บทที่ 252 สามเผ่าพันธุ์

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 252 สามเผ่าพันธุ์

“เจ้าหมีใหญ่….เจ้ามาที่นี่ทำไม”

ผู้อาวุโสหลี่ขมวดคิ้วในทันใดเมื่อได้เห็นชายขนท่วมกำลังเดินเข้ามาหา พร้อมกับมีชายสองคนที่สูงและผอมเพรียวเดินตามมาข้างหลังชายที่ถูกเรียกว่าหมีใหญ่

หมีใหญ่ได้หันไปด้านหลังก่อนจะพยักหน้าให้กับชายสองคน หลังจากนั้นก็ได้มีสัตว์ประหลาดระดับขุนพลขั้นสูงนับพันได้ปรากฏตัวจากข้างหลัง แน่นอนว่าทุกตัวพึ่งจะออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ

กลายเป็นว่าคนทั้งสามนี้คือสัตว์ประหลาดระดับราชา

ส่วนสัตว์ประหลาดนับพันนี้นั้นถูกพาออกมาจากโลกใบเล็กในร่างของราชาสัตว์ทั้งสาม

หมีใหญ่ได้คำรามใส่สัตว์ประหลาดนับพันให้สงบ ก่อนที่จะพูดออกมา

“เจ้ากวางน้อย บอกข้ามาว่าเจ้าเห็นอะไรในเขตแดนจักรพรรดิ”

“จิจี้…”

เมื่อส่งเสียงเล็กๆออกมานั้น มันได้ยกขาหน้าไปทางหยานเสวี่ย

สัตว์ประหลาดเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะสามารถเปลี่ยนรูปร่างให้เป็นมนุษย์ได้เมื่อมีระดับการบ่มเพาะเข้าสู่ระดับขั้นราชาแห่งพงไพร แต่ถึงแม้รูปร่างจะต่างกันแต่ก็ยังพูดคุยกันได้ปกติ

ส่วนหยานเสวี่ยเองนั้น ในตอนนี้ทำได้เพียงมองไปที่กวางตัวนี้ที่ร้องเสียงน่ารักออกมาอย่างจับใจ

หลังจากผ่านไปสักพัก เมื่อกวางน้อยตัวนี้พูดจบก็ได้เดินกลับเข้ากองกำลังของมันไป

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่หลี่ เด็กๆของข้านั้นบอกข้าว่าเผ่าพันธุ์ของท่านนั้นได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาจากเขตแดนจักรพรรดิน่ะ”

“ไม่เพียงพวกท่านจะได้รับแก่นวิญญาณไปมากมายแล้วพวกท่านยังค้นพบความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ในเขตแดนจักรพรรดิด้วยนี่นา”

“ตัวข้านั้นเลยคิดพาสัตว์ประหลาดที่พึ่งจะออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิเหล่านี้มาช่วยยืนยันเพียงเท่านั้นไม่คิดเป็นอื่นใด”

อย่างไรก็ตาม ผู้อาวุโสหลี่นั้นไม่ได้เห็นสัตว์ประหลาดเหล่านี้อยู่ในสายตา

นั่นก็เพราะหากพูดถึงการต่อสู้ของทั้งสามเผ่าพันธุ์แล้วนั้น ในสายตาของมนุษย์กลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดไม่ได้ต่างจากเนื้ออันโอชาที่จ่ออยู่ที่ปาก จะกัดจะกินเมื่อไหร่ก็ได้

มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ถือได้ว่าเป็นศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์กลายพันธุ์

ส่วนสัตว์ประหลาดนั้น พวกเขาจะใช้ จะทิ้ง จะขว้าง ล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเพียงเท่านั้น

ผู้อาวุโสหลี่ได้มองไปที่หมีใหญ่อย่างดูถูก ก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบนาบ “เจ้าหมีใหญ่ ที่นี่คือเขตของมนุษย์กลายพันธุ์ของพวกเรา ไม่มีสิ่งใดให้เจ้าต้องยุ่งเกี่ยว”

“หากเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดดีไม่ดีล่ะก็ ข้าขอแนะนำให้เจ้ารีบๆไปซะให้พ้นๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าจะจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับนักรบของข้าที่พึ่งจะออกมา”

ถึงแม้จะพูดอย่างเนิบนาบ แต่คำพูดของผู้อาวุโสหลี่กลับเต็มไปด้วยความดุดัน

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ตาม ชายที่ถูกเรียกว่าหมีใหญ่นี้นั้นเป็นอัจฉริยะแห่งสัตว์ประหลาด ผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชาสัตว์ประหลาดขั้นกลาง

และด้วยการที่ทั้งสองฝั่งนั้นต่างก็มีนักรบระดับสูงมา ด้วยราชาสัตว์ประหลาดสิบกว่าตนและราชาเหนือมนุษย์เพียงแค่ไม่กี่ตน จึงไม่แปลกที่เหล่าสัตว์ประหลาดจะพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้า

และหากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะต้องมีเรื่องให้รีบจัดการ เพียงสัตว์ประหลาดได้ปรากฏตัว ทั้งสองฝั่งก็คงลงไม้ลงมือกันไปแล้ว

“พี่หลี่ ท่านคงไม่คิดว่าแค่พูดมันก็จบหรอกนา”

“พวกเราต่างก็เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิไปมากมายหลายหนแต่ก็ไม่เคยมีใครในหมู่พวกเราไขปัญหาความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ได้เลยสักตน”

“แต่มาในตอนนี้ คนของท่านสามารถค้นพบความลับที่ยิ่งใหญ่ได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องรับรู้กันให้ทั่วไม่ใช่รึไงกัน”

“ถึงแม้ว่าท่านนั้นคิดจะหวงแหนความลับนี้เอาไว้ยังไงก็ตาม แต่ข้าเชื่อว่าไม่เพียงแต่พวกข้าเท่านั้นที่รู้ แม้แต่พวกมนุษย์เองก็คงคิดไม่ต่างจากข้าล่ะนะ”

“ไอ้หมีใหญ่ นี่เจ้าหมายความว่าเจ้าคิดจะร่วมมือกับมนุษย์มาต่อกรกับข้างั้นรึ” หลังจากพูดจบ ผู้อาวุโสหลี่ก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วตะโกนออกมาดังลั่น “ฮั่นจุย ในเมื่อแกอยู่นี่แล้วก็อย่าได้หดหัว รีบเสนอหน้าออกมาคุยกันอย่างเปิดเผยซะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลี่ พี่หมีใหญ่ พวกท่านดีกับข้าจริงๆ เมื่อมีเรื่องสนุกๆก็คิดจะแบ่งปัน”

“แต่ก็อีกล่ะนะ ในเมื่อเขตแดนจักรพรรดิปิดลงแล้ว ข้าผู้นี้ร่วมสนุกกับพวกท่านหน่อยก็แล้วกัน”

เมื่อสิ้นเสียง เรือมังกรบินก็ได้ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และลดระดับต่ำลงมาจอดที่พื้นโดยมีฮั่นจุย ผู้อาวุโสเทีย ผู้อาวุโสถง และสามผู้การร่วม พร้อมกับนักรบฝั่งมนุษย์อีกนับพันได้ทยอยเดินออกมาจากเรือ

“ฮั่นจุย ไม่ว่ายังไงก็ตาม แกมันก็เป็นเพียงแค่ระดับจอมพลขั้นกลางเท่านั้น กับอีแค่คนเพียงหยิบมือที่เจ้าพาออกมาจากโลกใบเล็กของแกนั้นไม่ได้ต่างไปจากแมลงหวี่แมลงวันเลยแม้แต่น้อย แล้วแกจะมาทำหอกอะไรกัน”

“แกคิดจริงๆเหรอว่าจะทำอะไรได้”

ผู้อาวุโสหลี่ได้ชี้นิ้วไปที่ฮั่นจุยและคนอื่นๆที่ก้าวเดินออกมาจากเรือมังกรบินอย่างดูถูกดูแคลนอย่างที่สุด

“หึหึหึ พี่หลี่ หากพูดถึงเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีการหลอมพวกนั้น แน่นอนว่าพวกข้าอาจจะสู้พวกท่านไม่ได้”

“บอกตามตรงเลยก็ได้ว่าแม้แต่เรือมังกรบินนี่เองพวกข้าก็ต้องเสียทำแรงคนและสิ่งของไปมากมายเพื่อสร้างมันขึ้น”

แม้จะได้ยินเสียงของผู้อาวุโสหลี่ด่าทออย่างไม่ขาดสาย แต่เมื่อพบเจอกับหมีใหญ่แล้วนั้น ฮั่นจุยกับทักทายด้วยรอยยิ้ม หากใครไม่รู้มาก่อนล่ะก็คนคิดว่าทั้งสามเป็นเพื่อนที่สนิทชิดเชื้อกันที่เพียงแค่ไม่ได้พบเจอหน้ากันมานานแรมปีเพียงเท่านั้น

แต่ด้วยมุมมองของผู้ที่อยู่ในระดับผู้การกองกำลังและนักรบของทั้งสามเผ่าพันธุ์แล้ว บอกได้เลยว่าทั้งสามไม่ได้สนิทกันอย่างที่เห็นแต่อย่างใด

เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็สู้รบตบมือกันมาอย่างช้านาน หาได้พึ่งจะมีเรื่องบาดหมางกันไม่

“พี่ฮั่นจุย พี่หลี่ หากว่าพวกท่านอยากจะพูดคุยกันถึงเรื่องเก่าก่อนนั้นข้าว่าค่อยไปคุยกันภายหลังจะดีกว่าล่ะนะ ตอนนี้เราไม่มาคุยเรื่องธุระให้มันจบสิ้นกันก่อนไม่ดีกว่ารึไงกัน”

เมื่อได้เห็นว่าทั้งสามกองกำลังได้มาอยู่กันชนิดกระชั้นชิด หมีใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างดัง

“นี่หมายความว่าพวกแกไม่คิดจะออกไปจากที่ของพวกข้าจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่องสินะ”

“นี่พวกแกคิดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ของข้าจะยอมให้ถูกรังแกได้ง่ายๆรึไงกันถึงได้กล้ารวมหัวกันมาขนาดนี้ เหอะ”

ถึงแม้ว่ามนุษย์กลายพันธุ์จะมีความแข็งแกร่งที่อยู่เหนืออีกสองเผ่าพันธุ์ แต่หากมนุษย์และสัตว์ประหลาดร่วมมือกัน นั่นย่อมจบได้ไม่สวยอย่างแน่นอน

“พี่หลี่ก็พูดเกินไป ผู้อาวุโสฮั่นกับข้านั้นเพียงต้องการเห็นหน้าค่าตาของไอ้เด็กที่ได้รับความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์มาก็เท่านั้น”

“พวกเราไม่คิดก่อเรื่องอะไรโดยไม่จำเป็นอย่างแน่นอน เพียงแค่ต้องการสอบถามเพียงเท่านั้น”

“ผู้อาวุโสฮั่นล่ะ ท่านคิดเป็นอื่นใดหรือไม่”

ฮั่นจุยได้ยิ้มและพยักหน้ารับ “พี่เซียง(หมีใหญ่)กล่าวได้ถูกต้องแล้ว พี่หลี่ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าเด็กน้อยของฝั่งท่านที่มีชื่อว่าหลิวหลางอยู่ ข้าเลยอยากจะเห็นหน้าค่าตาเด็กนั่นเช่นเดียวกัน เลยคิดชวนพี่เซียงมาพูดคุยเพียงเท่านั้น ไม่รู้ว่าท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้อาวุโสหลี่ได้หัวเราะอย่างดังลั่นแล้วพูดออกมา “ต้าเซียง(หมีใหญ่) ฮั่นจุย พวกแกไม่ต้องมาทำปากดีนอบน้อม พวกเจ้าก็แค่อยากจะรู้ความลับของบันไดสู่สรวงสวรรค์ในเขตแดนจักรพรรดิเหมือนกันนั่นล่ะวะ”

“บอกตรงๆเลยนะว่าข้าอยากจะรู้ยิ่งกว่าพวกเจ้าอีก”

“แต่น่าเสียดายนัก ไอ้คนที่รู้เรื่องนี้แม้แต่ข้าก็ยังไม่เห็นหน้ามันเลย”

“พี่หลี่ ท่านพูดออกมาแบบนี้ไม่ได้นา”

“นั่นมันก็คนของท่าน คงไม่ใช่ว่าท่านคิดจะเก็บความลับนั้นไว้เองเลยพูดออกมาแบบนี้เพื่อปฏิเสธหรอกนะ”

“เอาน่า ท่านพี่เซียงและข้าก็ไม่ได้มีเรื่องอื่นใดจริงๆ ก็แค่อยากจะถามอะไรจากเด็กนั่นนิดหน่อยเท่านั้น หรือท่านคิดว่าคำถามของพวกเรานั้นไม่คู่ควรกัน”

ในตอนที่ฮั่นจุยมาถึงที่นี่ เขาก็รับรู้ได้ถึงความทรงพลังของมนุษย์กลายพันธุ์ในเรื่องกำลังรบ

อย่างน้อยๆมนุษย์กลายพันธุ์ที่เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดินั่นก็ต้องมีอย่างน้อยร่วมหมื่นเป็นแน่

เพียงแค่พูดถึงเรื่องนี้เรื่องเดียวก็ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์มีชัยเหนือพวกเขาไปแล้ว

มาในตอนนี้มนุษย์กลายพันธุ์ยังถือครองความลับของเขตแดนจักรพรรดิไว้อีก ด้วยสิ่งนี้เขานึกอะไรไม่ออกแล้วจริงๆว่าควรทำเช่นไรที่ดีกว่านี้แล้ว เพราะต่อให้เขามีตำแหน่งสูงแล้วยังไง มันไร้ค่าอย่างแน่นอนหากเผ่าพันธุ์ของเขาไร้ซึ่งอนาคตไปแล้ว

เมื่อผู้อาวุโสหลี่ได้ยินแบบนี้ก็ไม่ได้ตอบโต้หรือด่าทอออกมาแต่อย่างใด เขาทำเพียงหันหลังกลับไปเพียงเท่านั้น

เมื่อฮั่นจุยและต้าเซียงฉากนี้แล้วก็มีใบหน้ากระตุกไปเล็กน้อย นี่แสดงว่าไม่เพียงผู้อาวุโสหลี่จะไม่ยอมรับข้อเสนอแต่มันแสดงออกว่าเมินกันเห็นๆ

นี่มันเกินกว่าที่ทั้งสองคิดไปมากนัก

ในขณะที่ฮั่นจุยกำลังจะแสดงความโกรธออกมา เสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น

“ผู้อาวุโสฮั่น ที่ผู้อาวุโสหลี่ของพวกเราพูดนั้นถูกต้องแล้ว อย่าว่าแต่ท่านเลย แม้แต่พวกเราก็ยังไม่ได้เห็นหน้าค่าตาหลิวหลางผู้นี้”

“นั่นก็เพราะเขายังไม่ได้ออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิแต่อย่างใด”

“โอ้ เจ้าเป็นใครกัน แล้วที่เจ้าพูดหมายความว่ายังไง”

ฮั่นจุยถามออกมาเมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษขั้นสูงที่มีผ้าคลุมใบหน้าก้าวเดินออกมาพูดแทน

เว่ยหยวนตี้ที่อยู่ข้างๆ รีบก้าวเดินเข้าไปอธิบายให้ฮั่นจุยฟังในทันที “ผู้อาวุโสฮั่น ข้ารู้ว่าคนนี้เป็นใคร นางเป็นองครักษ์ของราชาสวรรค์ มีชื่อว่าหยานเสวี่ย”

เมื่อพูดจบ เว่ยหยวนตี้ได้ยิ้มออกมาแล้วกล่าวทักทายหยานเสวี่ย “องครักษ์หยาน ยังจดจำข้าได้หรือไม่”

“ก่อนหน้านี้ที่ท่านได้ปกป้องหลานชายเฉินเฉียงของข้าไว้มากมายหลายครั้งนั้นทำให้ข้าอดสงสัยไม่ได้ว่าราชาสวรรค์ผู้นั้นเป็นใคร ข้าเองก็อยากหาโอกาสไปพบเจอแต่ไม่อาจหาโอกาสได้ ไม่ทราบว่าองครักษ์หยานพอจะแนะนำข้าได้หรือไม่กัน”

หยานเสวี่ยได้มองไปที่เว่ยหยวนตี้อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมา “ขอโทษด้วย นายพลเว่ย ราชาของข้านั้นบอกว่าด้วยตัวตนของท่านนั้นไม่คู่ควรที่จะได้รู้จักท่าน”

ด้วยเหตุเพราะเฉินเฉียงทำให้เว่ยหยวนตี้อยากจะรู้จักราชาสวรรค์เอาไว้ เพื่อต้องการสืบดูว่าราชาสวรรค์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรฮุยตู๋หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าเขานั้นจะถูกราชาสวรรค์ตัดไมตรีอย่างสิ้นเยื่อขาดใยเสียตั้งแต่เริ่มต้น นี่ทำให้ใบหน้าของเขาตั้งขมวดแน่นไปทั้งใบหน้าในทันที

แต่เมื่อมองดูรอบๆแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็ได้พบเจอคนที่มีหมอกไอดำคลุมร่างอยู่ข้างหลังหยานเสวี่ย

ไม่เพียงเท่านั้น หมอกไอดำนี้ไม่เพียงจะคลุมทั้งใบหน้า แต่กลับคลุมไปทั่วทั้งร่าง

“พี่ชายท่านนี้ หากข้าเข้าใจไม่ผิดท่านสมควรจะเป็นราชาสวรรค์ใช่หรือไม่ แล้วทำไมท่านไม่คิดจะแสดงหน้าค่าตาให้ข้าดูสักหน่อยล่ะ”

“หึ เว่ยหยวนตี้ คำถามของแกมันน่าขันนัก หากเจ้าถามมาแบบนี้ล่ะก็ งั้นข้าก็จะถามกลับไปแล้วกันว่าทำไมแกถึงไม่มีปีกสีเงินอยู่ด้านหลังล่ะ”

“ทำไมเจ้าไม่ถามไปเลยว่าเฉินเฉียงมีปีกสีเงินที่มีความยาวห้าเมตรแล้วส่งเสียงหึ่งๆที่ไม่เหมือนกับของข้าไปเลยให้มันจบเรื่องจบราวไป”

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินแล้วนั้นก็รับรู้ว่าได้ว่าไม่ได้คำตอบจากราชาสวรรค์เป็นแน่ จึงทำเพียงยิ้มและพูดออกมา “ราชาสวรรค์อย่าได้เข้าใจข้าผิดไป ข้าเพียงแค่ต้องการทำความรู้จักท่านอย่างมีมิตรไมตรีเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุที่ข้าอยากจะเห็นใบหน้าที่แท้จริงของท่าน”

“มิตรไมตีรึ หึหึหึ ข้าไม่กล้าจะยกตนให้สูงขนาดนั้นหรอกนะเว่ยหยวนตี้ แกและข้าเองก็อยู่คนละเผ่าพันธุ์กัน หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในวันนี้ล่ะก็ ข้าเองก็คงได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้าแล้วเช่นกัน”

“ข้าขอบอกตามตรงเลยนะว่าไอ้พวกมนุษย์ที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้านั้นล้วนตกตายไปนานมากแล้ว แต่หากเจ้าต้องการจะเป็นรายต่อไปล่ะก็ ราชาผู้นี้ก็ยินดีที่จะสนองตอบ”

“พอแล้ว”

เมื่อได้กลิ่นดินปืนระหว่างเว่ยหยวนตี้และราชาสวรรค์แล้วนั้นก็ทำให้ฮั่นจุยอดจะขมวดคิ้วจนตะโกนออกมาเสียไม่ได้ แล้วเขาก็ได้พูดต่อ “นายพลเว่ย เรื่องในวันนี้เป็นธุระสำคัญ เรื่องส่วนตัวเอาไว้ทีหลัง”

หลังจากนั้นฮั่นจุยก็ได้ถามต่อ “องครักษ์หยาน….สินะ เมื่อครู่เจ้าหมายความว่ายังไง”

“ที่เจ้าว่าเจ้าเด็กที่ชื่อหลิวหลางนั่นยังอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั่นเป็นความจริงรึ”

“แล้วทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น”

“นี่พวกเจ้ากลับปล่อยให้คนที่มีความสำคัญเช่นนั้นติดค้างอยู่ในเขตแดนเนี่ยนะ”

หยานเสวี่ยได้ชี้ไปที่หลินไฮ่หวังแล้วพูดออกมาในทันที “ผู้อาวุโสฮั่น หลิวหลางนั้นแต่เดิมแล้วก็ติดตามข้ามาเพื่อจะออกมาจากเขตแดนเช่นกัน แต่เพียงเขาอยู่หน้าประตูทางออกก็ถูกคนของหลินไฮ่หวังที่คิดจะเก็บความลับนี้ไว้เองและเข้าขัดขวาง”

“นี่ทำให้หลิวหลางไม่มีทางเลือกทำได้เพียงถอยกลับเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิเท่านั้น และนั่นทำให้เขาออกมาไม่ทัน”

“และพวกเราเองก็กำลังทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่ก่อนที่พวกท่านจะมา”

“หากท่านไม่เชื่อก็ลองถามผู้อาวุโสเซียงดู เขาน่าจะรับรู้เหตุการณ์ในตอนนั้นได้อยู่”

เมื่อฮั่นจุยได้ยิน ต้าเซียงก็ได้พูดออกมา

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ตอนที่ข้ามาถึงพวกนี้กำลังทะเลาะกันอยู่ แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าที่ทะเลาะกันนั้นเป็นเรื่องนี้”

เป็นตอนนี้ที่ผู้อาวุโสหลี่หันมาพร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ไอ๊ยะ ข้านั้นทำให้พวกเจ้าเสียเวลาจริงๆ”

“ทั้งๆที่มีโอกาสดีๆแบบนี้อยู่ตรงหน้าแล้วแต่กลับ…..เฮ้ออออออออ”

เมื่อฮั่นจุยและต้าเซียงได้เห็นท่าทางของผู้อาวุโสหลี่แห่งมนุษย์กลายพันธุ์แสดงท่าทีออกมานี้ก็บอกได้เลยว่าไม่ได้โกหกแต่อย่างใด หลังจากเล่นใหญ่ไปได้สักพัก ผู้อาวุโสเทียก็ได้พูดออกมา

“ผู้อาวุโสหลี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วข้าว่าท่านคงไม่คิดจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านเลยไปเช่นกันใช่ไหมล่ะ”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ไอ้เด็กหลิวหลางนั่นก็ถือครองความลับอันยิ่งใหญ่ที่แม้แต่ท่านก็บอกออกมาว่าอยากรู้เสียยิ่งกว่าใคร”

ผู้อาวุโสหลี่เมื่อได้ยินก็ส่ายหัวไปมาในทันที “ถึงข้าจะอยากรู้แล้วจะให้ข้าทำยังไง”

“กว่าเขตแดนจักรพรรดิจะเปิดได้อีกหน ต่อให้อยากรู้จริงก็ต้องรออีกนับสิบปี”

“สิบปี หึหึหึ ผู้อาวุโสหลี่ เจ้าเด็กหลิวหลางนั่นคงอยู่ไม่ถึงหรอกม้าง”

“ยังไงซะพวกเราทั้งสามยังไงก็ต้องรับรู้ความลับนั่นในวันนี้ให้จงได้”

“แล้วข้าก็ไม่เชื่อว่าท่านเองจะทนรอได้ถึงสิบปี”

“นั่นก็เพราะด้วยทรัพยากรมากมายในเขตแดนจักรพรรดินั่น ยามที่ไอ้เด็กนั่นบ่มเพาะด้วยวัตถุดิบเหล่านั้นไปตลอดสิบปี ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่ามันยังคิดจะบอกท่านอยู่รึเปล่า”

ผู้อาวุโสหลี่และต้าเซียงผู้ซึ่งอยู่ในระดับราชานั้นไม่ได้ไร้สมองแต่อย่างใด

เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นจุยแล้วนั้น ทั้งสองต่างก็มองหน้ากัน

“ผู้อาวุโสฮั่น ท่านหมายถึง….”

“ฮี่ฮี่ฮี่ พี่หลี่ พี่เซียง ในเมื่อเขตแดนจักรพรรดินั้นปิดได้เพราะเรา มันก็ต้องเปิดได้เพราะเรา แถมในตอนนี้ราชาจากสามเผ่าพันธุ์มาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ พวกเราก็แค่เปิดมันออกเพียงเท่านั้น”

“นี่….”

เมื่อเห็นผู้อาวุโสหลี่ลังเล ฮั่นจุยก็ได้ถามออกมา “หรือว่าท่านนั้นไม่ต้องการจะรับรู้ความลับนี้ หากเป็นอย่างนั้นจริงล่ะก็ ข้า ฮั่นจุยนั้นมีเรื่องมากมายต้องทำ ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอตัว….”

“หยุด”

ในตอนนี้ผู้อาวุโสหลี่และต้าเซียงได้พูดออกมาพร้อมกัน

ฮั่นจุยหัวเราะออกมาในทันทีที่เห็นฉากนี้

แต่กระนั้น ผู้อาวุโสหลี่ยังมีท่าทีลังเลก่อนจะพูดออกมา “ผู้อาวุโสฮั่น ถึงแม้พวกเราจะมีระดับราชาเก้าคนในที่นี้ แต่เรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากว่า….”

“หึหึหึ ท่านทั้งสองจะกังวลสิ่งใด”

“ตราบใดที่พวกเราทั้งสามเห็นชอบ จะมีใครหน้าไหนที่กล้าขัด”

“ถึงแม้ว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เคยเกิดขึ้นแต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้นี่”

“ส่วนไอ้เรื่องนั้นน่ะ ข้าว่าพวกเราไม่ลองก็ไม่รู้”

เพียงฮั่นจุยพูดประโยคสุดท้ายนี้ออกมา ผู้อาวุโสของสองเผ่าพันธุ์นั้นรู้สึกกดดันอย่างหนัก

“ผลประโยชน์ย่อมมีความเสี่ยงสินะ เอาล่ะ มาลองดูกัน”

หลังจากตกลงกับผู้อาวุโสของสองเผ่าพันธุ์แล้ว ฮั่นจุยก็ได้พูดออกมาอีกครั้ง “ก่อนหน้าที่จะเริ่มเรื่องนั้น ผู้อาวุโสหลี่ ข้าว่าเรามาตกลงกันก่อนดีกว่าว่าหากพวกเราช่วยกันเปิดเขตแดนจักรพรรดิแล้วได้พบตัวหลิวหลาง ความลับที่เด็กนั่นเก็บเอาไว้จะต้องแบ่งปันให้พวกเราด้วย”

“ถูกต้อง พี่หลี่ อย่าลืมไปว่าหากไม่ได้พวกเราและผู้อาวุโสฮั่น เพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายเดียวนั้นไม่อาจทำอะไรได้หรอกนา”

“ไม่ใช่ปัญหา เรื่องนี้ข้ารับรองให้พวกเจ้าเอง เมื่อพวกเราได้ตัวหลิวหลางมาแล้ว พวกเราจะแบ่งปันความลับนี้กัน”

เพียงเพื่อให้ได้ความลับอันยิ่งใหญ่ของเขตแดนจักรพรรดิแห่งนี้ ในที่สุด ทั้งสามกองกำลังที่เป็นศัตรูมาอย่างนมนานกาเลก็ได้เริ่มมือกัน