คนชุดดำสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าล่าเยวี่ยจะฝึกฝนจนกลายเป็นร่างกระบี่หลังกำเนิดได้สำเร็จ!
ในเวลานี้ เขาเข้าใจความคิดของเจ้าล่าเยวี่ยแล้ว
เมื่อเข้ามาในอารามแล้วรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นางรีบเรียกกระบี่มิคำนึงออกมา ใช้กระบวนท่าปกป้องตัวเองอันแปลกประหลาด นั่นคือการจงใจแสดงความอ่อนแอ
ในตอนที่ปราณกระบี่ของนางเริ่มมีไม่พอที่จะค้ำจุนกระบวนท่านั้นเอาไว้ได้ จึงตัดการเชื่อมต่อกับกระบี่มิคำนึง แล้วให้มันบินหนีออกไปเพื่อขอความช่วยเหลือ นั่นยังคงเป็นการจงใจแสดงความอ่อนแอ
ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด นางถึงได้ใช้สองมือของตัวเอง แสดงพลังที่แท้จริงของร่างกระบี่ของตนเองออกมา
ต่อให้นางไม่สามารถทำให้ตนบาดเจ็บได้ แต่ก็พอจะประวิงเวลาได้บ้าง
ขอเพียงนางประวิงเวลาได้สักเล็กน้อย ก็มีโอกาสที่ศิษย์ร่วมสำนักจะมาช่วยเหลือได้ทันเวลา
“สมแล้วที่เป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่เชี่ยวชาญการต่อสู้มาแต่กำเนิด เสียดายที่เวลามีไม่มากพอ เจ้ายังคงต้องตายอยู่ดี”
สายตาคนชุดดำมองดูใบหน้านางผ่านกำปั้นทั้งสองข้างที่มีโลหิตหยดลงมา สายตายิ่งดูเย็นยะเยือก
เขาคิดว่าตนเองระมัดระวังมากพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองยังคงประเมินคู่ต่อสู้ต่ำเกินไป
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาคงไม่สามารถออมมือได้อีก ถึงแม้หลังจบเรื่องนี้แล้วจะมีร่องรอยหลงเหลือจนทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมาก็ตาม
ลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาช่องนิ้วมือบนกำปั้นของเขา
ลำแสงสีขาวนวลอ่อนโยน เป็นรัศมีที่บริสุทธิ์ที่สุด
ไม่มีใครรู้ว่าในมือเขากุมอาวุธวิเศษแบบไหนเอาไว้กันแน่?
แคว่ก!
บนเสื้อผ้าของเจ้าล่าเยวี่ยมีรอยขาดปรากฏขึ้นมาหลายสิบรอย บนคิ้วซ้ายของนางมีรอยแผลปรากฏขึ้นมารอยหนึ่ง เลือดสดๆ ไหลออกมา
นางฝึกฝนวิชาเจตน์กระบี่หลอมกายาบนยอดเขาอวิ๋นสิงมาเป็นเวลาหลายปี ความอดทนของร่างกายและใจแห่งเต๋าเหนือกว่าอัจฉริยะแห่งการบำเพ็ญพรตที่อายุเท่ากัน
แต่สิ่งที่นางเผชิญหน้าอยู่ในเวลานี้คือการโจมตีซึ่งๆ หน้าจากอาวุธวิเศษ
จิตใจของนางยังคงมุ่งมั่น แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายมีจำกัด
ทันใดนั้นบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันมีเจตน์กระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
พลังอันดุดันและเกรี้ยวกราดสายหนึ่งกำลังเข้าใกล้หุบเขาด้วยความเร็วอย่างที่ยากจะจินตนาการได้
นั่นอาจจะเป็นยอดฝีมือขั้นแหวกทะเล
คนชุดดำรู้ว่าผู้ที่มาเป็นใคร แต่เขามิได้กังวลใจ เมื่อสามวันก่อนเขาและผู้ที่ร่วมมือกับเขาได้ทำการจำลองสถานการณ์การต่อสู้ภายในวันนี้ขึ้นมาหลายครั้ง ก่อนมั่นใจว่าต่อให้เจ้าล่าเยวี่ยจะส่งกระบี่ออกไปขอความช่วยเหลือ เขาก็ยังมีเวลาเหลือพอให้จัดการนางได้
ระยะห่างจากเรือนซีซานมาถึงหุบเขาหมิงชุ่ยมิถือว่าไกล แต่ก็ไม่อาจมาถึงได้ในพริบตา
……
……
ด้านนอกอาราม พลันมีเสียงพิณดังขึ้นมา
เสียงพิณมิได้กังวานอะไร แต่กลับดังชัดเจนเป็นอย่างมาก
อารามกำลังพังทลายลงมา ก้อนหินร่วงตกลงมาบนพื้น ส่งเสียงดังสนั่น แต่กลับไม่สามารถกลบเสียงพิณได้
ไอพลังที่เบาบางสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
คนชุดดำตกตะลึง เพราะเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ไอพลังสายนั้นอยู่ด้านนอกอารามนี่เอง
เหตุใดถึงมีคนเข้ามาใกล้ขนาดนี้? หุบเขาหมิงชุ่ยรกร้างห่างไกล กระทั่งนักท่องเที่ยวก็ไม่มี ทำไมจู่ๆ ถึงมีผู้บำเพ็ญพรตปรากฏตัวขึ้นมาได้?
นอกเสียจากว่าจะมีคนรู้เรื่องที่เขาวางกับดักเอาไว้ที่นี่ล่วงหน้า แต่ปัญหาคือใครจะรู้ได้?
ในช่วงเวลาสั้นๆ คนชุดดำทำการคำนวณผลลัพธ์ออกมา ก่อนจะทำการตัดสินใจ
หากเขาคิดอยากจะสังหารเจ้าล่าเยวี่ยและผู้บำเพ็ญพรตที่อยู่นอกอารามผู้นั้นพร้อมกัน เขาจำเป็นต้องใช้เวลาสักครู่หนึ่ง ซึ่งนั่นจะทำให้ยอดฝีมือของสำนักชิงซานมาถึงที่นี่ได้ทันเวลา
ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญพรตที่แข็งแกร่ง เขามีทั้งสติปัญญา ความกล้าและความสามารถในการตัดสินใจ แม้นจะอยู่ต่อหน้าโอกาสที่ดีขนาดนี้ เขายังคงละทิ้งมันอย่างไม่ลังเล
ร่างกายเขาค่อยๆ หายไปพร้อมกับเศษหินดินทรายที่ร่วงตกลงมา เพียงแต่ก่อนที่จะหายไป เขาได้เหลือบมองดูเจ้าล่าเยวี่ยที่ทั้งร่างชโลมไปด้วยโลหิต
……
……
เสียงพิณหายไป เด็กหญิงผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นตรงด้านนอกซากปรักหักพังของอาราม
คนชุดดำหายไปแล้ว นางมองไปยังขุนเขาที่เขียวขจีและธรรมดา บนใบหน้าไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าวิชาการหลบหนีของอีกฝ่ายจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวนางในตอนนี้ก็มิใช่ตัวนางอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงมิได้ไล่ตามไป หากแต่รั้งอยู่ที่นี่
เวลานี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่สาวน้อยยังคงสวมเสื้อที่มีเนื้อผ้าหนาๆ ดูค่อนข้างแปลกประหลาด
นางสะบัดแขนเสื้อ เศษหินที่อยู่ในซากปรักหักพังกลิ้งกระจายตัวออก เผยให้เห็นพื้นด้านล่าง
เจ้าล่าเยวี่ยั่งอยู่ตรงมุมอาราม เสื้อผ้าขาดวิ่น คราบเลือดเต็มร่างกาย ผมเผ้าและใบหน้าเปรอะเปื้อนสกปรก ดูกระเซอะกระเซิงสิ้นสภาพ
แต่สีหน้าของนางกลับเรียบเฉย มองดูสาวน้อยที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ ผู้นั้น มิได้กล่าวกระไร
วันนี้มาตามที่ได้นัดหมายกับอีกฝ่าย ถึงได้ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ จนเกือบจะถูกสังหาร
สาวน้อยที่สวมเสื้อหนาๆ ผู้นี้ก็คือกั้วตง ผู้สืบทอดของสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ย
กั้วตงเดินผ่านพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหิน มายืนอยู่ตรงหน้าเจ้าล่าเยวี่ย ก่อนจะสกัดจุดห้ามเลือดให้นางไปหลายจุดโดยที่นิ้วมิได้ถูกตัว จากนั้นกล่าวว่า “เจ้าโง่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าว “เพราะสำหรับข้าแล้ว เรื่องที่เราพบกันมันเป็นเรื่องที่สมควร จึงมิได้คิดอะไรมาก”
กั้วตงกล่าวว่า “เพราะอะไร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ย ข้าเป็นศิษย์ของนักพรตจิ่งหยาง ย่อมต้องมาเจอหน้ากันอยู่แล้ว”
กั้วตงรับรู้ได้ถึงร่องรองของเจตน์กระบี่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในซากปรักหักพัง หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่จึงกล่าวว่า “ไม่เลว เขาถ่ายทอดเพลงกระบี่นี้เอาไว้ให้เจ้า แสดงให้เห็นว่าเขามองเจ้าเป็นศิษย์ที่แท้จริง เช่นนั้นข้าก็สมควรจะมาพบเจ้าจริงๆ”
เจ้าล่าเยวี่ยใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงไปไว้ด้านหลังหู ในใจรู้สึกคิดถึงหวีจันทราของจิ๋งจิ่วขึ้นมา
นางไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นตนตกอยู่ในสภาพแบบนี้
เพราะอีกฝ่ายคือศิษย์ของเหลียนซานเยวี่ย
หลังจากนั้นสิบกว่าอึดใจ พลันมีลมพัดขึ้นมาอย่างรุนแรง ลำธารในหุบเขาหมิงชุ่ยไหลไม่เป็นทิศเป็นทาง ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งลงมาบนพื้นดุจดั่งสายฟ้า
หนานว่าง เจ้าแห่งยอดเขาชิงหรงมาถึงแล้ว
นางมองดูสภาพเจ้าล่าเยวี่ย สองคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อย กล่าวว่า “ใคร?”
เจ้าล่าเยวี่ยกล่าวว่า “หนีไปเมื่อสิบห้าอึดใจก่อนหน้านี้”
“คิดจะหนี?”
หนานว่างหมุนตัวมองไปทางหุบเขา ใบหน้าเผยให้เห็นจิตสังหาร
เสื้อผ้านางพลิ้วไหวขึ้นมาตามลม เจตน์กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาหมิงชุ่ย
จิตจำแนกแห่งกระบี่แข็งแกร่งอย่างมากสายหนึ่งกระจายตัวออกไปทุกทิศทุกทาง พริบตาก็ปกคลุมป่าและภูเขาโดยรอบเป็นรัศมีสิบกว่าลี้
แต่นางก็มิได้พบไอพลังของผู้บำเพ็ญพรตคนไหนเลย
กั้วตงกล่าว “น่าจะเป็นวิชาหลบหนีฟ้าดิน”
หนานว่างมองดูนาง มิได้กล่าวกระไร
นางไม่ชอบเหลียนซานเยวี่ย เช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางชื่นชอบกั้วตงด้วยกันเหมือน แต่นางก็ต้องยอมรับว่าความรู้ของศิษย์สำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยนั้นมิธรรมดาจริงๆ
มีลำแสงกระบี่บินมาถึงริมลำธารในหุบเขาหมิงชุ่ยไม่ขาดสาย ศิษย์ชิงซานหลายสิบคนทยอยขี่กระบี่บินมา มุ่งหน้ามาจากเมืองเจาเกอ
หนานว่างกล่าวสีหน้าเรียบเฉย “ตั้งข่ายพลังกระบี่ค้นหาศัตรู”
ฟิ้วๆๆๆ ศิษย์ชิงซานบินออกไปยังแต่ละที่ ตั้งข่ายพลังกระบี่ขนาดใหญ่ขึ้นมา จากนั้นเริ่มค้นหาในป่าและภูเขาในระยะร้อยกว่าลี้
ลำแสงกระบี่จำนวนหลายสิบสายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ขอบเขตกระจายไปไกลจนเกือบถึงกำแพงเมืองเจาเกอ นี่ย่อมต้องสร้างความตกตะลึงเป็นอย่างมากแน่นอน
ผ่านไปไม่นาน ศิษย์ชิงซานทยอยกลับมา เยาซงซานมองหนานว่างพลางส่ายศีรษะ
หนานว่างคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะสามารถหลบหนีไปได้ก่อนที่ชิงซานจะตั้งข่ายพลัง จึงรู้สึกโมโหเป็นยิ่งนัก อีกทั้งรู้สึกระแวดระวังขึ้นมา
หรือจะเป็นเจ้าพวกสำนักจงโจวจริงๆ?
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หนานว่างมองเจ้าล่าเยวี่ย พลางกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใย แต่น้ำเสียงกลับแข็งกร้าว มิได้มีความอบอุ่นใดๆ แม้แต่น้อย
คำตอบของเจ้าล่าเยวี่ยยิ่งแข็งกร้าวกว่าคำพูดของหนานว่าง
“ไม่ตายหรอก”
…………………………………………