บทที่ 225 มอบตำแหน่ง

คู่ชะตาบันดาลรัก

แววตาของหยางชูเย็นชาก่อนเอ่ย “ท่านน้ารู้อะไรมา”

เผยกุ้ยเฟยมองนางด้วยสีหน้านิ่งสงบ “เจ้าพานางเข้าหวงเฉิงซือคิดว่าจะปิดบังจากผู้อื่นได้หรือ” เมื่อเห็นเขาไม่ตอบเผยกุ้ยเฟยจึงโบกมือให้นางในทุกคนออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงนางและหยางชูสองคน

เผยกุ้ยเฟยพูดว่า “เจ้าโตแล้ว น้าไม่สามารถก้าวก่ายชีวิตของเจ้าได้ แต่เรื่องนี้ไม่ถามคงไม่ได้”

หยางชูก้มหน้าเขาคลายความแข็งกร้าวลง

“ท่านน้า เรื่องนี้พวกเราเคยคุยกันแล้วเมื่อสามปีก่อน” เขาพูดเสียงเบา “ท่านบอกโชคชะตาเป็นเรื่องโง่เขลา แต่สำหรับคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้เป็นโชคร้ายจริงๆ นอกจากนี้ข้าไม่รู้ว่าหลังแต่งด้วยกันแล้วควรไปเผชิญหน้ากับครอบครัวภรรยาอย่างไร เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดเลย”

“เดิมทีน้าเองก็คิดเช่นนั้น” เผยกุ้ยเฟยมองเขา “แต่หลังจากแม่นางคนนั้นปรากฏตัวเจ้าก็เปลี่ยนไป”

“…..”

เผยกุ้ยเฟยกุมมือเขาเบาๆ “ชูเอ๋อร์ ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว เจ้ายังต้องการใช้ชีวิตด้วยความคิดเดิมๆ ของเจ้าอยู่หรือ”

ความอ่อนโยนเช่นนี้ทำเอาหยางชูโกรธไม่ลง แต่จะให้เขาเชื่อฟังก็ทำไม่ได้อยู่ดี ผ่านไปนานเขาถึงพูดขึ้นว่า “วันนี้ท่านน้านำภาพเหล่านี้มาไม่ได้คิดจะให้ข้าดูแต่แรก แต่เพื่อพูดคุยเรื่องนี้ใช่หรือไม่ขอรับ”

เผยกุ้ยเฟยหัวเราะเบาๆ “หญิงสาวเหล่านี้เอาไว้ให้ไท่จื่อคัดเลือกพระชายา น้าแค่ยืมมาใช้เท่านั้น”

หยางชูเลิกคิ้ว “เหตุใดท่านน้าต้องทำเช่นนี้ด้วย”

“เพราะว่าเจ้าดื้อเกินไปน่ะสิ” เผยกุ้ยเฟยตอบ “หากน้าถามเจ้าเรื่องแม่นางผู้นั้นตรงๆ เกรงว่าสีหน้าดีๆ ของเจ้าคงไม่ได้เห็นเป็นแน่” หยางชูได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น

เผยกุ้ยเฟยตบมือเขาเบาๆ “เอาล่ะ เจ้าอย่าคิดมากเลย น้าอยากบอกเจ้าว่าไม่ต้องคิดมาก เจ้าชอบแม่นางผู้นั้นก็แค่ไปสู่ขอ ภรรยาของเจ้าขอเพียงเจ้าชอบนางก็พอแล้วไม่ต้องการอย่างอื่นอะไร”

หยางชูพูดเสียงเบา “ท่านน้าพูดอะไรน่ะ นางมีสัญญาหมั้นหมายอยู่แล้ว”

“มีแล้วก็ยกเลิกได้ เสื่อมเสียชื่อเสียงไม่เป็นไรหากทำให้เจ้าแต่งงานได้จะให้น้าใช้อำนาจกับผู้อื่นก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียชื่อเสียงของน้าก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว”ประโยคสุดท้ายมีน้ำเสียงเยาะเย้ยแฝงอยู่

หยางชูใจสั่น ถึงแม้เผยกุ้ยเฟยจะเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่ในสายตาผู้อื่นนางก็ไม่ได้มีท่าทีหยิ่งผยองที่ตนเองเป็นคนโปรดเลย งานอดิเรกเพียงอย่างเดียวของนางคือการเขียนภาพจะให้อยู่แต่ในตำหนักหลิงติงทั้งวันไม่ออกไปไหนก็ทำได้ หลังจากการสิ้นพระชนม์ของฮองเฮานางก็กลายเป็นใหญ่ในวังหลังแต่ก็แทบไม่ได้ใช้อำนาจที่มีเลยควรทำอย่างไรก็ยังทำอย่างนั้น

ถึงนางจะเงียบเช่นนี้ แต่ชื่อเสียงของนางก็ไม่ได้ดีเลย เพราะนางเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ที่ได้มาในทางที่ไม่ถูกต้อง

“ดูเจ้าสิ หลายวันมานี้ไม่ค่อยได้พักผ่อนใช่หรือไม่ อย่าไปมีเรื่องทะเลาะสุ่มสี่สุ่มห้าล่ะ เดี๋ยวจะเดือดร้อนในอนาคต ยามบ่ายอยู่ทานข้าวที่นี่เสียก่อนห้องเครื่องบังเอิญฆ่ากวางได้ตัวหนึ่ง น้าเลยสั่งให้พวกเขาทำเนื้อกวางย่างมา…”

……….

หลังส่งขันทีอัญเชิญราชโองการออกไปทุกคนในตระกูลจี้ยังตกอยู่ในอาการมึนงง ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ทุกคนในตระกูลจี้เพิ่งกลับมาจากเลิกเรียน จากนั้นก็ต้องออกมาต้อนรับขันทีอัญเชิญราชโองการกะทันหัน

ตระกูลจี้ตกต่ำมานานไม่รู้ว่าควรต้อนรับราชโองการอย่างไร โชคดีที่แม่นมถงเห็นพบเจอเหตุการณ์นี้มาก่อนที่ตระกูลหมิงจึงรีบจัดแจงทุกอย่างให้

หลังจากฟังขันทีประกาศราชโองการว่าให้จี้เหว่ย คุณชายห้าแห่งตระกูลจี้ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นแปด เฉิงชื่อหลาง

ทุกคนในตระกูลจี้ล้วนตกตะลึง

หลังขุนนางระดับสูงได้รับชื่อเสียง การที่บุตรหลานของพวกเขาจะได้รับตำแหน่งขุนนางอิสระไม่ใช่เรื่องยาก แต่ตระกูลจี้ในตอนนี้ไม่มีรากฐานอะไร เหตุใดถึงได้มอบตำแหน่งเฉิงชื่อหลางแก่จี้เสียวอู่กัน

ถึงจะแค่ขั้นแปด แต่ก็เป็นขุนนาง!

สะใภ้ใหญ่รู้สึกงงงวยนางสะกิดจี้หลิง “น้องชายท่านได้รับราชการก่อนท่านเสียอีก”

จี้หลิงถูกนางดึงสติกลับมาเขาหันไปมองจี้เสียวอู่ เด็กคนนี้ดูไม่มีความสุขที่ได้ตำแหน่งเลยยืนตัวหดเชียว แล้วเขาก็หันไปมองนายท่านจี้กับจี้ฮูหยิน

จี้ฮูหยินจิตใจได้ล่องลอยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่วนนายท่านจี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาตะโกนขึ้น “จี้เสียวอู่!”

จี้เสียวอู่ตัวสั่นเขาคุกเข่าร้องไห้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ท่านพ่อ…”

นายท่านจี้โกรธจัดจนผมตั้งชัน “พูด! เจ้าไปทำอะไรมา”

“ลูก ลูกไม่ได้ทำอะไร…” เขาพูดติดอ่าง

“ไม่ได้ทำอะไรแล้วทำไมฝ่าบาทถึงมอบตำแหน่งให้เจ้าแล้วยังเข้ารังโจรอีก…เจ้าจะพูดหรือไม่พูด!”

จี้เสียวอู่ด่าคนอัญเชิญราชโองการเสียเละเทะในใจ เขาแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแต่ยิ่งก้มหัวต่ำลงไปอีกไม่กล้าพูดอะไรออกมา

นายท่านจี้โกรธจนต้องใช้กฎประจำตระกูล “เยี่ยมจริงๆ! หากข้าไม่ตีเจ้าเจ้าคงไม่พูดออกมาสินะ!”

“ท่านพี่!” จี้ฮูหยินเห็นท่าไม่ดีจึงห้ามอีกฝ่าย

“ท่านลงมือไม่ได้นะเจ้าคะ! เสียวอู่เพิ่งได้รับรางวัลจากฝ่าบาท หากท่านตีเขาแล้วผู้อื่นจะมองว่าอย่างไรกัน”

นายท่านจี้ชะงักเขายิ่งโกรธมากขึ้น “ดีจริงๆ! บิดาเจ้าทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว! ”

จี้หลิงเห็นเช่นนั้นก็พูดปลอบบิดา “ท่านพ่อ ท่านอย่าใจร้อนนักเลยลูกจะพูดกับเขาเอง”

เขาประคองจี้เสียวอู่ขึ้นแล้วถาม “เจ้าอยากให้ท่านพ่อโกรธหรือ ฝ่าบาทพระราชทานยศให้แก่เจ้าแสดงว่าสิ่งที่เจ้าทำไปเป็นเรื่องดี มีอะไรที่พูดไม่ได้กัน ท่านพ่อว่าเจ้าเพราะกลัวว่าเจ้าจะก้าวพลาด หากไม่ได้ทำอะไรผิดก็พูดออกมาเถอะ ท่านพ่อเข้าใจเจ้าแน่”

จี้เสียวอู่ถามด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ไม่ ไม่ตีข้าหรือ”

“เจ้ายังกลัวถูกตีอยู่หรือ” จี้หลิงหัวเราะใส่เขา “เอาล่ะ รีบพูดมาเถอะ เจ้าได้รับตำแหน่งแล้ว มีอนาคตแล้วจะปิดบังไปทำไม น่าตลกนะพี่ใหญ่เจ้าโตกว่าเจ้าหลายปียังไร้ตำแหน่งอยู่เลย ข้าได้ขอให้เจ้าไปปล้นเอาตำแหน่งมาหรืออย่างไร”

“ไม่ ไม่แน่นอน”

“ไม่ก็อธิบายมาสิ! ท่านพ่อไม่รู้เลยเป็นห่วงเจ้ามาก กลัวว่าภายภาคหน้าเจ้าบุ๋นก็ไม่ไหวบู๊ก็ไม่เอาเลี้ยงลูกเลี้ยงภรรยาไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าเงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้แล้วซึ่งทำให้พวกท่านมีความสุขมาก!”

จี้เสียวอู่เห็นว่าตนเองหลบหลีกไม่ได้จึงเล่าเหตุการณ์ให้ฟังอย่างระมัดระวัง บอกไปว่าตนเองเข้าไปในกลุ่มยาจกได้อย่างไร และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานภายในให้หวงเฉิงซือ…

“อย่างนี้นี่เอง!” นายท่านจี้ฟังเรื่องราวจบก็โกรธขึ้นมา “เพราะฉะนั้นอาจารย์ที่ร่วมมือกับเจ้ามาหลอกข้าว่าจะไปทัศนศึกษา แต่จริงๆ แล้วไปทำงานเป็นสายลับงั้นหรือ”

จี้เสียวอู่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบพูดออกไปว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าไม่ได้เป็นคนต้นคิด เป็นน้องหญิงต่างหาก! น้องหญิงร่วมมือกับคนอื่นหลอกลูก ลูกเองก็เพิ่งมารู้ตอนอาจารย์มาที่บ้านว่านางบอกให้ลูกไปทัศนศึกษา…”

นายท่านจี้ยิ่งโกรธเข้าไปใหญ่จนหยิบไม้ขนไก่มาตีเขา “เจ้ายังกล้าใส่ร้ายน้องหญิงเจ้าอีก!”

“ลูกไม่ได้ใส่ร้ายนะ!” จี้เสียวอู่กุมหัว “ลูกถูกนางบีบให้ทำเรื่องนี้ ท่านพ่อ ท่านต้องเชื่อลูกนะ!” เสียงกรีดร้องดังออกไปถึงข้างนอกหมิงเวยนั่งแทะเมล็ดแตงโมอยู่บนหลังคา

“เรื่องนี้ท่านเป็นคนจัดการงั้นหรือ” นางเหลือบมองหยางชูที่กำลังแทะเมล็ดแตงโมอยู่ฝั่งตรงข้าม

หยางชูพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เดิมทีข้าต้องการให้เขาเข้าหวงเฉิงซือและมอบป้ายประจำตัวให้ ผู้ใดจะรู้ว่าเขามองไม่เห็นความตั้งใจของคนดี ข้าเลยต้องรายงานตามความเป็นจริง หลังจากนั้นเรื่องมอบรางวัลอะไรนั่นข้าไม่ได้เป็นคนทำ”

หมิงเวยหัวเราะ “ท่านนี่จิตใจคับแคบเสียจริงนะเจ้าคะ แค่ปฏิเสธท่านไปครั้งเดียวท่านเลยตอบแทนเขาด้วยวิธีนี้หรือ ตอนนี้ท่านลุงและทุกคนรู้หมดแล้ว แม้พี่ห้าอยากปฏิเสธแค่ไหน เขาต้องถูกคนอื่นเร่งเร้าให้ช่วยท่านทำงานแน่ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเป็นกลยุทธ์ที่ไม่เลวทีเดียว”

หยางชูคิดในใจยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเลยต่างหาก

……….