บทที่ 228 ขีดจำกัดและกฎเกณฑ์ (4)
“ตำหนักวารีลวง สำนักบูรพาวิจิตรเป็นสำนักสามขั้นบน ความสูญเสียเช่นนี้ปกติยิ่ง อย่างอื่นพวกเราอย่างไรก็ทำสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ การเสียสละยากหลีกเลี่ยง ทว่าเหตุใดจึงเสียคนไปกับสำนักมารกำเนิดและสำนักร้อยหลอมไปมากขนาดนี้” หลินหวนเต้าขมวดคิ้ว
“ในคนที่สูญเสียไปเหล่านี้มากกว่าครึ่งเป็นคนจากสำนักที่เพิ่งรับสมัครมา เจ้านึกว่าเป็นประมุขถ้ำไม่ได้ความทางแดนใต้หรือ ร้อยเส้นสายรวมกันยังมีหัวกะทิสักกี่คน อยู่ๆ หายไปมากขนาดนี้ เจ้าต้องการให้พวกเราถูกเปิดโปงใช่หรือไม่” หลินเป่ยไคกล่าวอย่างเย็นชา
“นายน้อยสงบโทสะก่อน อย่างมากข้าน้อยออกโรงเอง” หลินหวนเต้าสงบนิ่งเหมือนเดิม
พอเขากล่าววาจานี้ หลินเป่ยไคก็งุนงง
ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกกับหลินหวนเต้า กระนั้นเขาก็รู้จักพลังของอีกฝ่ายดี เขาเป็นยอดฝีมือสามขั้นบนที่ได้รับการยอมรับในตระกูลขุนนาง หนำซ้ำวิชาลับที่ฝึกฝนก็ยังเป็นหนึ่งในไม่กี่วิชาที่ยากที่สุดของตระกูล มีอานุภาพเลิศล้ำ
ในคนหนุ่มสาวนอกจากเขากับคนอีกสองคนที่สะกดได้อย่างเหลือเฟือ คนที่เหลือล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินหวนเต้า
ตระกูลหลินยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหน อานุภาพของอาวุธเทพปกคลุม แค่คนหนุ่มสาวก็มีมากกว่าร้อยคนแล้ว สามารถกำราบคนมากมายขนาดนี้ได้ หลินหวนเต้าย่อมไม่ธรรมดา
“เจ้าลงมือ ข้าย่อมวางใจ” น้ำเสียงของหลินเป่ยไคอ่อนลงเล็กน้อย “เพียงแต่อย่างน้อยเจ้าต้องวางแผนจัดการปัญหาทางซั่งหยางเฟยไว้ก่อน สตรีนางนั้นไม่ใช่พวกยอมใคร”
ระดับอสรพิษสามขั้นบนในสายเลือดตระกูลขุนนาง เทียบกับสามขั้นบนซึ่งเป็นระดับเดียวกันในสำนักแล้ว ย่อมแข็งแกร่งกว่าเท่าหนึ่ง เมื่อมีหลินหวนเต้าลงมือ ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ กลัวว่าเขาจะละโมบเกินไป แย่งชิงส่วนที่ไม่ควรยึดครองไว้ไปด้วย
“ยังดีวันนี้องค์หญิงไป๋ถูกเฒ่าไม่ยอมตายประมุขจวนอู๋โยวพัวพันไว้ ไม่เช่นนั้นหากนางพบความเคลื่อนไหวด้านนี้ คงไม่อาจอธิบายได้จริงๆ” หลินเป่ยไคกล่าวเสียงทุ้ม
ประมุขจวนอู๋โยว มารปีศาจระดับสามขั้นบนที่เลื่องชื่อ หลักๆ คือเขามีความข้องเกี่ยวกับตระกูลหวงที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ ผู้อาวุโสตระกูลหวงสองสามคนร่วมเป็นร่วมตายกับเขา เป็นความสัมพันธ์ที่ได้มาจากเหตุการณ์ภัยพิบัติมาร
สาเหตุที่องค์หญิงไป๋เคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เป็นเพราะผู้อาวุโสตระกูลหวงที่ยืนอยู่เบื้องหลังประมุขจวนอู๋โยว
ไม่อย่างนั้นนางในฐานะผู้คุมหางเสือของตระกูลหวง และเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดที่มีศักดิ์สูงกว่าหลินเป่ยไคหลายรุ่น ไหนเลยจะถูกประมุขจวนอู๋โยวลากถ่วงจนไม่อาจปลีกตัวมานานขนาดนี้
“นี่เป็นการวางหมากภายในตระกูลหวง ก่อนที่พวกเขาจะจัดการเสร็จ สมควรไม่สนใจเรื่องอื่น”
หลินหวนเต้าเอ่ยราบเรียบ
“เอาแบบนี้ หลังจากงานชุมนุมจบลง พอแต่ละสำนักนำคนกลับไป ระหว่างทางข้าจะใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ลงมือสกัดกั้นสังหารพวกมันเอง”
“ก็ได้ ขออวยพรให้เจ้าชักธงชนะศึก” หลินเป่ยไคสงบนิ่งดั่งเดิม นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
หลินหวนเต้าพยักหน้า หมุนตัวเดินไปยังทางออก
“จริงด้วยนายน้อยไค”
“มีอันใด” หลินเป่ยไคมองเขาอย่างสงสัย
“ซั่งหยางเฟยผ่านการทดสอบของพู่กันบรรพตแล้ว” คำพูดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของหลินหวนเต้าทำให้ใบหน้าที่เย็นชาในตอนแรกของหลินเป่ยไคกระตุกทันที
…
จ๋อม
ลู่เซิ่งเก้าเข้าไปในน้ำของธารหมอกพิษ
ธารน้ำสีดำสนิทแทรกด้วยริ้วสีม่วงหลายสายกำลังมุดเข้าเลือดเนื้อผิวหนังของเขาอย่างต่อเนื่อง แล้วกัดกร่อนหลอมละลายทุกสิ่งของเขาเหมือนกับมีชีวิต
ตอนนี้ลู่เซิ่งยืนอยู่ใต้ถ้ำบึงมารที่ค้นพบก่อนหน้านี้ เท้าขวาจมลึกลงไปในธารหมอกพิษด้านล่าง ปราณมารมากมายและน่ากลัวทะลักเข้าร่างเขาอย่างรุนแรง ถูกเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุดูดซับอย่างรวดเร็ว
หลังจากแก้ปัญหาได้ และร่างกายได้รับการพักผ่อนจนพอประมาณ ก็ถึงเวลาตั้งใจฝึกฝนแล้ว เขาแอบมายังที่นี่อย่างเงียบเชียบ กลืนกินน้ำยามารที่เข้มข้นกว่าเดิมเพื่อฝึกฝนต่อ
‘เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุในระดับที่สองมั่นคงอย่างเป็นทางการแล้ว น่าเสียดายวิชาลับในระดับนี้ใช้ปราณขวดสมบัติยกระดับไม่ได้’ ลู่เซิ่งรู้สึกเสียดาย ยอมฝึกฝนสายวิชาสดับสงัดต่อ เขาสัมผัสได้มากกว่าเดิมว่ากายเนื้อของตนเองกำลังทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างเงียบเชียบ
ความแข็งแกร่งนี้ต่างจากการทบทวีอย่างรุนแรงเมื่อก่อนหน้า เชื่องช้ากว่า ยาวนานกว่า ต่อเนื่องกว่า
‘ยังเหลือปราณหยินอีกหนึ่งร้อยกว่าหน่วย ยกระดับต่อได้!’ เขายืนอยู่ในธารหมอกพิษ สายธารมารจำนวนมากถูกดูดซึมเข้าสู่ร่าง สิ่งเจือปนนับไม่ถ้วนถูกขจัด ไอน้ำถูกระเหยออกไปจากศีรษะลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง
‘วรยุทธ์ถ้ายกระดับถึงจุดสูงสุด จะบรรลุถึงขั้นต่อสู้กับมารปีศาจที่จินตนาการไม่ออก วิชาลับล่ะ อาจจะลองดูได้’ ลู่เซิ่งสงบใจ คิดจะเลื่อนระดับวิชาสดับสงัดถึงจุดสูงสุดก่อนค่อยว่ากัน
‘ดีปบลู’
ฟุ่บ
เครื่องมือปรับเปลี่ยนโผล่ขึ้นด้านหน้าเขาในพริบตา
ลู่เซิ่งมองกรอบใหม่สุดอย่างคุ้นเคย
สายของผู้อาวุโสใหญ่สำนักมารกำเนิด ตั้งแต่วิชาสามหยิน วิชาไร้มูลเหตุ เคล็ดวิชาหน้ามาร จนถึงวิชาเชื่อมอนธการ วิถีหทัยมาร สุดท้ายจึงเป็นวิชาสดับสงัด เป็นระบบหนึ่ง
ความจริงวิชาสดับสงัดเป็นวิชาลับ เป็นทักษะที่ซับซ้อนและลึกล้ำถึงขีดสุด
การฝึกฝนวิถีหทัยมารสำเร็จ ก็เหมือนกับยอดฝีมือวิชากำลังภายในสำเร็จพลังภายใน เกิดสิบแปดฝามือพิชิตมังกรที่อานุภาพเลิศล้ำ วิชาสดับสงัดมีแต่สำเร็จวิถีหทัยมาร จึงมีคุณสมบัติและความสามารถใช้ออกได้
วิชาลับมารกำเนิดนี้ ความจริงทั้งหมดเป็นระบบการใช้งานอันหลากหลายซึ่งซับซ้อนสุดขีด ที่พัฒนาบนพื้นฐานวิถีหทัยมาร เป็นวิชาลับสำหรับเลื่อนขั้น
ลู่เซิ่งคิดจะดูว่าหลังจากฝึกฝนวิถีหทัยมารจนสำเร็จในรวดเดียว ปราณมารกำเนิดกับปราณภายในที่ฝึกฝนออกมาจะเชื่อมโยงกันได้หรือไม่
‘เดิมทีเมื่อพลังของสายเลือดพัฒนา จะทำให้ปราณมารกลายพันธุ์ แต่เราไม่มีสายเลือด สิ่งที่ฝึกได้จะมีแต่ปราณมารกำเนิดแรกเริ่มที่สุด’
เขามองกรอบเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ
‘เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุมีทั้งหมดสี่ระดับ น่าจะยกระดับในครั้งเดียวได้’ เขาเพ่งสมาธิไปที่ด้านล่างเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว แล้วกดเบาๆ บนปุ่มปรับเปลี่ยนได้
เครื่องมือปรับเปลี่ยนพลันสั่นไหว ด้านหลังกรอบส่วนใหญ่มีปุ่มยกระดับปรับเปลี่ยนโผล่มา
ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ จากนั้นก็กดลงบนปุ่มด้านหลังอย่างแรง
ซู่…
กรอบพร่ามัว จากนั้นหลายอึดใจก็โผล่มาใหม่ กลายเป็นอีกสถานะโดยสิ้นเชิง
[เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ: ระดับสาม ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดระดับสาม จิตมารระดับสาม]
ลู่เซิ่งคิด จิตมารกึ่งโปร่งแสงพลันลอยออกมาจากด้านหลังเขา ลู่เซิ่งมองมัน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจิตมารกำลังขยายใหญ่
ก่อนหน้านี้มีขนาดเท่าแขน ทว่าหลังจากเลื่อนระดับเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุถึงระดับสาม จิตมารก็ขยายตัวขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ ใหญ่เป็นหนึ่งเท่ากว่าๆ ของลักษณะเดิม คล้ายกับวุ้นโปร่งแสงก้อนใหญ่ หมุนอยู่รอบๆ ลู่เซิ่ง
‘อีกครั้ง’ เขาสัมผัสปราณหยินที่หายไปแค่เก้าหน่วย ถือว่าใช้ได้ ยังเหลือปราณหยินอีกหนึ่งร้อยกว่าหน่วย ใช้ได้มากพอ
‘เลื่อนระดับเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุถึงระดับสี่’
ความคิดของลู่เซิ่งกดลงบนปุ่มเลื่อนระดับ
ซู่…
กรอบปรากฏขึ้นอีกครั้ง
[เคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุ: ระดับสี่ ผลพิเศษ: เพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดระดับสี่ จิตมารระดับสี่]
‘เหมือนเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดนี่จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง’ ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ เลื่อนระดับสองครั้งติดกันแต่ไม่รู้สึกว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
เขายกมือขึ้น แขนเปลี่ยนรูปร่างเล็กน้อย เอนไปทางสภาพหยางโชติช่วงที่หยาบใหญ่
แต่เพราะการเปลี่ยนแปลงนี้ ลู่เซิ่งก็พบข้อแตกต่างทันที
ผิวของเขาไม่รู้ว่ามีเปลวไฟสีดำลุกไหม้อย่างเลือนรางขึ้นมาตอนไหน
‘อัคคีหมอกพิษหรือ ทำไมมีเร็วขนาดนี้’ นี่เป็นอัคคีหมอกพิษที่มีเฉพาะในสำนักมารกำเนิด เรียกง่ายๆ ว่าอัคคีพิษ มีพลังทำลายล้างอย่างสูงต่อคนในตระกูลขุนนาง
แน่นอนว่าในระดับเดียวกัน อัคคีพิษมีอานุภาพไม่มากนัก ยังไม่พูดถึงออกผลช้า คิดทำให้อีกฝ่ายติดพิษ ต้องใช้ปริมาณไม่น้อย ใช้งานจริงไม่ง่ายนัก
ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสใหญ่คงไม่ถูกคนชุดดำระดับอสรพิษสองคนนั้นเล่นงานจนอนาถเหลือทน
ลู่เซิ่งตรวจสอบไฟบนผิวที่แขนอย่างถี่ถ้วน
ไฟยังอ่อนแรงยิ่ง เหมือนกับควันสีดำเทา ถ้าไม่ใช่ว่ามองโดยอยู่ห่างจากผิวไม่กี่หลีหมี่ จนเห็นว่าภาพบิดเบี้ยว ลู่เซิ่งคงไม่ค้นพบการเปลี่ยนแปลงนี้
‘แค่ร่างกายมีอัคคีหมอกพิษเพิ่มมาชั้นหนึ่ง ประโยชน์ในความเป็นจริงมีไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่’ ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย
สำหรับยอดฝีมือที่ใช้พละกำลังและความเร็วเข่นฆ่าเป็นหลักอย่างเขา พิษมีประโยชน์น้อยที่สุด
‘เหมือนกับว่ายกระดับความแข็งแกร่งกายเนื้อขึ้นไม่มาก อาการบาดเจ็บภายในกับภาระเลยค่อนข้างเบา ร่างกายไม่มีปัญหา ยังไปต่อได้’
เคล็ดวิชาหน้ามารถึงระดับสูงสุดแล้ว ต่อจากนี้เป็นรอบของวิชาเชื่อมอนธการ วิชาเชื่อมอนธการมีแค่ระดับเดียว หรือเป็นแค่วิชาหนึ่งเท่านั้น
‘เคล็ดวิชาหน้ามารคือการดูดซับปรารณมารและสายธารมารจากภายนอกมาเพิ่มความแข็งแกร่งและกระตุ้นตัวเอง อย่างนั้นวิชาเชื่อมอนธการ ถ้าดูจากบันทึกบนวิชาลับ ก็คือการสกัดและดูดซับปรารณมาร ยกระดับคุณสมบัติ เปลี่ยนปราณมารให้กลายเป็นปราณมารกำเนิดอย่างแท้จริง ต้นกำเนิดที่เกาะตัวเปลี่ยนแปลงสถานะ ก็คือสิ่งที่สกัดได้จากปราณมาร…เรื่องพวกนี้เข้าใจได้ง่าย งั้นก็มาเริ่มกันเลย’
เพียงแค่วิชาเดียว ลู่เซิ่งควบคุมปราณมารในร่าง เริ่มผนึกรวมประตูเชื่อมอนธการ
นี่เป็นส่วนสำคัญที่สุดของวิชาเชื่อมอนธการ
การควบคุมปราณมารเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์มาก
พวกมันไหลเวียนในเลือด ไม่ใช่ในเส้นลมปราณ แต่แยกกับปราณภายในเป็นหนึ่งในหนึ่งนอก ดำรงอยู่ร่วมกัน แต่ไม่ก้าวก่ายกัน
ปราณมารกับปราณภายในมีความแตกต่างที่ใหญ่หลวงอยู่ คือพวกมันมีผลกัดกร่อนที่รุนแรงมาก ผลกัดกร่อนนี้ถึงขั้นส่งผลต่อกายเนื้อและน้ำเลือดของลู่เซิ่ง เปลี่ยนแปลงแก่นชีวิตของเขาตั้งแต่รากฐาน
ปราณภายในใช้แก่นชีวิตของลู่เซิ่งเป็นฐาน แล้วพัฒนา เพิ่มความแข็งแกร่ง และเลื่อนระดับอย่างต่อเนื่อง
‘ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบไหน’
ประตูเชื่อมอนธการเหมือนกับหอยตัวหนึ่ง จำเป็นต้องเปลี่ยนที่ว่างตรงกลางทรวงองเป็นองค์ประกอบประหลาดที่ซึ่งเกิดจากการผสมของปราณมารและกายเนื้อ เทียบได้กับอวัยวะใหม่ที่เจริญเติบโตเกินขึ้นมา
ลู่เซิ่งทดลองดู ด้วยความสามารถด้านการควบคุมบนมรรคายุทธ์ในวันนี้ เขาสร้างองค์ประกอบอวัยวะใหม่ที่เหมือนกับหอยได้อย่างผ่อนคลายและรวดเร็ว
นี่เดิมทีจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อปรับแต่งองค์ประกอบกล้ามเนื้ออย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนรวมเป็นปราณมาร ทว่าเขาสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสภาพหยินโชติช่วงและหยางโชติช่วงต่อกายเนื้อได้ตามใจนึกแล้ว
เรื่องแค่นี้ไม่เป็นปัญหา เทียบกับการบีบอัดร่างสูงสามหมี่จนเหลือหนึ่งหมี่กว่าๆ เหมือนคนธรรมดาในสภาพหยินโชติช่วงแล้ว การควบคุมกายเนื้ออย่างละเอียดเช่นนี้…
‘เดี๋ยวก่อน!’ ทันใดนั้นลู่เซิ่งสะดุ้ง ‘สาเหตุที่ฝึกฝนกล้ามเนื้อมัดเล็กในตอนแรกเริ่มก็เพื่อเวลานี้หรือนี่’ ก่อนหน้านี้ฝึกฝนองค์ประกอบล้ามเนื้อมัดเล็กของร่างกายมาโดยตลอด เดิมเป็นการเตรียมตัวเพื่อวินาทีนี้
เปลือกหอยเลือดเนื้อกลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว
ลู่เซิ่งลองชักนำปราณมารจากด้านบนเข้าไป
ฟู่ว…
ในตอนนี้เอง แม้แต่เขาก็ไม่สังเกตเห็นว่า น้ำในธารหมอกพิษมากมายรอบตัวสั่นกระเพื่อม ระลอกคลื่นเหมือนกับคลื่นยักษ์สั่นสะเทือนขยายออกไปรอบๆ โดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง
มีเสียงจากความลึกล้ำดำมืดชนิดหนึ่ง ราวกับเสียงที่มาจากกระแสคลื่นในส่วนลึกอันมืดมิด ส่งออกมาจากเปลือกหอยข้างในตัวเขา
……………………………………….