ตอนที่ 396 เรื่องราวบนโลกดุจหมากกระดาน โดย ProjectZyphon
ตระกูลฉือ ภายในห้องหนังสืออันเงียบสงบ
ฉือหลิงเซียวนั่งเงียบอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ เขาขมวดคิ้วแน่นราวกับมีเรื่องทุกข์ใจใหญ่โต
อีกด้านฉือฉางเหมยยืนอย่างสง่าผ่าเผย เมื่อมองอย่างละเอียด สีหน้าในตอนนี้ของนางดูเลื่อนลอยและอึ้งงันอยู่บ้าง
ความจริงนางรู้เรื่องทั้งหมดที่หลินสวินทำในภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
ตอนนั้นนางตะลึงอย่างมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน แทบไม่อยากจะเชื่อ
เพราะไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ หลินสวินเพิ่งชนะการประลองกับผู้กล้าหญิงอย่างฮวาอู๋โยวได้อย่างสวยงาม ทำให้ชื่อเสียงของเขาสะเทือนไปทั้งนครต้องห้าม จนถูกขนานนามว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกปราณรุ่นเยาว์
เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือนเท่านั้น หลินสวินก็สร้างความฮือฮาเพียงนี้แล้ว จะไม่ให้ฉือฉางเหมยตกตะลึงได้อย่างไร
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ครั้งนี้หลินสวินไม่ได้ชนะด้วยพลังปราณ แต่เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ยากลำบากยิ่งกว่า…ศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณ!
แสงทองทะยานฟ้าในตำนาน เสียงร้องแห่งเก้ามังกรในตำนาน ปรมาจารย์สลักวิญญาณวัยเยาว์ที่อายุยังไม่ถึงสิบหกด้วยซ้ำ…
ทั้งหมดนี้ราวกับความฝันที่ยากจะเชื่อ หากไม่ใช่เพราะยืนยันแน่นอนหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นเรื่องจริง แม้แต่ฉือฉางเหมยยังรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงนิทานเรื่องหนึ่ง!
จนกระทั่งวันนี้ หลังจากค่อยๆ ได้สติ ฉือฉางเหมยจึงตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหานี้
หลังจากผ่านเรื่องนี้ ชื่อเสียงของหลินสวินจะยิ่งใหญ่ ประหนึ่งดวงดาราที่ส่องแสงแพรวพราวประดับเหนือฟากฟ้าของนครต้องห้าม ทำให้ทั้งเมืองไหวกระเพื่อม กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมือง
เป็นเช่นนี้ต่อไปก็จะจัดการกับหลินสวินยากขึ้น!
ด้วยเหตุนี้ฉือฉางเหมยจึงมาพบฉือหลิงเซียวบิดาของตนอย่างอดกลั้นไม่อยู่ ด้วยอยากฟังว่าบิดามีความเห็นอย่างไรต่อเรื่องนี้
เพียงแต่ที่นางคิดไม่ถึงคือ บิดาเองก็เหมือนยากจะปักใจเชื่อเรื่องนี้ ตกใจกับข่าวนี้จนถึงขั้นทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว
จะเห็นได้ว่าคลื่นลมที่หลินสวินสร้างขึ้นคราวนี้น่าเหลือเชื่อเพียงใด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉือหลิงเซียวที่เงียบมาตลอดในที่สุดก็เอ่ยปาก “เด็กคนนี้…ช่างเป็นอัจฉริยะที่เหนือความคาดหมาย เพียงแค่ความเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะทำให้สถานการณ์ของเขาปลอดภัยและมั่นคงขึ้นไปได้อีกระดับแล้ว”
ฉือฉางเหมยรู้สึกสับสน นางเองก็ตระหนักถึงเรื่องนี้
ตั้งแต่หลินสวินเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามจนถึงตอนนี้ก็เพิ่งจะครึ่งปีกว่าเท่านั้น ใครจะคิดว่าเขาที่บ้านแตกสาแหรกขาด หัวเดียวกระเทียมลีบ จะแข็งแกร่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ และประสบความสำเร็จได้มากเพียงนี้
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
เขาโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ หากเติบใหญ่น่ากลัวว่าจะทำให้ตระกูลหลินที่พินาศไปตั้งนานแล้วผงาดขึ้นมาได้อีกครั้ง!
“แต่ตอนนี้ผลงานของเขาสะดุดตาเกินไป ย่อมทำให้เหล่าผู้มีอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเกรงกลัวเขา นับเป็นเรื่องดีหรือไม่ก็ยากจะคาดเดา”
ฉือหลิงเซียวเปลี่ยนเรื่อง พร้อมสีหน้าจริงจัง
“ผู้มีอำนาจฝ่ายใดบ้าง”
ฉือฉางเหมยอดถามไม่ได้ คำถามนี้คาใจนางมานานแล้ว
นางแทบไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดเพื่อจัดการหลินสวินเพียงคนเดียว ถึงได้เกี่ยวโยงไปถึงเรื่องราวซับซ้อนมากมายขนาดนั้น
ฉือหลิงเซียวคิดๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ยังจำเรื่องที่ทางตระกูลให้เจ้าส่งคนไปขวางหลินสวินไม่ให้เข้านครต้องห้ามได้หรือไม่”
ฉือฉางเหมยหยักหน้า
ฉือหลิงเซียวสีหน้าแปลกไป “ตระกูลฉือของเรา…เป็นเพียงผู้รับคำสั่งเท่านั้น เจ้าลองคิดดูว่าทั่วทั้งจักรวรรดินี้ คนที่ออกคำสั่งกับตระกูลฉือได้มีกี่คน”
ฉือฉางเหมยหัวใจเต้นระทึก สีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “หากไม่ใช่วังหลวง ก็คงเป็นหอดูดาวหลวง?”
ฉือหลิงเซียวไม่ปฏิเสธ เพียงพูดต่อว่า “ไม่ง่ายดายเพียงเท่านี้หรอก ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง”
ฉือฉางเหมยไม่จำยอม “คำว่าต่อไปที่ว่านี้ต้องรออีกนานเท่าไหร่”
ฉือหลิงเซียวอึ้งงันไป ใคร่ครวญครู่หนึ่ง “อย่างน้อยก็ห้าปี อย่างมากสิบปี”
“เพียงแค่จัดการกับหลินสวินเท่านั้น เหตุใดยังต้องมีการจำกัดด้านเวลาด้วย”
ฉือฉางเหมยสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างมีไหวพริบ
“เพราะทุกคนกำลังรอคำสั่งที่แน่ชัด”
ฉือหลิงเซียวโบกมือพร้อมสีหน้าเรียบเฉย “เจ้ากลับไปเถอะ ตอนนี้หลิงสวินยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ตอนตกลงมาก็ยิ่งสาหัสเท่านั้น อย่าไปใส่ใจนัก”
ฉือฉางเหมยลอบถอนหายใจก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
นางรู้ว่าฐานะของตัวเองต่ำต้อยนัก ไม่อาจรู้สายสนกลในอะไรลึกซึ้งได้
ทว่าจากเรื่องนี้ก็สามารถสรุปได้ว่า ในตัวหลินสวินจะต้องมีความลับชวนตะลึงมากมายซ่อนอยู่เป็นแน่ ถึงได้ทำให้สถานการณ์ในที่ลับซับซ้อนถึงเพียงนี้
‘ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องสืบประวัติความเป็นมาของเจ้าให้กระจ่าง!’
ฉือฉางเหมยตัดสินใจอย่างแน่วแน่
นางรู้สึกว่าหลินสวินเหมือนเป็นศัตรูเก่าของนาง มักทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายและเกรงกลัวอย่างบอกไม่ถูก ถ้าไม่จัดการให้สิ้นซาก ชาตินี้นางก็ยากจะอยู่อย่างสงบสุข!
……
ปราสาทรัตติกาล
“การผงาดในครั้งนี้ของหลินสวินปุบปับเกินไป ทำให้ขุมอำนาจทั้งหมดต่างทำอะไรไม่ถูก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่”
“ตาเฒ่าบนหอดูดาวหลวงนั่นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่มีการเคลื่อนไหวในขณะนี้”
“หึ ความอดทนของเขาสูงจริงๆ เขาควรรู้ดีกว่าใครว่าเด็กหนุ่มที่ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องแห่งเก้ามังกร’ ได้หมายความว่าอะไร”
ภายในตำหนักมืดอันกว้างขวาง มีเสียงสนทนาระหว่างราชินีแห่งรัตติกาลกับชายชราดังสะท้อนก้อง
สีหน้าของชายชรานอบน้อมและอ่อนโยนเหมือนปกติ ยืนโค้งกายเล็กน้อย มารตฐานด้านพิธีการนั้นไม่มีที่ติ
ทว่ายามนี้เขาคล้ายจะเริ่มลังเล ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “คุณหนู อัจฉริยะอย่างหลินสวินมีค่ามากพอที่เราจะเรียกตัวเข้ามาอยู่ในปราสาทรัตติกาลได้แล้ว”
“ไม่ได้!”
ราชินีแห่งรัตติกาลตอบอย่างเด็ดเดี่ยวโดยไม่ลังเล ทำเอาชายชราอดตะลึงไม่ได้
“ฐานะของเขาพิเศษเกินไป หากเข้ามาอยู่ในปราสาทรัตติกาล มีเพียงสองเหตุการณ์ที่จะตามมา ถ้าไม่ใช่ปราสาทรัตติกาลทำให้เขาเดือดร้อน ก็เป็นเขาทำให้ปราสาทรัตติกาลเดือดร้อน และอย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่า”
เสียงของราชินีแห่งรัตติกาลเจือแววพร่าอย่างเป็นเอกลักษณ์ กังวานก้องลอย “เจ้าคงรู้ดีว่า เขาไม่เพียงเป็นทายาทสายตรงตระกูลหลิน ยังเป็นผู้สืบทอดของลู่ป๋อหยาด้วย”
ลู่ป๋อหยา!
ชายชราเงียบไปทันที เขาไม่ได้รู้จักลู่ป๋อหยามากนัก หรือเรียกได้ว่าไม่รู้จักเลยจะดีกว่า เขาเคยไปสืบประวัติความเป็นมาของลู่ป๋อหยา แต่กลับพบว่าไม่มีเบาะแสอันใดที่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
แต่เห็นชัดว่าคนที่ราชินีแห่งรัตติกาลจะระลึกถึงได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
ชายชราเองก็อดสนเท่ห์ไม่ได้ ลู่ป๋อหยาคนนี้เป็นเทพเซียนจากไหนกันแน่ แม้แต่เขายังไม่รู้ชัด และนี่เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อยิ่งนัก
ถ้าพูดอย่างไม่ถ่อมตัวก็คือ ด้วยฐานะและความสามารถของชายชรา แม้แต่ความลับภายในวังหลวงเขายังสืบจนรู้ได้ แต่เรื่องราวของลู่ป๋อหยากลับไม่มีวี่แวว
เรื่องนี้ดูผิดปกติมาก
“ซย่าจื้อเป็นอย่างไรบ้าง”
จู่ๆ ราชินีแห่งรัตติกาลก็ถามขึ้น
“หลังจากที่ท่านจัดแจงให้นางเข้าไปอยู่ในมิติรัตติกาล พลังในร่างนางก็กำลังตื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว…”
ชายชราตอบกลับว่องไว
“อีกนานเท่าไหร่ถึงจะสู้กับยอดฝีมือระดับกระบวนแปรจุติได้”
“อย่างน้อยห้าปี”
ชายชราลังเลอยู่นานก่อนจะตอบ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจ
“ช้าเกินไป…”
ราชินีแห่งรัตติกาลถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ก็จริง ปิดด่านกักตนอย่างไรก็สู้เคี่ยวกรำประสบการณ์จากศึกจริงไม่ได้ รออีกหน่อยให้ส่งตัวนางไป ‘สนามรบปีศาจโลหิต’”
“คุณหนู มันอันตรายเกินไป”
ชายชราหรี่ตาลง สนามรบปีศาจโลหิตนั่นเป็นสถานที่อันโหดเหี้ยมอำมหิตที่แม้แต่ยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะยังไม่กล้าเหยียบย่างเข้าไปง่ายๆ!
“ยิ่งอันตรายก็ยิ่งเป็นการกระตุ้นพลังภายในตัวนาง ทำตามอย่างที่ข้าสั่งเถอะ”
ราชินีแห่งรัตติกาลพูดเสียงเรียบ
ชายชราอึ้งไปครู่ ก่อนจะตระหนักบางอย่างขึ้นได้ฉับพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองบัลลังก์กระดูกขาวอันสูงส่งที่ตั้งอยู่กลางตำหนัก “คุณหนู ท่าน…”
“เวลาที่เหลือให้ข้ามีไม่มากแล้วจริงๆ”
ราชินีแห่งรัตติกาลเหมือนรู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร จึงเอ่ยเสียงเบา “เคราะห์นี้ ข้าต้องผ่านมันไปให้ได้”
สีหน้าของชายชราดูสับสนเกินจะเปรียบ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดคุณหนูจึงบอกว่าพลังของซย่าจื้อฟื้นตัวช้าเกินไป…
…….
ณ หอดูดาวหลวงสูงร้อยจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขาจื่อจิงที่สูงนับพันจั้ง
ดูจากบนนี้สามารถเห็นทิวทัศน์เกือบทั่วนครต้องห้าม
ไม่ใช่ยามรัตติกาล แต่ราชครูกลับปรากฏตัวบนยอดหอดูดาวหลวง ร่างกายอันผอมแห้งของเขาพิงอยู่บนระเบียง รับสายลมอันเย็นยะเยือกในขณะที่ทอดสายตามองผืนปฐพี
ผมขาวพลิ้วไปตามสายลม เผยให้เห็นใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แต่สายตาของเขากลับกระจ่างใสบริสุทธิ์ประหนึ่งเด็กน้อย
ไม่มีใครรู้ว่านับตั้งแต่รู้ข่าวของหลินสวินเมื่อคืนก่อน ราชครูก็ขึ้นมาในหอดูดาวหลวงเพียงลำพัง และยืนอยู่เช่นนั้นทั้งคืน
ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“หากไม่มีเหตุนองเลือดในตอนนั้นคงดี…”
จวบจนกระทั่งพระอาทิตย์สีแดงก่ำลับขอบฟ้าไป ราชครูจึงส่งเสียงถอนหายใจออกมา เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงสุดท้ายก่อนอาทิตย์ตกดิน รอยเหี่ยวหย่นเหล่านั้นยิ่งดูยุ่งเหยิงและโชกโชน
เสียงฝีเท้าพลันดังแว่วขึ้น
ราชครูยืนนิ่งไม่ขยับ แต่สีหน้ากลับคืนสู่ความเฉยชาดังเดิม เขาราวกับรู้อยู่แล้วว่าผู้มาเป็นใคร “องค์ชายเก้า ท่านนั่งไม่ติดแล้วหรือ”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีหยกเหลืองปรากฏตัวบนหอดูดาวหลวง เขาโค้งคำนับให้ชายชราที่ยืนพิงระเบียงก่อนจะพูดราวเยาะเย้ยตัวเอง “เจอเรื่องใหญ่แบบนี้ ใครเล่ายังอยู่เฉยได้”
เขาหยุดไปครู่ สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง สายตาจ้องมองแผ่นหลังอันผอมแห้งของชายชรา “ราชครู หากท่านไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับข้า ข้า…คงได้แต่ต้องจัดการเองแล้ว”
“จัดการเอง?”
ราชครูหมุนตัวกลับไปมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาใสกระจ่าง
ทันใดนั้นสีหน้าของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าองค์ชายเก้าพลันเปลี่ยนไป ร่างกายหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ตัวแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่อยู่
แต่เขากลับยังกัดฟันพูดว่า “ไม่ผิด ข้ารอต่อไปไม่ไหวแล้ว หลินสวินนั่นไม่ควรเข้ามาอยู่ในนครต้องห้ามตั้งแต่แรกแล้ว!”
“ท่านกำลังโทษข้าอยู่งั้นหรือ?”
ราชครูพูดเสียงเรียบ
องค์ชายเก้าตัวสั่นขึ้นคำรบหนึ่ง สีหน้าแปลกประหลาด สัมผัสได้ถึงความกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเขาแทบหยุดหายใจ
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ฝืนกดข่มความรู้สึกไม่สงบ “ข้า…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
ราชครูเก็บสายตากลับมาและมองทิวทัศน์อีกครั้ง ก่อนพูดโดยไม่เจือความรู้สึกใด “ตั้งแต่วันนี้ ท่านก็ปิดด่านกักตนอยู่แต่ในจวนเถิด ข้าจะส่งคนไปดูแลความเป็นอยู่ของท่าน รอให้ท่านสงบใจลงได้เมื่อไหร่ ค่อยมาพบข้าก็ยังไม่สาย”
คำพูดนี้ทำเอาองค์ชายเก้าราวกับถูกฟ้าผ่า ใบหน้าขาวซีดโดยพลัน พูดเสียงหลง “ราชครู เพราะเหตุใด ท่าน…ท่านจะกักบริเวณข้าหรือ”
“ทุกเรื่องบนโลกเสมือนหมากกระดาน ไม่มีอะไรแน่นอน เรื่องบางเรื่องท่านยังไม่เข้าใจ”
ชายชราโบกมือน้อยๆ
พลังน่าหวาดหวั่นที่ยากจะพรรณาได้แผ่ตัวขึ้นมา และพาตัวองค์ชายเก้าจากไปทั้งอย่างนั้น โดยที่เขายังไม่ทันได้ต่อต้านด้วยซ้ำ
ส่วนชายชรายังคงยืนอยู่หน้าระเบียงเพียงลำพังต่อ เฝ้ามองท้องฟ้ารัตติกาลไกลๆ จมสู่ความเงียบงัน