บทที่ 220 ถ้าข้าจะซ้อมเจ้าให้น่วมแล้วจะทำไม

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ขณะนี้ไม่มีแม้แต่เงาสักร่างหลงเหลืออยู่ในท้องพระโรงอันโอ่อ่าของพระราชวังแห่งนครหลวง ทุกๆ คนกระทั่งบรรดาขันทีและสาวใช้ต่างก็ถูกจีเฉิงเสวี่ยไล่ออกไปจนหมดสิ้น

ชายหนุ่มนั่งหลับตาอยู่บนบัลลังก์อย่างเดียวดาย เขาไม่ได้หลับ หากแต่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ตอนนี้ สถานการณ์ในนครหลวงวุ่นวายเกินกว่าที่เขาจะควบคุมไหว ถึงแม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นจักรพรรดิ แต่ก็อดรู้สึกไร้ค่าและไร้พลังไม่ได้

เซียวเหมิงเพิ่งรายงานข้อมูลลับเข้ามาเพิ่ม จีเฉิงเสวี่ยได้รู้เรื่องใหม่ๆ มากมายจากการรายงานครั้งนี้ นครหลวงตอนนี้ไม่ใช่เมืองที่จะอยู่ภายใต้คำสั่งของเขาอีกต่อไป ผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามยังมาปรากฏกายให้เห็นอยู่ประปราย ความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้กลบพลังของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนครหลวงไปเสียสิ้น ซึ่งแปลว่าจักรวรรดิวายุแผ่วนั้นไร้ทางสู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

ในอดีตศัตรูเป็นเพียงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น เซียวเหมิงที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการย่อมสร้างความประทับใจให้แก่ฝูงชนด้วยการกำราบศัตรูที่กล้ามาแข็งข้อได้ แต่ต่อหน้าระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามแล้ว… เซียวเหมิงเองย่อมไม่เก่งกล้าพอ

เหล่าผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามที่คนทั่วไปเคยได้ยินเพียงชื่อ จู่ๆ ก็พากันมาปรากฏกายในนครหลวง เป้าหมายของพวกเขาย่อมต้องเป็นต้นตื่นรู้ทางห้าสายที่อยู่ในร้านของเถ้าแก่ปู้แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ร้านค้าเล็กจ้อยของเถ้าแก่ปู้ย่อมต้องรับศึกหนักแน่

จีเฉิงเสวี่ยยกมือนวดคิ้วพลางเปิดตาขึ้นแล้วถอนหายใจ

“ช่างมัน จะมาหนักใจกับเรื่องนี้ไปก็คงป่วยการ เพราะข้าเองก็คิดหาทางออกดีๆ ไม่ได้เลย เถ้าแก่ปู้ต้องสู้ด้วยตนเองเสียแล้ว บางทีเขาอาจจะมีไพ่ตายซุกซ่อนเอาไว้ก็เป็นได้ ถึงอย่างไรก็ยังมีอสูรเวทในตำนานคอยอารักขา บางที… เจ้าพวกระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามคงจะเดินดุ่มๆ เข้าไปทำลายทุกอย่างไม่ได้ง่ายๆ กระมัง”

  …

อูอวิ๋นไป๋พิจารณาบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง ชายผู้นี้สวมเสื้อผ้าสบายๆ และมีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่ครึ่งหนึ่ง นางก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณ

“ศิษย์พี่จ่านคง ทำไม…ท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้” อูอวิ๋นไป๋พูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

บุรุษสวมหน้ากากยังคงสภาพพร้อมต่อสู้ เขาก้มลงมองพื้นห้องที่อูอวิ๋นไป๋อาศัยอยู่ก่อนจะย่นคิ้ว

“อาอู่บอกว่าเจ้าเจ็บหนัก แต่ดูท่าทางแล้ว… คงจะไม่เท่าใดกระมัง”

น้ำเสียงของชายหนุ่มนุ่มนวลน่าหลงใหล แต่ก็ยังเจือไปด้วยความเข้มงวดและเย็นชา

“ท่านขุนพลจ่านคง เมื่อไม่กี่วันก่อนนางเจ็บหนักจริงๆ ขอรับ แต่ก็ได้รับการรักษาจนหายดีจากบุคคลท่านหนึ่ง” อาอู่อาจารย์อาอู่ตอบอย่างเคารพนบนอบ บุรุษผู้เย็นชาตรงหน้าเขานี้ไม่ใช่คนธรรมดา

เขาผู้นี้คือหนึ่งในสี่ยอดขุนพลแห่งตำหนักเมฆาขาว ระดับปราณอยู่ที่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามและทักษะการยุทธ์ก็น่าเกรงขามยิ่ง บุรุษผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยฉีกอสูรเวทระดับเจ็ดเป็นชิ้นด้วยมือเปล่ามาแล้ว ก่อนจะใช้เลือดของอสูรตัวนั้นอาบรดกาย

“ใครรังแกเจ้า” นัยน์ตาของจ่านคงที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากย้ายมาหยุดอยู่ที่อูอวิ๋นไป๋ ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นเบาๆ

“ไม่ใช่เรื่องของท่าน ข้าจะขอสะสางหนี้แค้นนี้ด้วยตนเอง” อูอวิ๋นไป๋ตอบอย่างดื้อดึง

จ่านคงจ้องมองอูอวิ๋นไป๋ด้วยแววตาสงบนิ่ง ก่อนจะค่อยๆ สืบเท้าเข้าไปในห้อง เขาเอื้อมมือไปสัมผัสศีรษะของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา

“อาอู่ มากับข้า บอกข้ามา ใครทำร้ายนาง… และใครช่วยเหลือนางเอาไว้”

“อ่า… ขอรับ!” อาอู่ตกตะลึง ก่อนจะกุลีกุจอตามจ่านคงออกไป

อูอวิ๋นไป๋ทำแก้มป่องขณะที่จ้องมองแผ่นหลังกว้างของชายผู้นั้น นางส่งเสียงฮึ่มในลำคอก่อนจะกระแทกเท้าเดินตามพวกเขาจนทัน

“เกาะมหายาน สำนักพุทธอย่างนั้นหรือ” จ่านคงส่งสายตาไปทางอาอู่เหมือนจะถาม คนจากสำนักต่ำต้อยเช่นนั้นกล้าหาเรื่องคนของตำหนักเมฆาขาวเชียวหรือ

แต่เขาก็ไม่ได้ซักต่อ เนื่องด้วยต้องการรู้เพียงชื่อของคนที่ทำให้อูอวิ๋นไป๋บาดเจ็บเท่านั้น

“แล้วคนที่ช่วยนางเล่า”

“เป็นเจ้าของร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งขอรับ ร้านของเขาจู่ๆ ก็ได้รับความนิยมขึ้นมาในนครหลวงเพราะมีต้นตื่นรู้ทางห้าสายไปโตอยู่ภายใน” อาอู่ตอบอย่างนอบน้อม

“อ้อ ร้านนั้นเองน่ะหรือ ระหว่างทางมาที่นี่ข้าเจอชายมีอายุคนหนึ่งจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์ ดูเหมือนว่าเป้าหมายของเขาก็คือร้านแห่งนั้น… หากข้าเดาไม่ผิด จะต้องเป็นร้านเดียวกับที่เจ้าพูดถึงแน่” จ่านคงกล่าว

สีหน้าของอูอวิ๋นไป๋เปลี่ยนไป ชายจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์อย่างนั้นหรือ คนที่จะอยู่ในสายตาของจ่านคง มีแต่ต้องเป็นระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามเท่านั้น… หรือว่าวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์จะเริ่มแผนการโจมตีร้านแล้ว พวกเขาไม่รอแล้วอย่างนั้นหรือ

“จ่านคง…”

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้ารู้ดีว่าเจ้าจะพูดอะไร แต่ข้าเองก็มีแผนของข้า ไปพักเสียเถิด สายน้ำในจักรวรรดิวายุแผ่วในเวลานี้นั้นเชี่ยวกรากนัก เป้าหมายของข้าคือการพาเจ้ากลับไปอย่างปลอดภัยตามคำสั่งของเจ้าสำนัก เจ้าเองก็ทำตัวดีๆ เอาไว้เล่า”

จ่านคงตัดบทอูอวิ๋นไป๋ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมเอามือไขว้หลัง

อูอวิ๋นไป๋โกรธจัด… ช่างเป็นคนที่หยิ่งยโสและหยาบคายอะไรเช่นนี้!

“อาอู่ จับตาดูนางเอาไว้ดีๆ ห้ามให้นางออกจากห้องนี้จนกว่าข้าจะกลับมา” จ่านคงส่งสายตาไปทางอาอู่อาจารย์อาอู่ ผู้ซึ่งยืนรออยู่ข้างๆ ตามที่ได้รับคำสั่ง

อาอู่รู้สึกว่าหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความรู้สึกเย็นเยียบแล่นผ่านกระดูกสันหลังขณะที่รีบพยักหน้ารับคำ

หลังจากนั้นจ่านคงก็เลิกสนใจคนทั้งคู่แล้วเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป

จ่านคงมายืนอยู่บนถนนอันจอแจสายหนึ่งในนครหลวง สายตาของเขาสะท้อนแววนิ่งสงบขณะที่ย่างเท้าออกไปข้างหน้า ทันใดนั้นทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวก็เคลื่อนที่ผ่านกายเขาไปอย่างรวดเร็ว

ในพริบตาเดียว จ่านคงก็วางเท้าลงสัมผัสพื้น ขณะนี้เขากำลังยืนอยู่หน้าสวนกว้างหรูหราแห่งหนึ่ง

เขาจ้องมองสวนกว้างตรงหน้าด้วยดวงตาหรี่เล็กไม่แยแส

“เป็นแค่สำนักเกาะมหายานอันต่ำต้อย ขยะชั้นต่ำที่ไม่มีกระทั่งระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามแม้สักคน กล้าดีถึงขนาดมาทำร้ายนายน้อยแห่งตำหนักเมฆาขาว ช่างเป็นคนโง่เขลาไร้สติอะไรเช่นนี้”

จ่านคงปิดตาทั้งสองเบื้องหลังหน้ากากเงินลง หางตาของเขากระตุกขณะที่ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมา

ไม่มีความเคลื่อนไหวใหญ่โตใดๆ ให้เห็น จ่านคงเพียงแต่ยกมือขึ้นคว้าไปในอากาศ กระแสพลังปราณก็ไหลบ่าเข้ามารวมตัวกันในฝ่ามือของเขาอย่างฉับพลัน

บนท้องฟ้าที่ว่างเปล่านั้น พลันปรากฏฝ่ามือพลังปราณขนาดมหึมาขึ้น ฝ่ามือนั้นแม้จะใหญ่โตแต่ก็ประณีต มองเห็นลายเส้นบนฝ่ามือได้อย่างชัดเจน ทั่วทั้งฝ่ามือมีพลังปราณแก่กล้าปกคลุมอยู่

จ่านคงเอียงศีรษะพลางจ้องมองฝ่ามือพลังปราณขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เหนือโรงเตี๊ยมหรูหรา ก่อนที่มันจะค่อยๆ เคลื่อนตัวลงมา ในขณะนั้นทั้งสายลมและหมู่มวลเมฆต่างก็สั่นไหว ทำให้สิ่งก่อสร้างทั้งมวลภายในสวนกว้างเริ่มสั่นตามไปด้วยอย่างสุดจะควบคุม

ภายในสวนกว้าง เจ้ามู่เฉิงที่นั่งหลับตาไขว่ห้างอยู่ภายในห้องลับจู่ๆ ก็ต้องเบิกตากว้าง ความกลัวฉายวาบอยู่ภายในดวงตาทั้งคู่

“สงสัยจริงว่านักรบท่านใดที่มาเยือนถึงที่นี่ เจ้ามู่เฉิงผู้นี้เสียมารยาท ไม่อาจไปต้อนรับได้ทันท่วงที โปรดอภัยด้วยเถิด!”

เจ้ามู่เฉิงพังห้องลับออกมาด้วยพลังงานอันน่าเกรงขามที่สุดเท่าที่เขาจะปลดปล่อยออกมาได้ ก่อนจะรีบทะยานออกมาพร้อมเสียงดังลั่น ชายชรายืนอยู่กลางอากาศเหนือสวนกว้าง และเมื่อพูดจบ เขาก็เงยศีรษะขึ้น เมื่อมองเห็นฝ่ามือมหึมาที่ใหญ่ราวกับจะบดบังท้องฟ้าได้ ม่านตาของเขาก็หดเล็ก หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก

“เจ้ามู่เฉิงอย่างนั้นหรือ ออกมาได้จังหวะทีเดียว… เจ้าทำร้ายคนของตำหนักเมฆาขาว จงเตรียมตัวตายเสียเถิด”

จ่านคงจ้องมองไปยังเจ้ามู่เฉิงที่ยืนอยู่กลางอากาศด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะม้วนริมฝีปากขึ้น กดฝ่ามือลงอย่างไม่รอช้า

เปรี้ยง!!

หลังเสียงดังสนั่น เจ้ามู่เฉิงก็สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กดทับลงมาบนกาย กระดูกทุกชิ้นในร่างของเขาส่งเสียงลั่นกรอบแกรบเพราะแรงดังกล่าว

“บัดซบ!”

นัยน์ตาของเจ้ามู่เฉิงเปี่ยมไปด้วยความกลัวจับขั้วหัวใจ พลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นรุนแรงเกินจะเปรียบ… คนตรงหน้าเขานี้เป็นถึงระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม!

ฝ่ามือพลังปราณนั้นกดทับลงมาไม่หยุดหย่อน ทำเอาแผ่นดินสะเทือนไปหมด เจ้ามู่เฉิงถูกผลักลงไปคลานอยู่กับพื้น และในเสี้ยวลมหายใจนั้นเอง สวนกว้างรอบกายเขาก็กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังกองใหญ่

หากมองจากด้านบนก็จะเห็นว่าพื้นดินภายในสวนทรุดลงไปเป็นรอยมือขนาดมโหฬาร

สิ่งที่ตามมาก็คือแรงกระแทกรุนแรงที่แผ่ออกไปจนนครหลวงสั่นไหวไปทั่ว

เสียงดังสนั่นนี้เรียกความสนใจจากประชากรในนครหลวงได้เป็นอย่างดี

เซียวเหมิงที่กำลังพักผ่อนอยู่ในจวนตระกูลเซียวรู้สึกเหมือนหัวใจพุ่งขึ้นมาจุกที่คอ เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล จนอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้

ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามคนแรก… ลงมือแล้ว!

ตูม ตูม โครม!

ศิลาระเบิดพลางแตกกระจาย ร่างที่ปกคลุมไปด้วยโลหิตของเจ้ามู่เฉิงกระเด็นออกมาตามแรงระเบิด สายตาของเขาจ้องมองไปยังจ่านคงอย่างดุดัน

เจ้ามู่เฉิงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดออกมาอีก เขาเพียงแต่หันหลังแล้วก้าวเดินไป ตั้งใจจะออกไปจากที่แห่งนี้

ทว่าดวงตาของจ่านคงภายใต้หน้ากากนั้นทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม เสื้อคลุมของเขาโบกสะบัดไปมาอีกครั้ง ตอนนั้นเองปีกคู่งามก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง ปีกนี้สร้างขึ้นจากการควบคุมไอพลังปราณ

ภายในเสี้ยวลมหายใจ จ่านคงก็มาปรากฏกายอยู่ข้างกายเจ้ามู่เฉิง

“ใครอนุญาตให้เจ้าไปกัน” จ่านคงถามเสียงเรียบ

“อย่าทำข้าหนักนักเลย!” เจ้ามู่เฉิงคำรามออกด้วยความเจ็บปวด เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าจะถูกระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามลอบโจมตี เขาไม่ได้ทำใจมาเพื่อพร้อมตายในวันนี้จริงๆ

“ถ้าข้าจะซ้อมเจ้าให้น่วมแล้วจะทำไม เจ้าคิดว่าทำร้ายคนของข้าแล้วยังจะมีสิทธิต่อรองอีกอย่างนั้นหรือ” จ่านคงถามกลับอย่างเลือดเย็น ร่างกายของเขาบิดหมุนก่อนที่จะเตะเข้าไปยังลำตัวของเจ้ามู่เฉิงอย่างจัง พลังมหาศาลจากร่างของชายหนุ่มแทบจะฉีกอากาศออกเป็นสองส่วน

เจ้ามู่เฉิงกระอักโลหิตออกมาเต็มปาก สีหน้าท่าทางดูแก่ชราและเปราะบางขึ้นมาทันที

เขาถอดร่นตุปัดตุเป๋ ก่อนจะประคองตัวให้ยืนอยู่ได้กลางอากาศ ชายชรายกมือปาดโลหิตที่มุมปาก ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอัปลักษณ์

เจ้ามู่เฉิงทุบจี้หยกสีโลหิตจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้นเงาของพระพุทธรูปสีทองอร่ามก็ปรากฏขึ้นรอบกาย ฝ่ามือของพระพุทธรูปซัดใส่จ่านคงอย่างรุนแรง และขณะที่ฝ่ามือนั้นกำลังจะตวัดลงมา พระพุทธรูปสีทองอร่ามก็แปรสภาพเป็นสีแดงโลหิตและมีรูปลักษณ์ดุร้ายหมายขวัญ

จ่านคงสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ ชายหนุ่มหมุนตัวหนึ่งรอบพลางฉีกพระพุทธรูปสีโลหิตออกเป็นชิ้นๆ

พระพุทธรูปสีโลหิตขนาดมหึมาสลายหายไป เหลือทิ้งไว้แต่เพียงรอยแสงสีโลหิตเท่านั้น

“ยอดเยี่ยม…. ข้านึกว่าจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งเสียอีก ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ตัวล่อเพื่อหลบหนีไปได้สำเร็จ อย่างนี้สินะที่เรียกว่ายิ่งแก่ยิ่งปราดเปรื่อง แต่ช่างเถอะ… นี่เป็นเพียงสาขาหนึ่งของสำนักพุทธเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกังวล” ปีกของจ่านคงสลายไป เขาค่อยๆ ลอยกลับยืนบนพื้นอย่างนุ่มนวล พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ขณะบ่นพึมพำกับตนเองไปด้วย

จ่านคงกลับหลังหัน ยกมือไขว้หลังก่อนจะเดินออกไป เบื้องหลังของเขา… ตรงที่ว่างซึ่งเคยเป็นสวนกว้างตอนนี้กลายเป็นเพียงหินกองพะเนินเท่านั้น

  …

บนถนนเส้นต่างๆ ในนครหลวงขณะนี้มีบุรุษตัวใหญ่กำยำน่ากลัวในชุดหนังจำนวนหนึ่งกำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างไม่เกรงกลัว

ผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นบุรุษร่างใหญ่ที่มีกล้ามเนื้อประหนึ่งขุนเขาย่อมๆ พลังปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากกายของชายผู้นี้ทั้งหนักแน่นและยิ่งใหญ่ ขณะที่พลังนั้นกระจายออกไปก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว

จู่ๆ หูของเขาก็กระดิก ชายร่างใหญ่กวาดตามองไปยังควันซึ่งลอยขึ้นมาจากที่ไกลๆ ก่อนจะม้วนริมฝีปาก

“มีใครบางคนชิงลงมือก่อนเซี่ยต้าผู้นี้เสียแล้ว… ไม่ได้การ ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้!”

“เชิ่งมู่ ร้านอยู่ตรงนั้น เร่งฝีเท้าหน่อย! ข้ารอแทบไม่ไหวแล้ว!” เซี่ยต้าส่งยิ้มเยือกเย็น กล้ามเนื้อบนใบหน้าบีบเข้าหากันเป็นภาพน่าขนลุก

เชิ่งมู่ขี่อยู่บนเสือชีตาห์ เขาหัวเราะร่าออกมาก่อนจะชี้ไปยังตรอกตรงหน้า “ผู้อาวุโสเซี่ย เพียงเลี้ยวซ้ายข้างหน้านี้พวกเราก็จะถึงร้านนั้นแล้วขอรับ… ก่อนหน้านี้ข้าร่วมมือกับคนโง่เจ้ามู่เฉิง เจ้ากระจอกนั่นบอกข้าว่าการจะชิงต้นตื่นรู้ทางห้าสายมานั้นง่ายดายยิ่ง ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าจะหลงผิดไปเชื่อมันได้ พวกเราเสียเวลาไปมากมายแถมยังคว้าน้ำเหลว เป็นเหตุให้ข้าต้องมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโส”

“ฮะฮ่า! เจ้านี่มันช่างโง่เขลาเสียจริง หากเราจะใช้กำลังชิงมันมา เหตุใดจึงยังต้องทำลับๆ ล่อๆ อยู่เล่า มุ่งตรงไปที่นั่นเลย! ผู้อาวุโสคนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นเองว่าความเหนือกว่าอย่างสมบูรณ์แบบนั้นเป็นเช่นไร! คนของวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์จะต้องก้าวเดินไปบนโลกใบนี้อย่างไม่กลัวเกรง เดินหน้าเข้าไปจัดการเสีย! ไม่ต้องเกรงกลัว เดินเข้าไปอย่าได้ถอย!”