ตอนที่ 254 พี่สะใภ้น้องสะใภ้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 254 พี่สะใภ้น้องสะใภ้

นับตั้งแต่เจอกันครั้งนั้น เมื่อซูตานหงเห็นจี้กวงซงทีไร ใบหน้าของเขาก็ฉายแววมีความสุขผิดกับเมื่อก่อน

แม้จะบอกว่าเขาไม่เร่งรัดแต่งภรรยา เขาก็ต้องคิดถึงอนาคตข้างหน้าอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นหลังจากตัดสินใจดูใจกับเด็กสาว ท่าทางของเขาคงไม่เปลี่ยนไปผิดหูผิดตาอย่างนี้

หากแต่ยังเหลือเวลาอีกตั้ง 3 ปี คงต้องรอดูกันต่อไป

ซูตานหงเข้าครัวทำอาหารกินเองในวันนั้น ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองตั้งท้อง

เนื่องจากเมื่อคืนก่อน เธอคิดอยากกระชับสัมพันธ์กับจี้เจี้ยนอวิ๋น แต่เมื่อบอกเขา จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับปฏิเสธ ทว่าไม่นานเขาก็ทนรบเร้าไม่ไหว จึงยอมทำตามความต้องการของเธอ การเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นไปอย่างอ่อนโยน เขาไม่ได้มีท่าทางดุดันเหมือนแต่ก่อน กลับมอบสัมผัสที่แตกต่างจากเดิมให้กับเธอ

หลังเสร็จกิจแล้วเธอก็ถามเขาว่าทำไมครั้งนี้ท่าทางของเขาจึงเปลี่ยนไป? เนื่องจากเธอไม่ชินกับความอ่อนโยนแบบนี้เท่าไรนัก

จี้เจี้ยนอวิ๋นไม่มีทางเลือกนอกจากบอกภรรยาผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าเธอตั้งท้องอยู่ ไม่รู้ตัวบ้างเลยหรือ?

ซูตานหงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนกลับมาได้สติว่าเธอกำลังตั้งครรภ์อยู่จริง ๆ มาย้อนคิดดูอาจเป็นเพราะมันผ่านมานานมากแล้ว นี่เธอกำลังท้องจริง ๆ เหรอ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นท่องไว้ขึ้นใจว่าห้ามมีสัมพันธ์ทางกายกับเธอใน 3 เดือนแรกเด็ดขาด แต่เพราะคืนนั้นเธอยังไม่รู้ตัว เขาจึงตบะแตกจนได้!

จี้เจี้ยนอวิ๋นอดใจไว้ไม่อยู่ ภรรยาแสนสวยมาออดอ้อนคลอเคลียเขาขนาดนั้น หากเขายังทนได้ก็คงไม่ใช่มนุษย์แล้ว

หากแต่เขาก็อ่อนโยนกับเธอ พยายามยั้งแรงเอาไว้อย่างถึงที่สุด

ตั้งแต่ที่ซูตานหงรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ เธอก็ระวังตัวขึ้นมาก แม้ยังมีบางครั้งที่รู้สึกเบื่อ แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เข้มงวดมาก เธอจึงไม่กล้าขัดใจเขามากนัก ได้แต่ลิ้มรสความหวานเป็นบางครั้ง ทว่าแค่นั้นจะไปพอได้อย่างไร?

แต่ซูตานหงก็ทนเรื่องนี้ได้ ตอนนี้เธอตั้งท้องอยู่ ต้องดูแลตัวเองให้มาก กินแต่ของดี และยังต้องออกกำลังกายให้เพียงพออีกด้วย

เธอผ่านการมีลูกมา 2 คนแล้ว จึงรู้ดีว่าเมื่อตั้งท้องต้องออกไปเดินเล่นถึงจะคลอดได้ง่าย ไม่น่ากลัวเหมือนสมัยเมื่อชาติก่อนของเธอ

หลังมื้อเย็นวันนั้น เธอก็พาเหรินเหรินกับฉีฉีและต้าเฮ่ยไปเดินเล่นที่สวนแห่งที่ 3 เช่นเคย

จี้กวงซงกับไช่จ่านกั๋วรดน้ำเสร็จพอดี ทั้งสองกำลังเดินทางกลับบ้าน ในขณะที่สามแม่ลูกมารดน้ำพุวิเศษให้พืชผลด้วยกัน

ผลผลิตที่สวนแห่งที่ 3 เติบโตแล้ว เรียกได้ว่ากำลังงอกงามทีเดียว ยิ่งได้รดน้ำพุวิเศษปีนี้ไป ปีหน้าผลผลิตก็จะยิ่งออกดอกออกผล

ตอนนี้ชาวบ้านทุกคนต่างพูดกันว่าสวนแห่งที่ 3 นี้กำลังเจริญเติบโตได้ดี ส่วนชาวบ้าน 4 คนมีที่ดินบนภูเขาเช่นกัน โดยหนึ่งในนั้นคือลุงหม่า เมื่อเห็นว่าสวนแห่งที่ 3 ของจี้เจี้ยนอวิ๋นงอกงามขึ้นมาได้ ครอบครัวลุงหม่าก็คิดว่าสวนของพวกเขาคงอยู่รอดได้

หากแต่มันเปล่าประโยชน์ ครอบครัวเขาไม่สามารถยื้อสวนนี้ไว้ได้ ผิดกับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่สร้างสวนแห่งที่ 3 นี้ขึ้นมา และตอนนี้ก็อุดมสมบูรณ์มาก เขาใช้เวลานานแค่ไหนกันนะ?

ในท้ายที่สุดครอบครัวลุงหม่าก็มาหาจี้เจี้ยนอวิ๋น ก่อนบอกว่าจะขายสวนต่อให้

จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยปฏิเสธ โดยที่เขาบอกอีกฝ่ายไปตามตรง

เดิมทีครอบครัวลุงหม่าคาดว่าเขาคงต้องยอมรับซื้อแน่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะปฏิเสธ แถมตอนนี้ลุงหม่ากำลังรีบขายที่ของตัวเองด้วย ทำไมเจี้ยนอวิ๋นถึงต้องการที่ผืนของครอบครัวอื่น แต่ไม่อยากได้สวนของครอบครัวพวกเขากันนะ? สวนของพวกเขาสภาพแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?

ความจริงแล้วจี้เจี้ยนอวิ๋นบอกปัดไปอย่างสุภาพ เขาบอกเพียงว่ายังไม่มีเวลา ทุกวันนี้สวนแห่งที่ 3 นี้เก็บเกี่ยวได้ช้าอยู่แล้ว เขามีงานต้องทำอีกมาก อีกทั้งช่วงนี้ยังเป็นฤดูกาลผลไม้ จะเอาเวลาที่ไหนขึ้นภูเขากันล่ะ?

ตอนนี้งานกำลังชุก ผลไม้ที่สวนบนภูเขากำลังสุกงอม ได้เวลาเก็บเกี่ยวจากกิ่งก้านที่โน้มลงมา มีสินค้ามากมายถูกส่งออกไปทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปดูแลสวนแห่งที่ 4 เพิ่มอีกกัน? ตอนนี้เขาจึงได้แต่บอกว่ายังไม่คิดซื้อสวนเพิ่ม

แต่สำหรับครอบครัวลุงหม่า พวกเขากลับได้ยินเพียงแค่ว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่ต้องการรับซื้อสวนต่อ ครอบครัวของเขาจึงไม่ได้เงินทุนกลับคืนมาแต่อย่างใด ตอนแรกคิดว่าได้เงินค่าต้นพันธุ์พืชกลับมาสัก 100 หยวนบ้างก็ยังดี แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่ลงทุนกับสวนแห่งนี้จะเสียเปล่าไปทั้งหมด

พวกเขาคิดเพียงว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นไม่สนใจซื้อต่อ อีกอย่างตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลไม้ที่สวนบนเขาทั้ง 2 แห่งของอีกฝ่าย

ผลผลิตที่เก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นจะถูกนำไปที่เมืองมหาวิทยาลัย รวมถึงถูกส่งไปที่เมืองเจียงสุ่ยอย่างรวดเร็ว เพราะการเก็บผลไม้ไว้นานนั้นไม่ใช่เรื่องดี หากเก็บวันนี้ก็ควรซื้อกินวันพรุ่งนี้ถึงจะยังสดใหม่อยู่ หลังจากนั้นไปก็จะดูไม่น่ากินแล้ว

แต่นับว่าพวกเขาโชคดีที่สวนของเขามีลูกค้าขาประจำ ตอนนี้มีร้านอยู่หลายร้าน แต่ไม่มีเจ้าไหนที่สินค้าคุณภาพดีเท่าของเขา ผลไม้จึงยังขายได้มาก

โดยเฉพาะ 2 ปีที่ผ่านมานี้ สภาพเศรษฐกิจทั้งในเมืองและชานเมืองเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทุกคนจึงมีเงินพอซื้อผลไม้กิน

พวกเขางานยุ่งกันมาก จนกระทั่งถึงช่วงวันหยุดหน้าร้อน

ฤดูร้อนนี้ทั้งเจี้ยนเหวินกับอวิ๋นลี่ลี่กลับมาบ้านระหว่างช่วงวันหยุด พวกเขาไม่มีรับจ้างสอน และยังนำเงิน 500 หยวนที่ยืมไปมาคืนให้อีกด้วย

แม้ค่าแรงในเมืองเจียงสุ่ยจะขึ้นแล้ว แต่ก็ยังทำให้สองสามีภรรยาเก็บเงิน 500 หยวนอย่างยากลำบาก จนเอามาใช้คืนได้ในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้

จี้เจี้ยนเหวินยังดูซูบผอม เห็นได้ชัดว่าคงไม่ค่อยได้กินข้าวกินปลานัก ด้านอวิ๋นลี่ลี่ก็ผอมไม่ต่างกัน

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนก่อน และ 2 ปีมานี้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมากอีกต่างหาก

เมื่ออวิ๋นลี่ลี่นั่งลง ซูตานหงก็เอ่ยถาม “ตอนนี้เธอก็ใช้หนี้หมดแล้วใช่ไหม?”

“ใช้หมดแล้วล่ะค่ะ!” อวิ๋นลี่ลี่บอก สีหน้าของหล่อนฉาบไปด้วยความสุขจนไม่อาจปิดบังไว้ได้

เพื่อจะซื้อบ้านเมื่อหลายปีก่อน ครอบครัวหล่อนต้องอยู่อย่างยากเข็ญและเป็นหนี้ หลายปีที่ผ่านมาหล่อนกับเจี้ยนเหวินลำบากมามาก แต่ตอนนี้ทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไป การผ่านความยากลำบากมาก็ไม่ได้แย่นัก

ตอนนี้หล่อนมีบ้านที่เมืองเจียงสุ่ยเป็นของตัวเอง ถึงจะกว้างแค่ 80 ตารางเมตรแต่ก็คุ้มค่า

เพื่อบ้านหลังนี้ หล่อนไม่เคยรู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย

เทียบกับเมื่อหลายปีก่อน บ้านนี้ราคาขึ้นมาแค่ไหนกันล่ะ? ตอนนี้ราคาถึงขั้นที่เอื้อมถึงได้ยากแล้ว แต่ดีที่หล่อนแข็งใจ และสนับสนุนให้เจี้ยนเหวินซื้อมันเอาไว้!

“ใช้หมดแล้วก็ดี ต่อไปเธอจะได้อยู่สบายได้สักที ไม่ต้องประหยัดมากนักหรอก ฉันว่าน้องสี่กับเธอผอมไปมากเลยนะ?” ซูตานหงเอ่ยไปตามตรง

อวิ๋นลี่ลี่หลุดขำเมื่อได้ยินเช่นนั้น กับพี่สะใภ้สามแล้ว หล่อนไม่ได้นึกถือสาเรื่องนี้ หล่อนยังด้อยกว่าอีกฝ่ายมาก ไม่มีอะไรเทียบได้เลยสักนิด เมื่อก่อนหล่อนยังเด็กและไม่คิดหน้าคิดหลัง แต่หลังจากผ่านมาหลายปีขนาดนี้ หล่อนจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร?

ที่ผ่านมาลูกสาวของหล่อนเติบโตที่นี่ ต้องใช้เงินมากเท่าไรกันล่ะ? อวิ๋นลี่ลี่ไม่ใช่คนไร้จิตสำนึกแบบนั้น หล่อนจะไม่นึกขอบคุณได้อย่างไร?

“ฉันคงไม่ต้องประหยัดมากหรอกค่ะ ต่อไปเยียนเอ๋อร์ต้องไปเรียนก็จริง แต่ตอนนี้เธอยังเด็กและไม่ต้องใช้เงินเลี้ยงมาก” อวิ๋นลี่ลี่บอกพร้อมรอยยิ้ม

หล่อนกับเจี้ยนเหวินมีลูกสาวแค่คนเดียว ย่อมไม่ได้ใช้เงินมากอยู่แล้ว

“ว่าแต่พี่เถอะค่ะ ได้ยินมาว่ามีลูกอีกแล้วเหรอคะ?” อวิ๋นลี่ลี่ก้มมองหน้าท้องอีกฝ่าย

“อืม ประมาณ 2 เดือนได้แล้ว อายุครรภ์ยังไม่มากเท่าไหร่” ซูตานหงบอก “คืนนี้ชวนสามีมากินข้าวด้วยกันสิ”

“ได้ค่ะ” อวิ๋นลี่ลี่ตอบตกลงทันที

เย็นนี้ซูตานหงทำอาหารเลิศรสไว้มาก มีทั้งเนื้อ น้ำแกง และปลา ราวกับเป็นงานวันปีใหม่

“พี่สะใภ้สามเตรียมอาหารไว้มากเกินไปแล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องต้อนรับถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ” จี้เจี้ยนเหวินบอกเมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ

“อาหารที่พี่สะใภ้นายทำ นายกินยังไงก็ไม่พอหรอก” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ย เขาเห็นน้องชายคนนี้ก็รู้ได้ทันที ก่อนหน้านี้เจี้ยนเหวินรู้สึกกดดันเพราะหนี้ก้อนโต คงจะเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เหรอ?

ทั้งคู่ซูบผอมเกินไป โชคดีที่พวกเขากลับมาหาเยียนเอ๋อร์ที่บ้าน

หากแต่ตอนนี้ไม่มีภาระอีก ทั้งยังใช้หนี้หมดแล้วด้วย สองสามีภรรยามีเงินเดือนไม่มาก แต่ก็มีบ้านเป็นของตัวเองที่เมืองเจียงสุ่ย ต่อไปคงใช้ชีวิตได้สุขสบายขึ้น

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ไม่ได้คลอดลูกนาน ลืมความรู้สึกของการตั้งท้องไปแล้วสินะคะ สามีทำไม่สะใจถึงได้ประท้วง

การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐโดยแท้ค่ะ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ

บ้านสี่เริ่มทำตัวดีขึ้นแล้ว เหลือแต่ยัยอวิ๋นๆ นี่แหละที่ยังไม่พัฒนาสักที

ไหหม่า(海馬)