ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 120 ลงมือพร้อมกันทั้งสองวิธี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ฟู่เอินซูมองเยี่ยนจ้าวเกอ ชายหนุ่มเองก็ไม่อ้อมค้อม เขายิ้มน้อยๆ ครั้งหนึ่ง “สองวิธีการ ลงมือพร้อมกันทั้งสองวิธีเลยขอรับ”

“วิธีแรก ก็คือ ‘คัมภีร์แห่งจันทรา’ คัมภีร์วรยุทธ์ลับที่ข้าได้รับมาตอนที่ออกเดินทางก่อนหน้านี้ เป็นคัมภีร์วรยุทธ์ที่สืบทอดมาตั้งแต่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ใช้สำหรับการฝึกฝนสตรีแห่งจันทราโดยเฉพาะ”

แววตาของฟู่เอินซูทอประกาย จดจ้องเยี่ยนจ้าวเกออย่างไม่ละสายตา

เฟิงอวิ๋นเซิงที่อยู่ข้างๆ กลับตะลึงงันเล็กน้อย “คัมภีร์แห่งจันทราหรือ? ”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะ “ไม่ผิดหรอก ดูท่าเจ้าเองก็เคยได้ยินมาก่อน”

เฟิงอวิ๋นเซิงบ่นพึมพำ “เคยได้ยิน…ท่านผู้อาวุโสในอดีตเคยเอ่ยถึง สตรีแห่งจันทราเช่นพวกเรา ฝึกวรยุทธ์อื่นตอนนี้ไม่ทำให้ได้เปรียบแต่อย่างใด ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของตน แต่มีคำเล่าลือว่าก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ มีวรยุทธ์ที่มีชื่อว่าคัมภีร์จันทรา ซึ่งเป็นคัมภีร์ลับที่เหมาะจะใช้ฝึกสตรีแห่งจันทรา หากสตรีแห่งจันทราใช้คัมภีร์นี้ฝึกฝน อย่าว่าแต่ระดับวรยุทธ์จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันยังสามารถส่งเสริมจันทรากายทำให้พลังแห่งจันทราแข็งแกร่งขึ้นด้วย”

นางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ “แต่หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ คัมภีร์ลับเล่มนี้ก็สูญหายไป แม้แต่คำพูดตัวอักษรเล็กน้อยก็ไม่เหลือไว้ เหลือเพียงแค่ตำนานเล่าขานต่อๆ กันมาเท่านั้น”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยและฟังนางพูดจนจบ จากนั้นจึงกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ผิด วิธีที่จะช่วยเจ้าฟื้นคืนจันทรากาย เป็นวิธีที่ข้าคิดขึ้นเอง แต่ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากคัมภีร์แห่งจันทราเช่นกัน”

ชายหนุ่มกล่าวพลางมองไปที่ฟู่เอินซู “เรื่องนี้ทั้งสำนักมีเพียงท่านอาจารย์ปู่กับท่านพ่อที่ทราบ ท่านเป็นยอดฝีมือระดับสูงคนที่สามที่รับรู้เรื่องนี้ หลังจากที่ข้าเสาะหาจนได้คัมภีร์แห่งจันทรามา ท่านก็เข้าฌานมาโดยตลอด ก็เลยเพิ่งได้บอกกล่าวท่านในวันนี้”

ฟู่เอินซูผงกศีรษะ พลางกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “เรื่องนี้เจ้าได้มีส่วนอุทิศไม่น้อย แต่ในเมื่อคัมภีร์แห่งจันทราก็มีแล้ว เจ้ามอบให้ข้า ข้าถ่ายทอดให้กับอวิ๋นเซิงก็ไม่ต่างกันนี่”

เฟิงอวิ๋นเซิงและซือคงจิงได้แต่อ้าปากค้าง ไม่ได้เอ่ยกล่าวอะไร

อาหู่เองก็ก้มหน้ามองพื้น คนที่สามารถกล่าวคำพูดเช่นนี้ได้หน้าตาเฉย ก็มีแต่ผู้อาวุโสฟู่ตรงหน้าผู้นี้เท่านั้น

ฟู่เอินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ข้าไม่คิดจะแย่งผลงานของเจ้าหรอก บำเหน็จที่ควรเป็นของเจ้า ทางสำนักก็ต้องให้เจ้าแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ปกติข้าก็ต้องสอนเฟิงอวิ๋นเซิงรฝึกวรยุทธ์อยู่แล้ว สามารถรวบรัดรวมกันได้พอดี เหตุใดต้องลำบากสองคนทำเรื่องเดียวด้วย การฝึกฝนของเจ้าเองก็จะล่าช้าไม่ได้เช่นกัน”

นางมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง “นอกเสียจากว่าเจ้ามีความคิดอะไรอย่างอื่นอยู่ ถึงวางแผนจะประกบเช้าเย็น”

“แค่ก แค่ก…” อาหู่แทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง

ซือคงจิงที่ปกติแล้วเย็นชา ก็มองเยี่ยนจ้าวเกออย่างสนใจใคร่รู้เช่นกัน

เฟิงอวิ๋นเซิงกะพริบตาปริบๆ ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าเขินอายเยี่ยงหญิงสาวแต่อย่างใด กระนั้นในดวงตากลมโตกลับแฝงความตลกขบขันอยู่หลายส่วน ทั้งยังมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอตรงๆ

เยี่ยนจ้าวเกอถูกสายตาของทุกคนจับจ้อง ทว่าสีหน้าก็ยังเป็นเช่นปกติ ไม่มีวี่แววของความหวาดกลัวสักนิด

ฟู่เอินซูกล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้ารับหน้าที่บ่มเพาะพลังแห่งจันทราของเฟิงอวิ๋นเซิง ก็ต้องไปมาหาสู่กับข้าบ่อยๆ เป็นเพราะปัญหาของรุ่นก่อน เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับข้า แท้จริงแล้วก็คงอึดอัดใจอยู่บ้างใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดจะต้องลำบากด้วย”

คำพูดของนางตรงไปตรงมายิ่งขึ้น จนเยี่ยนจ้าวเกอได้แต่ยิ้มแห้งๆ

อาจารย์ท่านนี้ยังคงสนใจแต่ความสบายใจของตัวเอง ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่นจริงๆ

ถึงกระนั้นจริงๆ แล้วเยี่ยนจ้าวเกอก็ไม่ได้ไม่พอใจอะไร เพราะถึงแม้ว่าคำพูดของฟู่เอินซูจะไม่ได้เกรงอกเกรงใจกัน แต่จริงๆ แต่ความคิดของนางก็มีเหตุผล

ถ้าหากเป็นไปได้ละก็ เยี่ยนจ้าวเกอก็เต็มใจจะส่งต่อทุกอย่างให้ฟู่เอินซู ส่วนตัวเองทำแค่ชี้นิ้วสั่ง เป็นอิสระสบายตัวสบายใจ

ก็อย่างที่ฟู่เอินซูพูด ถึงอย่างไรผลงานก็เป็นของเขาอยู่แล้ว ไม่มีใครแย่งไปได้

แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังตัดสินใจจะดูแลเรื่องนี้เอง

เขาก็มีเหตุผลของเขา เพียงแต่ว่าหลายๆ เรื่องก็ไม่อาจบอกกับคนอื่นได้

กระนั้น ไม่ว่าจะส่วนรวมหรือส่วนตัว ครั้งนี้เยี่ยนจ้าวเกอก็จะออกโรงด้วยตนเอง

“ข้าไม่ปฏิเสธ ข้าชื่นชมศิษย์น้องเฟิงอย่างมาก แต่เบื้องต้นระหว่างพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวแต่อย่างใด” เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของฟู่เอินซู เยี่ยนจ้าวเกอก็ตอบด้วยท่าทีนิ่งสงบ “ที่ข้าเสนอให้ตัวเองรับหน้าที่บ่มเพาะพัฒนาพลังแห่งจันทราของศิษย์น้องเฟิง เป็นเพราะข้ามีความคิดบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้เวลาในการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของศิษย์น้องเฟิง”

ชายหนุ่มยิ้ม “ลำพังเพียงแค่คัมภีร์แห่งจันทราจะสามารถช่วยลดความห่างชั้นระหว่างศิษย์น้องเฟิง กับสตรีแห่งจันทราคนอื่นๆ ได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ยากจะรับประกันได้ ถึงอย่างไรเสีย ขณะที่ศิษย์น้องเฟิงกำลังพยายามไล่ตามอยู่ ผู้ที่ชนะและได้มงกุฎจันทราไปย่อมฝึกฝนได้เร็วขึ้น”

สีหน้าของฟู่เอินซูเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นหลายส่วน “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่ามีสองวิธี ใช้พร้อมกันอย่างนั้นหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอพูดว่า “ไม่ผิดขอรับ วิธีที่หนึ่งก็คือคัมภีร์แห่งจันทรา ส่วนวิธีที่สองเป็นวิธีที่ข้าคิดขึ้น”

เขาพูดแล้วก็ยื่นมือทั้งสองออก ประสานกันอยู่เบื้องหน้า “มีคนกล่าวว่าหยินหยางรวมกันเป็นวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง แล้วหยินสูงสุดจะไม่ใช้วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งหรือ มงกุฎจันทรา มีพลังหยินที่สูงที่สุดของโลก ก็เป็นจุดกำเนิดของพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรทุกคนก็เลยไม่คิดที่จะลองทำลายมันดู”

“เพียงแต่เส้นทางที่สุดโต่งมากเกินไป อาจจะมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่อยู่ข้างหน้า กระนั้นเส้นทางนี้ถูกกำหนดแล้วว่ายิ่งเดินยิ่งลำบาก ถึงแม้ว่าเส้นชัยจะอยู่ข้างหน้า แต่ว่าเส้นทางที่จะไปถึงตรงนั้นกลับยิ่งแคบลง ถ้าหากสามารถรักษาให้อยู่ในเงื่อนไขของหยินสูงสุดไว้ได้ แล้วหลอมรวมเข้ากับการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ อีก เช่นนั้นก็จะมีช่องว่างสำหรับการพัฒนาที่ใหญ่ขึ้น และเส้นทางก็จะกว้างขึ้น”

ชายหนุ่มเอ่ยว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ การเดินบนเส้นทางนี้ก็จะเร็วขึ้นอีกไม่น้อยเลย”

ครั้งนี้ฟู่เอินซูไม่ได้รีบซักถามเยี่ยนจ้าวเกอ ว่าเขาคิดว่าทุกอย่างจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้เลยหรือไม่ ทว่านางกลับตกอยู่ในภวังค์แทน

หลังจากนั้นครู่ใหญ่ นางจึงเปิดปากถามว่า “เจ้าจะหาพื้นที่ที่มีหยินเดี่ยวและหยางเดี่ยวช่วยอวิ๋นเซิงฟื้นฟูพลังแห่งจันทราให้เหมือนเช่นตอนแรก ซึ่งนั่นก็เป็นแนวคิดเดียวกัน อีกทั้งทั้งสองอย่างต่างก็เป็นผลลัพธ์ที่เจ้าได้มาจากการศึกษาทดลองพลังแห่งจันทรา ทั้งสองอย่างก็เท่ากับใช้ยืนยันซึ่งกัน แนวคิดนี้จะใช้ได้จริงหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า “ไม่ผิดขอรับ หลังจากที่ข้าศึกษาจากข้อมูลที่ต่างกัน และพิจารณาในรูปแบบต่างๆ แล้ว กลับได้ข้อพิสูจน์ที่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะต้องรอผลการทดสอบสุดท้าย แต่ข้าคิดว่าวิธีนี้ใช้ได้”

ฟู่เอินซูกล่าวต่อทันทีว่า “เจ้าเองก็พูดแล้ว ว่าต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เป็นสภาพหยินสูงสุด ไม่เช่นนั้นหยินหยางจะผสมปนเปกัน ทำให้พลังแห่งจันทราเสียหาย ซึ่งนั่นไม่คุ้มค่าที่จะทดลอง นี่จำเป็นต้องเป็นวิธีที่ใช้ได้จริง ไม่เช่นนั้นก็จะอยู่ได้แค่บนหน้ากระดาษ ซึ่งก็เหมือนแค่จินตนาการเท่านั้น”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ที่ท่านอาจารย์ฟู่กล่าวก็มีเหตุผล ข้าเห็นด้วยทั้งหมด ข้าคิดมาตลอดเช่นกันว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด”

พูดแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็ชูนิ้วขึ้น วาดไปในอากาศด้วยความเร็ว คล้ายกับกำลังขับเคลื่อนบางสิ่งบางอย่าง ร่องรอยของปราณจิตราที่เหลืออยู่ไม่ยอมจางหายไปเสียที

แววตาของฟู่เอินซูพลันทอประกาย เป็นเช่นนั้นอยู่นานถึงจะสงบลง

“แม้จะเป็นเพียงแค่รูปร่างที่ยับยู่ยี่ แต่ในระดับปรมาจารย์ก็ถือว่าดีมากแล้ว”

ฟู่เอินซูมองเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเด็ดขาดว่า “มิน่าเจ้ากล้าจะรับผิดชอบทั้งหมด การศึกษาในด้านนี้ของเจ้าลึกซึ้งยิ่งกว่าข้าเสียอีก หากข้ายังยืนกรานก็คงจะเป็นการขัดขวางอวิ๋นเซิง ทำให้สำนักเสียผลประโยชน์”

นางเงยหน้ามองท้องฟ้า แล้วถอนหายใจยาวอย่างเงียบๆ “เยี่ยนตี๋ สักวันข้าอาจจะพ่ายแพ้ให้แก่เขาก็ได้กระมัง”

………….