปเสียหมด แต่ก็ไม่กล้าพูดว่าตัวเองจะไม่อุ้ม จึงทำตัวนิ่งราวกับหุ่นไม้ ค่อยๆ เดินเข้าไปทั้งอย่างนั้น ก่อนจะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ผมเปียกชื้นไปหมดกำลังเอนกายพิงกับเตียง ใบหน้านั้นซีดขาวอยู่บ้าง ทว่ากลับแฝงไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนมองมายังเขา

“มี่เอ๋อร์ เจ้าดูสิ!” ซั่งกวนเจวี๋ยส่งเด็กให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดูอย่างเงอะงะเป็นอย่างมาก อาการที่ทำอะไรไม่ถูกเช่นนั้นทำให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อดยิ้มออกมาไม่ได้ ซินหรันรับเด็กน้อยที่ร้องไห้สักพักก็เงียบลงมาจากมือของซั่งกวนเจวี๋ย วางไว้ในมือของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์อุ้มเด็กน้อยขึ้นมาอย่างชำนาญ ก็ยิ้มออกมาอย่างรู้ใจ ไล่คนทั้งหมดในห้องออกไป เหลือพื้นที่ให้เพียงสองสามีภรรยาและเด็กตัวน้อยเท่านั้น

“เขาหน้าเหมือนท่านจริงๆ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองแวบเดียวก็หลงเด็กน้อยตรงหน้าเสียแล้ว เห็นเขาหลับตาลงอย่างไม่ดื้อไม่ซน ล้วนแต่คาดไม่ถึงว่าในยามที่เขาอยู่ในท้องจะอาละวาดได้ขนาดนั้น แม้ในยามนี้นางจะอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่ก็มีเพียงอาการเท่านี้ ยังคงต้องขอบคุณสองสามีภรรยาซินหรันที่ส่งวิชาให้ ทั้งยังคอยอยู่ข้างกายนางมาโดยตลอด หากไม่มีนาง บางทีตัวเองอาจจะยังคงคลอดอย่างราบรื่นได้ แต่ย่อมไม่อาจมีเพียงแค่อาการอ่อนเพลียอย่างเช่นตอนนี้ได้หรอก ลมปราณภายในคงจะถูกกระทบหนัก ไม่รู้ว่าจะต้องพักฟื้นอีกนานเท่าใดจึงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้

“ท่านแม่ก็พูดเช่นนี้!” ซั่งกวนเจวี๋ยชื่นชมสายตาที่เฉียบแหลมของผู้หญิงเช่นพวกนางเป็นอย่างมาก ในความคิดของเขาก็เป็นเพียงเด็กน้อยที่ตัวแดง หน้ายับยู่ยี่ รูปหน้าทั้งหมดเหมือนจะถูกย่นเข้าไว้ด้วยกัน นอกจากความผูกพันทางสายเลือดที่ไม่อาจปฏิเสธจนทำให้เขาอดมองซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้ เขาก็มองไม่ออกแล้วว่าเด็กคนนี้มีจุดไหนที่เหมือนกับตัวเองบ้าง

“ผ่านไปสักสองวันก็จะมองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฟังออกถึงความมึนงงของซั่งกวนเจวี๋ย กล่าวถามด้วยยิ้มอย่างดีใจ “ชื่อว่าอะไร? ท่านบรรพชนตัดสินใจแล้วหรือยัง?”

“ซั่งกวนหมิง ท่านบรรพชนรู้ตั้งนานแล้วว่าจะเป็นเด็กผู้ชาย ดังนั้นจึงตั้งชื่อนี้ไว้” ยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยได้ยินถึงความมั่นใจของท่านบรรพชนก็รู้แล้วว่า เขาย่อมถามจากอินหงหลันมาแล้วเป็นแน่

“ซั่งกวนหมิง?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์แตะเด็กน้อยที่กำลังหลับตาอยู่แผ่วเบา ช่างเป็นเจ้าตัวเล็กที่แปลกประหลาดจริงๆ ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย แต่ก็ไม่ได้นอนหลับ คล้ายกับผู้ใหญ่ตัวเล็กที่หลับตาทำสมาธิ น่าขันเสียจริง!

“ใช่ หมิงเอ๋อร์ของพวกเรา!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้ายืนยัน มีภรรยามีลูก แต่ไหนแต่ไรเขาก็รู้สึกว่า ตัวเองไม่เคยมีความสุขดั่งเช่นตอนนี้มาก่อน…