บทที่ 40 เข้าไปในวังกลางดึก
กว่าเสนาบดีเฉินกลับมาจากราชสำนักก็บ่ายโมงแล้ว วันนี้ฝ่าบาทอาจจะอารมณ์ไม่ดี พระองค์ทรงมีสีหน้าที่ไม่ดีตลอดการประชุม และท่านอ๋องทั้งสองก็ป่วยหนักอยู่ในจวน ในราชสำนักก็มีแต่คนที่ไร้ประโยชน์ ในเวลานี้มีแต่คนเสนอคนในตระกูลจวิน เช่นนี้แล้วคนในตระกูลจวินก็จะเป็นที่โปรดปราน
หากไม่คำนึงถึงเรื่องนี้ จวินเซียวเซียวบุตรสาวคนที่สองของตระกูลจวินมีชื่อเสียงมากในเมืองหลวง ว่ากันว่านางชนะเลิศอันดับหนึ่งในงานกวีนิพนธ์และจิตรกรรมเมื่อไม่กี่วันก่อน รูปร่างหน้าตาของนางก็ได้รับรางวัลที่หนึ่งในงานเลี้ยงน้ำชา และกลายเป็นเรื่องที่พูดกันอย่างเพลิดเพลินในเมืองหลวง
ต่อให้คนอื่นไม่พูดถึง แต่ในราชสำนักก็มีคนพูดถึงเรื่องนี้ เพื่อทำให้ฝ่าบาทพอพระทัย แม้ว่าท่านราชครูจวินจะไม่ได้พูดอะไร แต่เรื่องนี้ก็สร้างความฮือฮาในราชสำนักไปแล้ว
ก่อนหน้านี้จวินฉูฉู่ได้รับคัดเลือกให้เข้ามารับใช้ฝ่าบาทในวัง แต่เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ฝ่าบาทก็คิดถึงความรู้สึกของฮองเฮาในหลายปีที่ผ่านมา และหาข้ออ้างที่จะระงับไว้ แต่คราวนี้มีคนพูดถึงเรื่องทายาทของฝ่าบาท เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้จะเป็นเรื่องของฝ่าบาท แต่ก็เป็นตระกูลเฉินของพวกเขาที่ต้องแบกรับ
การสูญเสียนี้ พวกเขาน้ำท่วมปาก!
เกรงว่าบุตรสาวคนนี้ของตระกูลจวินจะต้องเข้าไปในวังหลังอย่างแน่นอน
แม้ว่าฝ่าบาทจะรักและทะนุถนอมฮองเฮา แต่ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต แน่นอนว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเฉินจะมีวิธีใดบ้าง
เมื่อเสนาบดีเฉินเข้าประตูมาก็ตรงเข้าไปในห้องของฮูหยินเฉิน และกำลังจะถอดเสื้อคลุม เขาก็เห็นเฉินอวิ๋นเอ๋อร์บุตรสาวของเขา เขาจึงนั่งลง
“อวิ๋นเอ๋อร์น้อมทักทายท่านพ่อเจ้าค่ะ” เมื่อเห็นเสนาบดีเฉิน เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็รีบแสดงความเคารพ
“อืม มีอะไรจะคุยกับท่านแม่หรือ?”
เสนาบดีเฉินยังคงอ่อนโยนกับบุตรสาวของเขา
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง:“ลูกยังมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ จะได้ไม่รบกวนท่านพ่อและท่านแม่”
หลังจากพูดจบแล้ว เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ก็เดินออกไป แน่นอนว่าเสนาบดีเฉินเข้าใจบุตรสาวคนนี้เป็นอย่างดี
เมื่อเฉินอวิ๋นเอ๋อร์ออกไปแล้ว เสนาบดีเฉินก็ถามว่า:“เกิดอะไรขึ้น?”
“ท่านเสนาบดี นั่นแหละเกิดอะไรขึ้น”
หลังจากที่ฮูหยินเฉินพูดจบ เสนาบดีเฉินก็ส่ายหัว:“ข้าทำให้ท่านอ๋องเย่สูญเสียอำนาจ แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงตรัสอะไร แต่ข้าก็เข้าใจความเสียหายดี วันนี้มีคนในราชสำนักกล่าวถึงคุณหนูรองของตระกูลจวินขึ้นมา แม้ว่าจะอายุน้อย แต่ก็โมีชื่อเสียง เกรงว่าจะล้ำหน้าชูเอ๋อร์ เรื่องนี้……”
เมื่อฮูหยินเฉินได้ยินก็เข้าใจในทันทีและถามว่า:“ท่านเสนาบดี ความหมายของท่านคือเราควรจะส่งอวิ๋นเอ๋อร์เข้าไปในวัง?”
“เหลวไหล เจ้ายังไม่เข้าใจนิสัยของชูเอ๋อร์อีกหรือ เดิมทีในตอนนั้นที่ส่งนางเข้าในวัง นางก็ไม่เต็มใจ จนต้องกำจัดคนคนนั้นและทำให้นางท้อแท้ใจ ตอนนี้ท่านจะให้อวิ๋นเอ๋อร์เข้าไปในวังเพื่อปรนนิบัติรับใช้พระสวามีเดียวกันกับนาง จะไม่เป็นการบีบบังคับนางไปหน่อยหรือ?”
เสนาบดีเฉินตำหนิด้วยความโกรธจัด ฮูหยินเฉินตัวสั่น และรีบถามว่า:“ถ้าเช่นนั้นท่านเสนาบดีหมายความว่าอย่างไร?”
“ในตอนนี้เราทำได้เพียงแค่รอ หากตระกูลจวินให้จวินเซียวเซียวเข้าไปในวัง เช่นนั้นเราก็ไม่สามารถนิ่งดูดายได้ เพียงแต่ขั้นตอนนี้จะต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน บุตรสาวทั้งสองคนของตระกูลจวิน คนหนึ่งมอบให้ท่านอ๋องตวน สิ่งนี้เป็นความมั่นคงในการก้าวเดินบนเส้นทางสู่อำนาจของราชวงศ์ หากยังส่งจวินเซียวเซียวเข้าไปในวังอีก เช่นนั้นเป้าหมายของตระกูลจวินก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้ว่าเราจะไม่สนใจก็ต้องมีคนอื่นให้ความสนใจ บางทีฮองเฮาอาจจะลงมือเอง
ทำได้เพียงรอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบ ๆ
ส่วนอวิ๋นเอ๋อร์ อย่าปล่อยให้นางออกไปข้างนอกในตอนนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการที่นางจะไปสร้างความวุ่นวาย
ในตอนนี้อ๋องเย่ยังไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงมีแผนจะทำอย่างไรกับนาง นางไปที่นั่นบ่อย ๆ คงจะไม่ดี แต่ในเมื่อวันนี้นางไปที่นั่นมาแล้วก็แสดงให้เห็นถึงความละอายใจของข้า เช่นนั้นอย่าให้นางไปที่นั่นอีกเลย”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านเสนาบดีวางใจได้ ข้าจะดูแลอวิ๋นเอ๋อร์ให้ดี และไม่ให้นางไปวุ่นวายอีก”
“อืม”
เฉินอวิ๋นเอ๋อร์ฟังอยู่ข้างนอกและรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญมาก แม้ว่านางอยากจะแต่งงานกับอ๋องเย่ แต่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะสร้างปัญหา นางจึงหันหลังกลับไปที่ห้องและไม่ออกมาอีก
เช้าวันต่อมา
หมอเว่ยเป็นผู้นำในการกราบทูลเรื่องที่พระพันปีต้องการคนที่จะเข้ามาปรนนิบัติรับใช้ในวัง และจักรพรรดิอวี้ตี้ก็ไม่เคยเลือกคนเข้ามาในวังเป็นเวลาหลายปีแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในเมืองต้าเหลียง
บรรดาขุนนางทยอยกันคุกเข่าลง โดยหวังว่าจักรพรรดิอวี้ตี้จะคำนึงถึงประเทศชาติบ้านเมือง และสามารถสร้างระบบขึ้นใหม่ได้
จักรพรรดิอวี้ตี้ไม่ได้โกรธ เขาเพียงแค่กล่าวว่าด้วยวัยของเขา เขายังสามารถเลือกได้ โชคดีที่พวกเขาคิดได้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
แม่ทัพฉีนึกถึงบุตรสาว เขากังวลอยู่เสมอว่าฉีเฟยอวิ๋นอยู่ในจวนอ๋องเย่แล้วจะถูกรังแก เขาอดไม่ได้ที่จะไปหาฉีเฟยอวิ๋นด้วยตนเอง ตอนที่มาเขาก็นำเสื้อคลุมหนังขนสัตว์สีขาวที่ได้มาจากฝ่าบาทมาด้วย เขาชอบมันมากและตั้งใจจะมอบให้บุตรสาวสวมใส่ ในฤดูหนาวเวลาออกไปข้างนอกจะได้กันหนาวได้และยังดูดีอีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อฉีเฟยอวิ๋นเห็นแม่ทัพฉีก็ดีใจ ท่านพ่อของนางก็เป็นเช่นนี้ เขาสามารถไปที่ตำหนักจินหลวนของฝ่าบาทได้ และเขาก็สามารถมาที่หลังตำหนักของจวนอ๋องเย่ได้เช่นกัน
เมื่อพ่อลูกพบหน้ากัน แม่ทัพฉีก็สวมเสื้อคลุมหนังขนสัตว์ให้ฉีเฟยอวิ๋นในทันที ฉีเฟยอวิ๋นมองดูและถามว่าเอามาจากไหน แม่ทัพฉีพูดถึงเรื่องในราชสำนัก ฉีเฟยอวิ๋นจึงรู้ว่ามีคนกำลังร่างบทความในการคัดเลือก
“โชคดีที่อวิ๋นอวิ๋นแต่งเข้ามาในจวนอ๋องเย่แล้ว ไม่เช่นนั้นพ่อคงไม่ยอม” แม่ทัพฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ความหมายในคำพูดนั้นชัดเจน ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน
“แม้ว่าข้าจะไม่ได้แต่งเข้ามาในจวนอ๋องเย่ ฝ่าบาทจะพอใจข้าได้อย่างไร หากนับตามความอาวุโสแล้ว ฝ่าบาทและท่านพ่อก็เป็นเพื่อนสนิทกัน และข้าก็เป็นคนรุ่นหลังของเขา ยิ่งไปกว่านั้นคุณสมบัติของข้าจะคู่ควรกับฝ่าบาทได้อย่างไร”
พ่อบ้านมึนงงเล็กน้อย และไม่คิดว่าพระชายาจะมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้
แม่ทัพฉีกล่าวว่า:“ฝ่าบาทไม่ทำเช่นนั้นหรอก แต่ไม่สามารถมองข้ามขุนนางได้ แต่ละคนต่างก็หวังว่าจะให้ฝ่าบาททรงคัดเลือก เพื่อที่จะให้บุตรสาวในตระกูลได้กลายเป็นหงส์ที่มีตำแหน่งที่สูงศักดิ์ขึ้นมาในทันทีทันใด”
“ท่านพ่อ ทำไมท่านไม่อยากให้ลูกกลายเป็นหงส์ล่ะเจ้าคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นสงสัย
แม่ทัพฉีทำเสียงฮึอย่างเย็นชา:“พ่อต้องการอะไรก็ได้อย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพ่อเลี้ยงดูเจ้าไม่ได้ แต่เหตุใดเจ้าต้องเข้าไปลำบากลำบนในวัง แม้แต่จวนอ๋องเย่พ่อก็เมินเฉยได้ หากหาขุนพลมาบัญชากองทัพได้ เช่นนั้นเจ้าจะทำเช่นไร ใครก็ไม่สามารถขวางได้”
ฉีเฟยอวิ๋นค้นพบในทันทีว่าอันที่จริงแล้วท่านพ่อของนางก็มองการณ์ไกลเช่นกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าคนนอกจะไม่เข้าใจ
“ท่านพ่อ แล้วเหตุใดท่านถึงได้หนังขนสัตว์นี่มา หรือเป็นเพราะท่านต้องการเริ่มการคัดเลือกนี้?” นี่ไม่ใช่กฎ การคัดเลือกเกี่ยวอะไรกับท่านแม่ทัพ
แม่ทัพฉียิ้ม:“ทุกคนล้วนแต่คุกเข่าลงเพื่อให้มีการคัดเลือกนี้ เสนาบดีเฉินก็เช่นกัน แต่พ่อคิดว่านี่เป็นเรื่องของฝ่าบาท ไม่จำเป็นสำหรับคนนอกอย่างพวกเรา มีเพียงพ่อที่ไม่คุกเข่าลง
ต่อมาฝ่าบาทก็เรียกให้พ่อเข้าเฝ้าที่พระที่นั่งบำรุงฤทัย และถามพ่อว่าต้องการอะไร พ่อบอกว่าต้องเสื้อคลุมหนังขนสัตว์เป็นของกำนัล ฝ่าบาทจึงพระราชทานให้มา”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก ใช้ได้เลยทีเดียว!
แต่ดูเหมือนว่าการคัดเลือกนี้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ และฝ่าบาทก็หมดหนทางเช่นกัน แม้ว่า จะอยากรักคนคนเดียวไปจนตายก็ไม่สามารถทำได้
เมื่อแม่ทัพฉีมาถึง จวนอ๋องเย่ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ยกเว้นหนานกงเย่ที่พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายเท่านั้นที่ไม่ได้พบ ส่วนคนที่เหลือนั้นได้พบกัน แม่ทัพฉีเองก็ดีใจเช่นกัน หลังจากกินดื่มจนอิ่มแล้วก็กลับไปที่จวนท่านแม่ทัพ
ฉีเฟยอวิ๋นส่งคนออกไปแล้วจึงกลับมา และในเวลานี้ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง เดิมทีมันควรจะเป็นเวลาพักผ่อน แต่ฉีเฟยอวิ๋นได้รับพระราชโองการจากพระพันปีให้เนางรีบเข้าไปในวังโดยเร็วที่สุด
ทำไมฉีเฟยอวิ๋นไม่แน่ใจ แต่นางรู้สึกว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับการคัดเลือก
ฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปในวังกลางดึก โดยมีไห่กงกงรออยู่ที่หน้าประตูวัง ครั้งก่อนที่เขาได้รับผลประโยชน์จากฉีเฟยอวิ๋น ครั้งนี้เขามาที่นี่เพื่อแจ้งให้ฉีเฟยอวิ๋นรู้ล่วงหน้า
ทั้งสองคนเดินตามกันไป ไห่กงกงบอกทุกอย่าง แม้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะเข้าใจ ประตูวังบริเวณนี้กว้างขวางมาก และเป็นหลุมอย่างที่คิดไว้จริง ๆ
**********************