เล่ม 1 ตอนที่ 205 ทำลายล้างกลุ่มทหารรับจ้างโอหัง (3)

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ฉินหมิงนำคนของกลุ่มโอหังมาล้อมกลุ่มทหารรับจ้างนกนางนวลไว้อย่างแน่นหนาจนแม้แต่น้ำยังมิอาจเล็ดลอดออกไปได้ ส่วนไป๋อวิ๋นฉีก็นำคนของกลุ่มนกนางนวลพุ่งออกมาจากด้านใน เมื่อเห็นพวกฉินหมิง สีหน้าของทุกคนก็มิสู้ดีนัก

“หยางเฉิง เจ้าคนทรยศ!” เมื่อไป๋อวิ๋นฉีเห็นหยางเฉิงที่อยู่ข้างกายฉินหมิงแล้วก็ก่นด่าเสียงดังลั่น

หยางเฉิงหัวเราะเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ทรยศหรือ ข้ามิใช่คนทรยศเสียหน่อย! ข้าก็แค่รู้จักรักษาตัวรอดเท่านั้นเอง”

“เจ้ายังมีหน้ามาบอกว่าเจ้ามิใช่คนทรยศอีกอย่างนั้นหรือ เจ้ามิใช่คนบอกพวกฉินหมิงเรื่องที่พวกเราสังหารฉินอู่หรืออย่างไร” หลี่ขุยพูดอย่างโกรธแค้น

“เจ้าผิดแล้วล่ะ!” หยางเฉิงพูด “ข้ามิได้บอกพวกเขาโดยตรงเสียหน่อย แต่ตอนที่คนที่เอาเงินให้ข้าถาม ข้าก็แค่บอกคนผู้นั้นเท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่านั่นจะเป็นคนของพระชายาได้เล่า!”

“ถึงอย่างไรก็เหมือนกันอยู่ดีนั่นแหละ!” คนระดับผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพูดขึ้น

ฉินหว่านมองดูไป๋อวิ๋นฉีที่โกรธกระฟัดกระเฟียดแล้วก็หัวเราะอย่างลำพองใจก่อนจะเอ่ยว่า “ไป๋อวิ๋นฉี วันนี้เจ้าเป็นอะไรไปหรือ ก่อนหน้านี้มิได้ป่าวร้องอยู่ตลอดว่าจะให้ท่านพ่อเจ้าพาคนไปล้างบางกลุ่มทหารรับจ้างโอหังของพวกเราอยู่ตลอดหรอกหรือ เหตุใดวันนี้จึงไม่ร้องเสียแล้วเล่า”

“ได้ยินสุนัขเห่า ข้าย่อมต้องทำตัวเป็นมนุษย์อยู่แล้วสิ!” ไป๋อวิ๋นฉีพูดอย่างดูแคลน

“อะไรนะ! เจ้าด่าข้าเป็นสุนัขหรือ!” ฉินหว่านชี้ไป๋อวิ๋นฉีพลางเอ่ยตะคอก

ไป๋อวิ๋นฉียักไหล่แล้วพูดว่า “ในเมื่อเจ้าชอบเชื่อมโยงมากถึงเพียงนี้ เช่นนั้นจะนับว่าเป็นเจ้าก็ได้นะ!”

“เจ้า…”

“หว่านเอ๋อร์!” ฉินหมิงเรียกฉินหว่านที่พุ่งตัวเข้าไปอย่างโมโหเอาไว้ หลังจากนั้นจึงพูดกับคนของกลุ่มนกนางนวลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามว่า “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากตอนนี้พวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์กับพวกเรากลุ่มโอหังแล้วพวกเราก็จะไม่สังหาร มิฉะนั้นก็จะฆ่าอย่างไร้เมตตา! ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าใคร่ครวญสิบห้านาที”

ในขณะนี้เอง ซีเย่ว์ซีก็นำจ้าววิญญาณสองคนเหินทะยานมาหยุดลงกลางอากาศ มองดูผู้คนเบื้องล่างโดยไม่เอ่ยวาจา

เมื่อเห็นว่าผู้แข็งแกร่งระดับจ้าววิญญาณมากันหมดแล้ว และเมื่อนึกถึงว่าทางฝ่ายพวกเขาในตอนนี้แม้กระทั่งจ้าววิญญาณคนเดียวก็ยังไม่มี คนจำนวนไม่น้อยจึงเริ่มหวั่นไหวกันบ้างแล้ว

“ถ้าหากอยากจะจากไป ข้าก็ยังขอย้ำคำเดิม ข้าจะไม่ตำหนิพวกเจ้า แต่ถ้าหากพวกเราโชคดีรอดจากหายนะในวันนี้ไปได้ ในภายหน้าพวกเจ้าจะไม่มีทางได้เป็นคนของกลุ่มนกนางนวลอีกตลอดกาล!”

ซุนหรานหร่านพาพวกซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากประตูใหญ่ด้านในพลางพูดกับผู้คนที่หวั่นไหวเหล่านั้น

“ฮูหยิน!” คนระดับอาวุโสจำนวนไม่น้อยเห็นซุนหรานหร่านพูดเช่นนี้จึงร้องขึ้นอย่างตกใจ

“ฮูหยิน เดิมทีกำลังของพวกเราก็อ่อนแอกันอยู่แล้ว ถ้าหากคนอีกกลุ่มหนึ่งจากไปอีกล่ะก็…”

ซุนหรานหร่านยกมือขึ้นตัดตอนคำพูดของพวกเขาแล้วเหลือบตามองผู้คนที่ลังเลอยู่เหล่านั้นปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ในเมื่อใจของพวกเขาไม่อยู่กับพวกเราแล้ว แทนที่จะปล่อยให้พวกเขาแทงข้างหลังเราเมื่อถึงตอนนั้น มิสู้ให้พวกเขาไปยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยดีกว่า”

คนเหล่านั้นเห็นซุนหรานหร่านพูดเช่นนี้จึงไม่พูดอะไรอีก

เวลาสิบห้านาทีผ่านไป ก็มีคนอีกหลายสิบคนเลือกเดินไปจากกลุ่มนกนางนวล คนจำนวนหนึ่งพันกว่าคนเหลือไม่ถึงแปดร้อยแล้วในตอนนี้

“ครบเวลาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเหล่านี้คงเลือกที่จะตายสินะ!” ฉินหมิงพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็จะสนองให้พวกเจ้าเอง! พวกเจ้าวางใจได้ ข้าจะส่งพวกเจ้าไปลงนรกก่อน แล้วจะส่งท่านหัวหน้ากลุ่มของพวกเจ้าตามไปฝังเป็นเพื่อน”

“เจ้าพูดถึงข้าอยู่หรือ” น้ำเสียงซื่อตรงทรงพลังดังมาจากภายในประตูใหญ่ ทำให้ผู้คนด้านนอกพากันตกตะลึง

“ไป๋หยวนฉุน เจ้ามิได้กลายเป็นคนไร้ค่าไปแล้วหรอกหรือ!” ฉินหมิงเห็นไป๋หยวนฉุนที่เดินก้าวใหญ่ออกมา มีท่าทางของคนไร้ค่าสักนิดเสียที่ไหนกัน

ไป๋หยวนฉุนมายืนอย่างมั่นคงราวกับภูเขาไท่ซานอยู่ตรงหน้า สร้างความมั่นใจให้กับคนของกลุ่มนกนางนวล

“ฮ่าๆ ผู้อื่นบอกว่าข้ากลายเป็นคนไร้ค่า ก็ต้องกลายเป็นคนไร้ค่าอย่างนั้นหรือ เจ้าเชื่อแม้กระทั่งข่าวลือไม่มีมูล ก็ได้แต่บอกว่าคนอย่างเจ้ามันช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!” ไป๋หยวนฉุนพูดแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น

“ฮ่าๆ…”

คนของกลุ่มนกนางนวลได้ยินหัวหน้ากลุ่มของตนพูดเช่นนี้จึงพากันหัวเราะดังสนั่น

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะอันตรายเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อเห็นเขา ทุกคนก็มีความมั่นใจขึ้นมาแล้ว

และคนที่จากไปเหล่านั้นก็ดูเหมือนว่าจะมีความละอายใจต่อไป๋หยวนฉุนอยู่บ้าง แต่ละคนก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองเขา

“เป็นไปไม่ได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเส้นลมปราณของเจ้าถูกตัดขาดสะบั้นไปหมดแล้ว เหตุใดจึงหายดีได้เล่า!”ท่านอาจารย์หูที่อยู่กลางเวหาพูดพลางส่งแรงกดดันมาทางเขา แต่ก็ถูกไป๋หยวนฉุนส่งแรงกดดันกลับไป

“ระดับจ้าววิญญาณขั้นสาม!” ท่านอาจารย์หูพรั่นพรึงจนถอยหลังไปด้วยร่างกายสั่นสะท้าน “เจ้าเลื่อนระดับแล้วหรือ!”

“ฮ่าๆ ถูกต้อง ข้าไม่เพียงแค่หายดีแล้วเท่านั้น แต่ยังเลื่อนระดับแล้วอีกด้วย!” ไป๋หยวนฉุนพูด “คนของกลุ่มโอหังฟังเอาไว้นะ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าครั้งหนึ่งเช่นกัน ถ้าหากเต็มใจออกจากกลุ่มโอหัง ไม่เข้าร่วมกับเรื่องราวในครั้งนี้ ข้าผู้นี้ก็จะยอมไม่สนใจอดีต มิฉะนั้นหากเข้ามาคนหนึ่งก็จะสังหารคนหนึ่ง หากเข้ามาคู่หนึ่งก็จะสังหารคู่หนึ่ง!”

“เฮอะ ไป๋หยวนฉุน เจ้ามันช่างโอหังเสียเหลือเกิน!” ฉินหมิงส่งเสียงเฮอะอย่างเย็นชา “ต่อให้เจ้าสำเร็จเป็นจ้าววิญญาณขั้นสาม ก็อย่าลืมว่าพวกเรามีทั้งจ้าววิญญาณขั้นสองและจ้าววิญญาณขั้นสามอยู่ นอกจากนี้ผู้ที่เพิ่งจะเลื่อนระดับเป็นจ้าววิญญาณหมาดๆ อย่างเจ้า จะมาสู้นายท่านหลิ่วที่เป็นขั้นสามมานานหลายปีแล้วได้อย่างไรเล่า”

“ต่อให้เจ้าไม่ตาย วันนี้เจออีกคราก็คงไม่รอดแล้วล่ะ” จ้าววิญญาณหลิ่วพูดอย่างเรียบเรื่อย นอกจากท่าทีตกใจเล็กน้อยตอนที่เห็นไป๋หยวนฉุนเมื่อครู่นี้แล้ว เขาก็ไม่มีสีหน้าอื่นใดอีก

“จริงหรือ เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าเจ้าจะมีปัญญาหรือไม่” ไป๋หยวนฉุนพูดจบก็ดีดร่างขึ้นมาเผชิญหน้ากับพวกเขากลางอากาศ

ฉินหมิงก็ทะยานร่างขึ้นมาด้วย เขามองไป๋หยวนฉุนพลางเอ่ยว่า “นับรวมข้าด้วย พวกเราก็มีจ้าววิญญาณรวมทั้งสิ้นสามคน เจ้าคิดว่าจ้าววิญญาณอย่างเจ้าเพียงคนเดียวจะพลิกกระแสน้ำได้หรือไม่เล่า”

“ใครบอกว่าพวกเรามีจ้าววิญญาณเพียงคนเดียวกันเล่า” ไป๋อวิ๋นฉียิ้มเยาะมองฉินหมิง “บอกแล้วว่าผู้ที่เชื่อข่าวลือช่างไร้เดียงสานัก เจ้าก็ยังไม่ยอมรับอีก!”

“เฮอะ หรือว่าเจ้ายังหาตัวจ้าววิญญาณสองคนออกมาได้อีกเล่า เจ้าเห็นจ้าววิญญาณเป็นผักกาดขาวหรืออย่างไร” ฉินหว่านพ่นลมออกทางจมูกอย่างดูแคลนคำพูดของเขา

“เจ้าช่างโง่เง่านัก! ความเข้มข้นต่างหากเล่าที่เป็นสิ่งสำคัญ! พวกเราต้องการเพียงแค่คนเดียวก็จัดการพวกเจ้าได้หมดสิ้นแล้วล่ะ!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางบีบจมูก

“ฝันเฟื่อง” โอวหยางเฟยเอ่ยเตือนอย่างเรียบเฉยอยู่ข้างๆ

“เขาฝันเฟื่องตั้งแต่เมื่อใดกัน” เว่ยจือฉีอมยิ้ม

“ก็จริงอยู่” โอวหยางเฟยพยักหน้า

“เฮ้ๆๆ ข้าเพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองหัวโบราณอยู่เหมือนกัน พวกเจ้ามารื้อเวทีข้าทำไมกัน!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างไม่พอใจ

“เช่นนี้มิได้เรียกว่ารื้อเวที การรื้อเวทีมิได้ทำเช่นนี้เสียหน่อย เจ้าอ้วน เจ้าใช้คำศัพท์ไม่เหมาะสมเลยนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ก็มาร่วมวงด้วย

ทั้งห้าคนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างมิได้รู้สึกถึงอันตรายเลย นี่ทำให้คนฝ่ายตรงข้ามไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าเป็นผู้สังหารท่านอาห้าของข้า วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ท่านอาห้าของข้าให้จงได้!” ฉินหว่านร้องขึ้น

“เจ้าน่ะหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบตามองนางปราดหนึ่งแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอหรอกนะ”

“นางยังมีคุณสมบัติไม่พอ เช่นนั้นข้าเล่า” ซีเย่ว์ซีมองตรงมายังซือหม่าโยวเย่ว์ เล็งเธอเอาไว้เป็นคู่ต่อสู้ของตน

ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ชอบเงยหน้าขึ้นมองผู้อื่น จึงเหินขึ้นมากลางอากาศ มองซีเย่ว์ซีพลางเอ่ยว่า “เหตุใดสตรีอย่างพวกเจ้าจึงชมชอบการต่อสู้กับข้าอยู่ตลอดเลยเล่า ข้าไม่มีความสนใจในสตรีเสียหน่อย! มิสู้ให้เป่ยกงของพวกเรามาเล่นกับเจ้าดีกว่านะ!”

เป่ยกงถังทะยานมาอยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์พอดี นางมองซีเย่ว์ซีก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะยอมช่วยเจ้าจัดการ แม้จะเกินความสามารถข้าไปบ้าง”

“เจ้าพวกคนวิปลาส!” จ้าววิญญาณหูเห็นพวกเขาไม่เห็นซีเย่ว์ซีอยู่ในสายตาเช่นนี้ จึงเพิ่มแรงกดดันใส่พวกเขาหมายจะทำให้พวกเขาลำบาก แต่แรงกดดันนั้นกลับไม่มีผลต่อพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้คนของกลุ่มทหารรับจ้างทั้งสองตกใจไม่น้อยเลย