บทที่ 232: ทุกอย่างอยู่ที่นั่น

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 232: ทุกอย่างอยู่ที่นั่น

“…”

ข้อความที่ โร แอสคาร์ด บรรพบุรุษของโรเอลทิ้งเอาไว้บนร่างของเทรนท์โบราณเมื่อหลายศตวรรษก่อน ทำให้เด็กชายสับสนเป็นอย่างยิ่ง เขาเอื้อมมือไปสัมผัสข้อความแกะสลักที่ส่องแสงสีทองเข้มจาง ๆ ออกมาเป็นครั้งคราว พลางไตร่ตรองถึงความสำคัญของข้อความนี้

อย่าไว้ใจตระกูลแอคเคอร์มันน์ …นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?

แน่นอนว่าโรเอลรู้ดีว่า ตระกูลแอคเคอร์มันน์ที่ว่าคือใคร เขาจะไม่รู้จักตระกูลราชวงศ์ของจักรวรรดิออสทีนได้อย่างไร? แต่ข้อความที่บอกว่าอย่าไว้ใจตระกูลแอคเคอร์มันน์นั้น ทำให้เด็กชายสับสนเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันหมายความว่า ตระกูลแอสคาร์ดในรุ่นของโร ได้มีการติดต่อกับตระกูลแอคเคอร์มันน์

สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากเขตการปกครองแอสคาร์ดนั้นตั้งอยู่ห่างไกลจากจักรวรรดิออสทีนมาก และจากคำอธิบายของเคเดย์ โร ในตอนนั้นก็เพิ่งจะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ไม่นาน มันแปลกมากที่ขุนนางภายในช่วงวัยเพียงเท่านั้นจะสามารถติดต่อกับสมาชิกราชวงศ์ของจักรวรรดิออสทีนได้

นอกจากนี้การที่ โร มาที่ป่าเครอน จากการติดตามร่องรอยเบาะแสของวินสเตอร์ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนรอบคอบและพิถีพิถันแค่ไหน มันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่คนแบบเขาจะตัดสินใจอย่างเร่งด่วนและทิ้งคำเตือนเอาไว้เบื้องหลังโดยที่ไม่มีหลักฐานที่เป็นรูปธรรมสำหรับคนรุ่นหลัง ฉะนั้นแล้ว เหตุผลที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเบื้องหลังข้อความนี้ก็คือ…

“เขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาจากสถานะผู้เฝ้ามองอย่างนั้นเหรอ?”

โรเอลมองด้วยสายตาที่เคร่งขรึมขึ้น

แม้ว่าเด็กชายจะสามารถคาดเดาสิ่งที่โรค้นพบได้ แต่เขาก็ยังมีเบาะแสน้อยเกินไปที่จะเข้าใจภาพรวมทั้งหมดในตอนนี้ ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับโรเอล เพราะคำแนะนำจากบรรพบุรุษได้ช่วยให้เขารู้ว่าตัวเองควรจะเริ่มตรวจสอบเรื่องไหนเป็นเบาะแสต่อไป

โรเอลกระโดดกลับลงไปที่พื้น ใช้เวลาพอสมควรในการจัดระเบียบความคิดของตน ก่อนหน้านี้เขายังไม่เคยได้พบใครที่มาจากตระกูลแอคเคอร์มันน์เลย แต่เด็กชายรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเส้นทางของพวกเขาจะต้องมาตัดกันที่สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าในไม่ช้านี้แน่ จังหวะนั้นเอง เคเดย์ที่กำลังดื่มไวน์อีกถังอยู่ก็นึกอะไรขึ้นมาได้พอดี

“จะว่าไปแล้ว เจ้าเกี่ยวข้องกับเด็กสาวที่เข้ามาก่อนหน้านี้รึเปล่า?”

“หา? เด็กสาวคนไหน?”

โรเอลเงยหน้าขึ้นถาม ใบหน้าที่สับสนนั้นช่วยให้เทรนท์ได้รับคำตอบ เขาจึงพยักหน้าครุ่นคิด

“เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าเธอไม่ใช่พรรคพวกของเจ้าสินะ”

“ผมขอถามได้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”

“เมื่อเดือนที่แล้ว…”

หนึ่งเดือนก่อน ในคืนพระจันทร์เสี้ยว เด็กสาวในชุดเกราะได้เข้ามาที่ป่าเครอน ในตอนแรกเคเดย์ไม่ได้คิดอะไรกับเรื่องนี้ แต่เทรนท์โบราณก็ต้องประหลาดใจเมื่ออีกฝ่ายพยายามตามร่องรอยที่อยู่ของเขา จากนั้นไม่นานก็เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้า

เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนั้นได้มาเยือนป่าเครอนแห่งนี้โดยมีเป้าหมายในใจ นั่นก็คือการมาหาเคเดย์ แต่ไม่ทันที่เทรนท์โบราณจะได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ถ่ายทอดข้อความของเธออกมาอย่างเคร่งเครียด

‘ระวังนะ พวกมันอาจจะพบที่นี่แล้ว’

หลังจากทิ้งข้อความนี้ไว้เบื้องหลัง เด็กสาวก็หันหลังกลับและจากไปก่อนที่เคเดย์จะได้สติตื่นขึ้นจากความงุนงง

“เธอน่าจะเป็นหนึ่งในทายาทของอดีตสมาชิกสมัชชา มิฉะนั้นเธอคงไม่สามารถหาข้าเจอได้ง่าย ๆ แบบนั้นแน่ ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ‘พวกเขา’ ที่เธอพูดถึง หมายถึงใครหรืออะไร สมัชชามีศัตรูมากมายเกินกว่าจะนึกได้ตลอดช่วงเวลาต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์”

เคเดย์กล่าวอย่างช่วยไม่ได้

โรเอลขมวดคิ้วอย่างลึกล้ำ เมื่อรู้ว่ามีทายาทของสมาชิกสภายังคงหลงเหลืออยู่ ความกังวลของเขาก็ลดลงไปบางส่วน แต่กลับกันแล้ว เด็กชายก็ต้องกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับศัตรูที่ถูกกล่าวถึง เช่นเดียวกับความปลอดภัยของเทรนท์โบราณ

“แล้วท่านคิดจะทำยังไงกับคำเตือนที่ว่าล่ะเคเดย์? ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหนเลยนะ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา”

“เจ้าพูดถูก แต่ข้าติดอยู่ที่นี่ หากข้าเดินทางออกจากป่า ข้าจะโดดเด่นมากเกินไป”

เคเดย์ถอนหายใจ

แม้ว่าเทรนท์โบราณจะซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนท่ามกลางต้นไม้อื่น ๆ ในป่าลึก แต่เมื่อเคเดย์เดินออกจากหุบเขา เขาก็จะโผล่ออกมาอย่างโดดเด่นทันที ถึงเขาจะสามารถลองมุ่งหน้าไปยังดินแดนแห่งความโกลาหลที่อยู่ใกล้เคียงได้ แต่ดินที่นั่นก็ไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของเทรนท์ ทำให้เคเดย์ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้เป็นเวลานาน

ไม่มีทางที่เทรนท์อย่างเคเดย์จะหนีรอดจากที่นี่ไปได้เลย เขาจึงทำได้เพียงแค่พยายามเสริมกองกำลังฐานที่มั่นในตำแหน่งปัจจุบันของตน นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเอื้อมมือออกไปหาสัตว์อสูรอื่น ๆ ในหุบเขา และจัดการพวกมันตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา และสามารถรวบรวมกองกำลังได้อย่างรวดเร็ว อย่างที่โรเอลได้ประสบก่อนหน้านี้

เคเดย์รู้สึกหงุดหงิดกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ของตนในปัจจุบัน แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้มาก กลับกันแล้ว แววตาของโรเอลส่องประกายแวววับทันทีเมื่อได้ยินเกี่ยวกับปัญหาที่เทรนท์โบราณกำลังเผชิญอยู่

แน่นอนว่าเทรนท์โบราณอย่างเคเดย์จะถูกเปิดเผยทันทีที่เขาออกจากป่าเครอน… แล้วถ้ามนุษย์เป็นคนขนส่งเขาออกไปแทนล่ะ?

ต้นไม้ที่เดินด้วยตัวมันเองเป็นภาพที่แปลกประหลาด แต่ถ้าเป็นมนุษย์ที่แบกต้นไม้ออกไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องวุ่นวายอะไร…

พื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของเขตการปกครองแอสคาร์ด ไม่มีอะไรนอกไปจากต้นไม้ ถ้าเราสามารถอพยพเคเดย์ และกองกำลังของเขาไปที่นั่นได้ กองกำลังทหารของเขตการปกครองแอสคาร์ดก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอ?

“เคเดย์ ถ้าท่านเชื่อใจผมล่ะก็ ท่านคิดอย่างไรกับการย้ายไปอยู่ในเขตการปกครองของผม?”

โรเอลใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างรอบคอบ จนในที่สุดเขาก็สรุปได้ว่ามันเป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ดังนั้นเด็กชายจึงเสนอความคิดของเขาให้กับเคเดย์ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะลังเลเล็กน้อย

“แล้วพวกมนุษย์หมาป่าต้องสาปล่ะ…”

“ตราบใดที่ท่านสามารถควบคุมพวกเขาให้อยู่กับร่องกับรอยได้ล่ะก็ เราก็สามารถย้ายพวกเขาไปได้เช่นกัน พวกสัตว์อสูรเองก็ด้วย”

“ถึงกระนั้น มันก็ยังมีความเสี่ยง…”

“ไวน์เห็ด ห้าถังทุกวัน!”

“เป็นความคิดที่ดีนี่! พวกเราจะออกเดินทางกันเมื่อไหร่ดีล่ะ?”

“…”

ทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเทรนท์โบราณทำให้โรเอลพูดไม่ออกเล็กน้อย เขากะพริบตาครู่หนึ่งก่อนจะชี้ให้ซินเทียและคนอื่น ๆ เข้ามาหาเคเดย์ แน่นอนว่าคนที่สำคัญที่สุดที่เคเดย์ต้องพบก็คืออลิเซีย เธอจะกลายเป็นตัวแทนผู้ปกครองที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของเขตการปกครองแอสคาร์ด ในช่วงที่โรเอลไปยังอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล ดังนั้นมันคงจะเป็นการดีที่สุดหากทั้งสองคนสามารถตกลงกันได้

ทว่าก่อนที่โรเอลจะได้แนะนำให้พวกเขารู้จักกัน เทรนท์โบราณก็วางไวน์ลงก้มตัวให้กับอลิเซียในทันที

“โอ้ นี่มันช่างน่าตื่นตา! เจ้ามีพลังชีวิตที่น่าทึ่งมากจริง ๆ!”

เคเดย์รีบลดร่างของตนไปที่เด็กสาวผมสีเงินด้วยความประหลาดใจ เพื่อแสดงความเคารพ เช่นเดียวกับต้นเทรนท์ในสมัยโบราณเคารพในต้นไม้แห่งชีวิต และมองว่าต้นไม้แห่งชีวิตนั้นเป็นมารดาแห่งต้นไม้ทั้งมวล ดังนั้นเขาจึงให้ความเคารพอลิเซีย ผู้มีพลังชีวิตจำนวนมหาศาลด้วยเช่นกัน ราวกับว่าเป็นตัวตนของเทพเจ้า

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อลิเซียนั้นได้สร้างความประทับใจให้กับเทรนท์โบราณอย่างง่ายดาย แม้ว่าในตอนแรกโรเอลจะกังวลว่าทั้งสองคนอาจจะเข้ากันไม่ได้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว พวกเขาเข้ากันได้ดีกว่าที่เด็กชายคิดไว้มาก

หลังจากการเจรจาอย่างรอบคอบ โรเอลก็ตัดสินใจที่จะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว นั่นก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าศัตรูจะมาถึงเมื่อไหร่ ดังนั้นถ้ารีบไปได้ก็ควรรีบไปกันดีกว่า

แต่ก่อนอื่นเลยพวกเขาต้องขอความช่วยเหลือจากเมืองโรซ่า เพื่อที่จะสามารถส่งขบวนพ่อค้าจำนวนมากไปลักลอบนำเคเดย์ ที่มีขนาดมหึมา กองทัพมนุษย์หมาป่าและสัตว์อสูรของเขาออกไปจากป่าเครอน

เมื่อขบวนพ่อค้ามาถึงเมืองโรซ่า พวกเขาก็จะรีบเปลี่ยนบริบทสินค้าของเคเดย์ เป็นเพียงต้นโอ๊คขนาดใหญ่เพื่อปกปิดเส้นทางจริง ๆ และให้ซินเทียนำเคเดย์ตัวจริงกับกองทัพของเขาข้ามผ่านเทือกเขาโวรุน ไปสู่เขตการปกครองแอสคาร์ด ขณะที่ขบวนพ่อค้าจัดส่งต้นโอ๊กไปที่เมืองโรซ่า เพื่อขายมัน

แน่นอน เรื่องทั้งหมดนี้อาจจะยังดูน่าสงสัยในสายตาของศัตรูที่กำลังตามหาตัวเคเดย์ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่เชื่อมโยงการหายตัวไปของเคเดย์ กับการขนส่งต้นโอ๊กอย่างกะทันหันนี้ แต่ตราบใดที่พวกเขาสามารถปกปิดร่องรอยได้ดี ศัตรูก็ไม่น่าจะโยงเรื่องนี้เข้ากับเขตการปกครองแอสคาร์ดได้

เมืองโรซ่านั้นเป็นศูนย์กลางการค้าของทวีปเซีย ที่ซึ่งสินค้าทุกชนิดถูกเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะปลอมแปลงบันทึกการทำธุรกรรมทุกประเภท เพื่อสลัดศัตรูออกไปที่นั่น

หลังจากคิดแผนได้แล้วโรเอลและคนอื่น ๆ ก็เริ่มเตรียมการในทันที แน่นอนว่าเขายังไม่ได้ลืมเป้าหมายแรกเริ่มของตน โรเอลนั้นมาที่นี่เพื่อรับสัญลักษณ์แห่งการคัดสรรของสมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ ซึ่งเทรนท์โบราณก็ไม่ลังเลที่จะมอบมันให้กับเด็กชาย

เคเดย์สยายกิ่งก้านของตน เพื่อค้นหามันในพุ่มใบไม้ของเขา แสงระยิบระยับจาง ๆ ส่องผ่านเส้นเลือดกระจายไปรอบ ๆ ราวกับการไหลเวียนของพลังเวท จากนั้นกลุ่มแสงเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญต่อร่างกายขนาดมหึมาของเทรนท์ก็ปรากฏขึ้นที่ปลายกิ่งของเขา

“นี่คือผลิตภัณฑ์ที่ข้าสร้างขึ้นโดยผสมยางของข้าเข้ากับพลังเวท แม้ว่ามันจะมีน้ำหนักเบากะทัดรัด แต่มันก็ทนทานอย่างเหลือเชื่อ นั่นคือเหตุผลที่ข้าตั้งชื่อมันว่า ‘อำพันอดามันไทน์’ มันเป็นยาที่สามารถทำให้จิตใจสงบลงได้ ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งการคัดสรรที่ทางสมัชชาใช้”

เคเดย์อธิบายพร้อมส่งชิ้นอำพันโปร่งใสขนาดประมาณเล็บมือให้กับ โรเอล

เด็กชายผมดำได้รับมันมาอย่างระมัดระวัง ทันทีที่ได้สัมผัสกับมัน โรเอลก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกสดชื่นที่อธิบายไม่ได้ ที่ค่อย ๆ บรรเทาความเหนื่อยล้าทางจิตใจของเขาลง

“นี่สินะ สัญลักษณ์แห่งการคัดสรร…”

โรเอล พึมพำขณะที่กำอำพันแน่น

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เด็กชายก็บอกลาเคเดย์ เพื่อเตรียมการเพิ่มเติมสำหรับการขนส่ง

ภายใต้แสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ขบวนรถค่อย ๆ ถอยห่างออกจากหุบเขา โรเอลจับมืออลิเซียมองดูต้นไม้ขนาดมหึมาที่หลับตาลงกลับไปพักผ่อนอย่างสงบ

นี่ควรจะเป็นเพียงการเดินทางง่าย ๆ เพื่อรับสัญลักษณ์แห่งการคัดสรร ทว่าโรเอลกลับได้ค้นพบข้อมูลใหม่ ๆ มากมายโดยไม่คาดคิด แม้ว่าเขาจะได้เข้าใจเรื่องราวในอดีตมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันความลับมากมายเองก็เพิ่มขึ้นมาด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่แตกต่างออกไปในครั้งนี้ก็คือ โรเอลไม่ได้ไร้ซึ่งเบาะแสใด ๆ เหมือนครั้งก่อน ๆ แล้ว ตอนนี้เขามีแนวทางที่ชัดเจน

เมื่อมองไปที่อำพันในมือ สายตาของโรเอลก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ สมัชชานักปราชญ์พลบค่ำ หรือ โร แอสคาร์ด ทุกอย่างล้วนมุ่งไปในทางเดียวกันทั้งหมด สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า

“อาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล หืม? ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเราจะต้องพบเจอกับเรื่องยุ่ง ๆ แล้วสินะ”

โรเอลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีส้ม ด้วยความมุ่งมั่นในแววตา