ตอนที่ 35 ท่านกลับมาแล้ว

ชั้นสอง

ข้างตู้แช่

โจวเจ๋อยืนอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง

แม่นางไป๋ยังคงนอนอยู่ข้างใน ท่าทางเหมือนกับตอนที่โจวเจ๋อลุกขึ้นออกไปข้างนอกตอนเช้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ แต่ภาพที่บันทึกอยู่ในกล้องเป็นไปไม่ได้ที่จะผิดพลาด

โดยเฉพาะที่แก้วน้ำใบนั้น

ตัวเองเพิ่งจะเริ่มดื่มก็รู้สึกว่ามีรสหวานเล็กน้อย

นี่ไม่ใช่เรื่องของจิตวิทยา เพราะน้ำที่ดื่มก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้ดูวิดีโอนั่น

และในความเป็นจริง โจวเจ๋อดื่มน้ำที่อีกฝ่ายดื่มแล้ว ไม่ได้รู้สึกสะอิดสะเอียนมากเกินไป อย่างไรก็ตามเมื่อคืนได้เห็นสวี่ชิงหล่างกิน ‘อาหารอันโอชะ’ ไปตั้งมากมาย

เมื่อเทียบกับสวี่ชิงหล่าง ครั้งนี้ของตัวเอง เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

แน่นอนว่า ไม่ได้รู้สึก ‘สวยงาม’ อะไรมาก

แม่นางที่อยู่ตรงหน้า ต่อให้สวยแค่ไหน ก็เป็นแค่ศพร่างหนึ่ง ที่นอนอยู่ใต้พื้นดิน และเป็นศพที่มีอายุสองร้อยปีแล้ว

พอนึกว่านางไม่ได้แปรงฟันมาสองร้อยปีแล้ว กับโจวเจ๋อที่เป็นคนรักอนามัยเล็กน้อยรู้สึกยากที่จะยอมรับได้

เธอสามารถขยับตัวได้ มิหนำซ้ำยังเดินลงไปดื่มน้ำข้างล่าง แล้วขึ้นมาข้างบนอีก

แม่นางไป๋ ไม่ได้บอกความจริงกับตัวเองหรือ

หรืออาจจะมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากเมื่อคืนเป็นเพราะเล็บของตัวเอง จึงทำให้ร่างศพนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

ตอนนี้ ดวงจิตของแม่นางไป๋ลงไปรายงานตัวที่นรกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจงใจทิ้งระเบิดอะไรไว้ที่โลกมนุษย์

เด็กสาวตัวน้อยเคยกล่าวว่า ผีในโลกมนุษย์ต้อง ‘รู้จักวางตัว’ ใครอยากก่อเรื่องวุ่นวาย นั่นก็เท่ากับวอนอยากตาย เบื่อที่ตัวเองใช้ชีวิตสบายเกินไป

แต่ทว่า ศพร่างหนึ่งวางไว้ที่ชั้นสองของร้านตัวเอง กับศพอีกร่างหนึ่งที่เดินได้ ทำให้โจวเจ๋อรู้สึกว่าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ใครก็ไม่อยากให้ที่พักตัวเอง มีสิ่งอันตรายเหมือนหอกข้างแคร่

“นี่ พี่สาว คุณตื่นมาก่อนดีไหม พวกเรามาคุยกันเถอะ”

โจวเจ๋อพิงข้างตู้แช่แล้วเอ่ย

เขาหวังว่าศพผีสาวร่างนี้จะลืมตาขึ้นมาตอนนี้ และถ้าไม่เป็นภัยกับตนเอง งั้นก็ต้องมาพูดกัน ทุกคนต่างแสวงหาจุดร่วมเพื่อนสงวนจุดต่าง ไม่ต้องเล่นอะไรลึกลับอีก

เพียงแต่ศพผีสาวยังคงไม่ขยับ และนอนอยู่ตรงนั้น

โจวเจ๋อสูดลมหายใจลึกๆ จากนั้นจึงยื่นมือเข้าไป แล้วเริ่มเคลื่อนไหวอยู่บนร่างศพผีสาว

และหวังว่าศพผีสาวจะอดทนการ ‘ลวนลาม’ แบบนี้ไม่ได้ แล้วลืมตาขึ้นมาด้วยความโกรธ

แต่เสียดาย

ศพผีสาวยังคงนอนนิ่งเย็นเฉียบอยู่ตรงนั้น

ไม่ขยับแม้แต่น้อย

โจวเจ๋อคิดว่า ต่อให้ตัวเองถอดกางเกงแล้วขึ้นไปทับจริงๆ ศพผีสาวก็ยังรักษาสภาพนิ่งเหมือนเดิม

พอชักมือกลับมา โจวเจ๋อจึงเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

เพราะคุณปลุกคนที่แสร้งนอนหลับไม่ได้

วินาทีต่อมา เล็บปลายนิ้วของโจวเจ๋อเริ่มยาวขึ้น ต่อจากนั้น โจวเจ๋อจึงใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่แขนของศพผีสาว และเริ่มใช้แรงอย่างช้าๆ

“ฉัวะ…”

เล็บเหมือนใบมีดที่แหลมคม ทิ่มทะลุแขนของศพผีสาว ศพผีสาวไม่มีเลือดสดไหลออกมา ตรงกันข้ามกลับมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งฟุ้งกระจายออกมา ปกคลุมไปทั่วห้องชั้นสองจนมืดมิด

“โจวเจ๋อ คุณกำลังทำอะไร!”

เสียงของสวี่ชิงหล่างดังมาจากชั้นล่าง

จากนั้นสวี่ชิงหล่างก็วิ่งตรงมาที่ชั้นสองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น โจวเจ๋อชักมือกลับมาตอนนี้ทันที เล็บมือเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างหนึ่งชั้น มีความแข็งเล็กน้อย และรู้สึกเจ็บนิดๆ

“คุณบ้าไปแล้ว!” สวี่ชิงหล่างเห็นรอยแผลเล็กๆ อยู่บนแขนของศพผีสาวแล้วจึงตวาดโดยตรง “ฮั่นป๋าออกมาจะเกิดภัยแล้งไปทุกหย่อมหญ้าคุณไม่รู้เหรอ!

ศพผีสาวนี้อาจจะเทียบฮั่นป๋าไม่ได้ แต่พลังชี่ที่สะสมอยู่ในร่างของนางหากรั่วไหลออกไป ก็มากพอที่จะทำให้เป็นโรคระบาดรุนแรงในเมืองทงเฉิง!”

โจวเจ๋อไม่สนใจสวี่ชิงหล่างที่กำลังบันดาลโทสะ แต่ยังคงจ้องมองแขนของศพผีสาวต่อไป แผลแต่เดิมที่ถูกตัวเองทิ่มเมื่อครู่กำลังสมานเองอย่างช้าๆ

ร่างศพผีสาวนี้ นอกจากร่างกายที่เย็นเฉียบและไม่มีลมหายใจแล้ว อย่างอื่นก็ไม่ต่างจากคนเป็นทั่วไปจริงๆ กระทั่งมีชีวิตชีวามากกว่าร่างกายของคนเป็นเสียอีก!

“นี่ ศพนี้เป็นผมกับคุณที่ขุดออกมาด้วยกัน ถ้าหากศพนี้ก่อความวุ่นวายอะไร ผมก็พลอยมีส่วนร่วมไปด้วยอายุขัยถูกทำลาย ถึงขนาดสร้างความหายนะไว้ให้แก่ลูกหลานรุ่นหลัง! คุณก็เหมือนกัน ถ้าหากคุณทำเรื่องจนใหญ่โต ต่อให้ตอนนี้คุณเป็นยมทูตก็ตาม ก็รับผิดชอบงานนี้ไม่ไหว”

ศพผีสาวปล่อยพลังงานสีดำออกมาอย่างช้าๆ และเป็นเพราะว่ามีปริมาณค่อนข้างน้อย บวกกับโจวเจ๋อและสวี่ชิงหล่างที่อยู่ที่นี่ พลังต้านทานของพวกเขาแข็งแกร่งพอสมควร ดังนั้นจึงสร้างอันตรายอะไรไม่ได้

แต่สิ่งที่รั่วไหลออกมาเมื่อครู่ เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

โจวเจ๋อถอนหายใจ “สวี่ชิงหล่าง”

“อะไรนะ”

“เอาภรรยาของคุณไปวางที่ร้านของคุณเถอะ พ่อแม่ของคุณเพิ่งจะจากไป อย่างนั้นก็ให้นางอยู่เป็นเพื่อนคุณไปเลย อย่างไรก็ตามคุณก็เป็นคนที่แต่งงานถูกต้องอย่างเป็นทางการ”

“อะไรนะ คุณหมายความว่ายังไง” สวี่ชิงหล่างงงมาก

“ศพนี้ นางสามารถเดินไปได้ด้วยตัวเอง” โจวเจ๋อพูดสาเหตุออกมา “วันนี้นางเดินลงข้างล่างด้วยตัวเอง แล้วยังดื่มน้ำได้อีก”

สวี่ชิงหล่างเผยสีหน้าหวาดผวาออกมาทันที มุมปากกระตุก แล้วเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

เมื่อคืนเขาพูดว่า ร่างศพนี้ถ้าหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ก็จะกลายเป็นผีดิบ และไม่ใช่ผีอ่อนแอร้อง ‘อูวาๆ’ สมองทึ่มที่สามารถยิงสมองให้เละได้ตลอดเวลาเหมือนในหนังฝรั่ง แต่เป็น ‘สิ่งมีชีวิตป่าเถื่อน’ ของจริง กระทั่งเป็นผีดิบที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์

“ขอบใจ ผมกำลังเคยชินกับการอยู่คนเดียว”

ตลกแล้ว เผือกที่ร้อนลวกมือแบบนี้ ไม่สิ ระเบิดปรมาณูที่รับมือยากแบบนี้ สวี่ชิงหล่างจะรับได้อย่างไร

“คุณมียันต์กันผีไม่ใช่เหรอ ก็แปะให้เธอสักแผ่นสิ” โจวเจ๋อถาม

“ยันต์กระดาษของผมเหมือนดาบสองคม แปะแล้วจะเกิดผลในทางตรงกันข้าม และกระตุ้นนาง” สวี่ชิงหล่างยิ้มพูดอย่างขมขื่น

“อย่างนั้นจะทำยังไง” โจวเจ๋อรู้สึกปวดหัวตุบๆ “เอาไปทิ้งในทะเล ถึงแม้ว่านางจะกลายเป็นผีดิบแต่มากสุดก็ให้นางไปก่อความวุ่นวายกับเทพเจ้าแห่งมหาสมุทรโน่น”

“นางไปจากเมืองทงเฉิงไม่ได้ ตอนที่นางมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนเมืองทงเฉิง หลังจากตายไปก็คือผีของเมืองทงเฉิงเช่นกัน ถ้าหากร่างกายอยู่ห่างจากอาณาเขตของเมืองทงเฉิง นางก็จะมีปัญหาเช่นกัน ไม่อย่างนั้นทำไมก่อนที่แม่นางไป๋จะบำเพ็ญเพียรเสร็จแล้วลงไปนรกถึงไม่กำจัดนางทิ้งเล่า”

“ปัง!”

โจวเจ๋อปิดฝาครอบตู้แช่โดยตรง เห็นได้ชัดว่า ปัญหานี้ ไม่อาจแก้ไขได้

เผาทิ้งก็เผาไม่ได้ ขนย้ายก็ไม่ได้

เอาไปทิ้งที่อื่นก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน จึงได้แต่วางไว้ในห้องของตัวเองเพื่อให้ตัวเองยอมเสี่ยงคนเดียว

โจวเจ๋อตอนนี้หมือนจะเข้าใจแล้วว่าทำไมสาวน้อยต้องทำเสียง ‘ฟิ้ว’ ลงไปนรก พนักงานองค์กรในโลกมนุษย์ใช่ว่าจะเป็นได้ง่ายๆ

ถึงแม้ว่าจะเข้าระบบแล้ว ทำงานระดับล่างตลอดไปคือสิ่งที่ยากเย็นแสนเข็ญมากที่สุด

เหมือนกับตัวเองในตอนนี้

“ปล่อยวางหน่อย คืนนี้ผมจะทำน้ำบ๊วยให้คุณเยอะหน่อย” สวี่ชิงหล่างพูดปลอบใจ

“จากนั้น”

“จากนั้นผมก็ย้ายบ้าน ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะลงไปเปิดร้านที่อำเภอ ผมกะว่าจะทำตามแผนล่วงหน้า” สวี่ชิงหล่างทำท่าเหมือนต่อให้เพื่อนตายแต่ฉันจะตายไม่ได้

หลังจากล็อกตู้แช่แล้ว โจวเจ๋อกับสวี่ชิงหล่างจึงเดินลงมาข้างล่างพร้อมกัน

สวี่ชิงหล่างได้กำชับอีกรอบว่าอย่าเอะอะ แล้วก็กลับไปที่ร้านก๋วยเตี๋ยว เมื่อครู่เขาน่าจะกำลังยุ่งเรื่องของตัวเอง แต่สัมผัสได้ถึงการรั่วไหลของพลังชี่พิฆาตจึงรีบวิ่งมาหาด้วยความตกใจ

โจวเจ๋อนั่งลงที่หลังเคาน์เตอร์ หยิบแก้วน้ำขึ้นมา แล้วส่ายหน้าตัวเองไปมา

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอหยิบมาดู กลับเป็นเบอร์แปลกๆ

“ฮัลโหล ไม่ทราบว่าใช่คุณสวีเล่อหรือเปล่าครับ พวกเราเป็นกองบังคับการสถานีตำรวจจราจรฉงชวน”

“ครับ ผมเอง มีอะไรเหรอครับ”

“สวีต้าชวนเป็นญาติของคุณใช่ไหมครับ เมื่อครู่เขาเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตอนนี้กำลังถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลประชาชนครับ”

“ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้”

โจวเจ๋อหลับตา พร้อมกับทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกมาจากปาก ตอนนี้ก็ปวดหัวพอแล้ว ดันเกิดเรื่องอื่นอีก สวีต้าชวนน่าจะเป็นลุงคนนั้นที่ตัวเองเลี้ยงข้าวเมื่อตอนกลางวันแน่นอน

แต่ตัวเองจะไม่ไปไม่ได้ ถึงแม้เขาจะตั้งใจมาเยี่ยมสวีเล่อที่เมืองทงเฉิงโดยเฉพาะ ไม่ได้มาเยี่ยมเขา และของฝากพื้นเมืองที่เขามอบให้ ก็ถูกโจวเจ๋อเอาไปให้สวี่ชิงหล่างทำเป็นวัตถุดิบอาหารเรียบร้อยแล้ว

โจวเจ๋อมองดูเล็บของตัวเอง

ถ้าหากสวี่ต้าชวนมีอันตรายถึงชีวิตจริง ตัวเองจะช่วยหรือไม่ช่วย

พอนึกถึงความทรมานของพลังสวนกลับที่ได้รับหลังจากการช่วยสาวน้อยในครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อรู้สึกหนาวสะท้านหัวใจ ช่างเถอะ หวังว่าเขาจะไม่เป็นอะไรมาก

พอออกจากร้าน นั่งรถแท็กซี่ โจวเจ๋อจึงส่งข้อความวีแชทไปหาสวี่ชิงหล่างตอนอยู่บนรถ บอกว่าตัวเองต้องออกไปข้างนอก วานให้เขาช่วยดูร้านหน่อย

พอมาถึงโรงพยาบาลประชาชน ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว โจวเจ๋อสอบถามที่หน้าเคาน์เตอร์ จึงรู้ว่าสวีต้าชวนไม่มีอันตรายถึงชีวิตและถูกย้ายไปห้องคนไข้แล้ว เขาจึงโล่งอก

ตอนที่เปิดประตูห้องคนไข้ โจวเจ๋อเดินเข้าไป แล้วตกตะลึงเล็กน้อย เขาเห็นหมอหลินกำลังนั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่ข้างเตียงของสวีต้าชวน

ขาข้างหนึ่งของสวีต้าชวนถูกแขวนขึ้นมา น่าจะกระดูกหัก กับใบหน้าที่มีแผลถลอกเล็กน้อย แต่สติยังดีอยู่ และตอนที่กำลังพูดคุยกับหลานสะใภ้ของตัวเองมีความกระฉับกระเฉงมาก

โจวเจ๋อเดินเข้ามาสบตากับหมอหลินครู่หนึ่ง

“ขอบคุณครับ รบกวนคุณแล้ว” โจวเจ๋อกล่าว

“สมควรทำอยู่แล้วค่ะ” หมอหลินลุกขึ้น แล้วอธิบายว่า “ตอนกลางวันฉันไม่อยู่บ้าน ขอโทษด้วยค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” โจวเจ๋อโบกมือ

หมอหลินเดินออกมาจากห้องคนไข้ โจวเจ๋อนั่งคุยกับลุงของตัวเองพักหนึ่ง รถบัสยังไม่ทันออกจากตัวเมืองก็โดนชนเสียแล้ว และสวีต้าชวนเหมือนจะซวยนิดหน่อย หกล้มแล้วกระดูกขาซ้ายหัก ส่วนผู้โดยสารคนอื่นมีแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น

สวีต้าชวนไม่ค่อยสนใจแผลของตัวเองเท่าไรนัก ตรงกันข้ามกลับพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก “หลานสะใภ้นิสัยดี”

โจวเจ๋อยิ้ม แล้วปล่อยให้สวีต้าชวนพักผ่อน จากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องคนไข้

หมอหลินเวลานี้กำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ มีพยาบาลสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนจะไม่ค่อยสบาย

โจวเจ๋อเตรียมตัวจะกลับ แต่ก็ต้องไปบอกลาหมอหลินก่อน ทั้งสองคนจริงๆ ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้ว แต่ในเรื่องของหน้าตาอย่างไรก็ต้องทำ

แต่ทันทีที่เข้าใกล้ โจวเจ๋อกลับได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารก เสียงอ่อนแอนัก เหมือนกับลูกแมวน้อย

โจวเจ๋อตอนแรกไม่ได้สนใจ รอจนเดินเข้าใกล้หมอหลิน กลับได้ยินเสียงของเด็กทารกชัดเจนยิ่งขึ้น

หรือว่าหมอหลินโดนผีอำ

โจวเจ๋อยังคงพิจารณามอง และจงใจเดินไปยืนมองที่ข้างหลังของหมอหลิน

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่หลิน ฉันท้องไส้ไม่ค่อยดีโรคเก่ากำเริบ อีกสักพักฉันไปกินยาก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ” พยาบาลสาวขอบคุณความเป็นห่วงของหมอหลิน

“ตัวเองก็ระวังสุขภาพหน่อย” หมอหลินพูดปลอบใจ

เวลานี้หมอหลินพบว่าโจวเจ๋อยืนอยู่ข้างหลังตัวเองทำตัว…‘ลับๆ ล่อๆ’

“คุณ…”

“รอเดี๋ยวครับ” โจวเจ๋อยกมือขึ้น แล้วตั้งใจฟัง สุดท้ายจึงมองไปที่ท้องของพยาบาลสาว

เสียงนี้ ไม่ได้ดังมาจากตัวของหมอหลิน แต่ดังมาจากภายในร่างกายของพยาบาลสาว

ในอดีตโจวเจ๋อเคยเป็นหมอจึงเข้าใจได้ทันที

“คุณท้องแล้ว” โจวเจ๋อพูดกับพยาบาลสาว เวลานี้ อดไม่ได้ที่จะเตือนเรื่องนี้โดยไม่สนใจการไว้หน้า

“อะไรนะ” พยาบาลสาวทำสีหน้ามึนงง

“พูดอะไรมั่วซั่ว เสี่ยวเฉินยังไม่ได้แต่งงานและไม่มีแฟน” หมอหลินขึงตาใส่ ‘สามี’ ของตัวเองหนึ่งที

“ผมไม่รู้ว่าคุณท้องกับใคร แต่ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดคุณต้องไปตรวจดูก่อน นอกจากนี้ขอเตือนคุณอีกหน่อย คุณมีความเสี่ยงที่จะแท้งสูง” โจวเจ๋อเอ่ยอย่างมั่นใจมาก

ครรภ์ไม่ค่อยแข็งแรง เสียงร้องไห้ท่ามกลางความมืดมิดเป็นตัวแทนความเศร้าโศกเสียใจตามสัญชาตญาณของเด็กที่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลก นี่เป็นสาเหตุที่โจวเจ๋อไม่สนการไว้หน้าอีกฝ่าย

ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า

พยาบาลเสี่ยวเฉินได้ยินจึงลุกขึ้นพรวด แสดงความร้อนใจบนใบหน้า เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านั้นเธอไม่รู้ว่าตัวเองท้องแล้ว แต่เธอรู้ดีว่า ตัวเองมีพฤติกรรมที่มี ‘ความเสี่ยงสูง’ ด้วยเหตุนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะตั้งครรภ์

หมอหลินก็มองออก จึงรีบให้พยาบาลเสี่ยวเฉินรีบออกไป

โจวเจ๋อบิดขี้เกียจ พลางคิดว่าเสียดายที่สวีเล่อเรียนวิศวกรรมโยธา ถ้าหากสวีเล่อเรียนหมอล่ะก็ เช่นนั้นตัวเองคงจะได้เป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองทงเฉิง กระทั่งทั่วทั้งมณฑลเจียงซูในไม่ช้า

จากนั้นจึงลงไปข้างล่าง ซื้อนมหนึ่งลังกับของใช้ส่วนตัวให้กับสวีต้าชวน หลังจากโจวเจ๋อเอาไปไว้ที่ห้องคนไข้ของสวีต้าชวนแล้วจึงเดินออกมา ครั้งนี้เตรียมตัวกลับจริงๆ แล้ว อย่างไรก็ตามคนที่อยู่ที่บ้านทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ

บังเอิญหมอหลินเดินออกมาจากลิฟต์พอดี เธอมีสีหน้าหนักอึ้งพอสมควร

“เป็นอะไรครับ”

“คุณดูออกได้ยังไงว่าเสี่ยวเฉินท้อง” หมอหลินถาม

“ผมเรียนแพทย์แผนจีนมาบ้าง” โจวเจ๋อแต่งเรื่องพูดไปเรื่อย “ทางนั้นเป็นยังไงบ้างครับ”

“เสี่ยวเฉินอยากจะเอาเด็กไว้ แต่จะรักษาได้ไหมยากที่จะพูด ก่อนหน้านั้นตัวเองไม่ได้ระวังเลยสักนิด” หมอหลินพูดจบก็พูดกับโจวเจ๋อว่า “คุณจะกลับแล้วใช่ไหม รอฉันเปลี่ยนชุดแป๊บหนึ่ง ฉันจะไปส่งคุณค่ะ”

จากนั้น โจวเจ๋อก็นั่งรถปอร์เช่คาเยนน์ของหมอหลินออกจากโรงพยาบาล

ระหว่างทาง ทั้งสองคนไม่ค่อยพูดอะไรกัน ความสัมพันธ์แบบ ‘สมีภรรยา’ ของคนทั้งสองลดระดับลงมาถึงจุดเยือกแข็งเพราะเหตุการณ์คราวก่อน

ตอนที่ใกล้จะถึงร้านหนังสือ โจวเจ๋อรู้สึกว่าควรจะหาเรื่องคุยเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นคงอึดอัดเกินไป แล้วจึงเอ่ยว่า“คุณโพสต์รูปในชุดจีนโบราณในโมเมนต์อยู่ไม่น้อย คุณชอบมากเหรอครับ”

“ค่ะ” หมอหลินพยักหน้าเอ่ย

“ผมก็ชอบมากเหมือนกันครับ” โจวเจ๋อลูบปลายจมูก “คุณมีชุดจีนโบราณใช่ไหมครับ วันหลังใส่ให้ผมดูบ้างสิ”

หมอหลินไม่ตอบ ดูเหมือนจะขี้เกียจพูดเรื่องนี้

รถจอดอยู่หน้าประตูร้าน โจวเจ๋อลงจากรถ แต่สิ่งที่ทำให้โจวเจ๋อประหลาดใจคือ หมอหลินก็ลงมาจากรถเช่นกัน ดูท่าทางเหมือนจะเข้าไปในร้านพร้อมกับตัวเอง

เหอะๆ ผู้หญิงคนนี้แข็งแกร่งนัก ไม่กลัวว่าจะถูกฉันทำอะไรแบบนั้นเหมือนคราวที่แล้วอีกเหรอ

“ฉันจะเข้าไปอ่านนิตยสารสองสามเล่ม” หมอหลินกล่าว

“ครับ” โจวเจ๋อพยักหน้า เขารู้ดีว่า นี่คือการแสดงความยินยอมและการประนีประนอมของหมอหลิน ผู้หญิงคนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ เชียว

หากจะใช้สไตล์ของหลู่ซวิ่นกล่าวก็คือ ‘ผู้หญิงคนนี้ ใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบศักดินา ยอมก้มหัวให้ ‘สามี’ในนามคนนี้แล้ว’

หากอยู่ในสมัยโบราณ หมอหลินก็คือแม่หญิงผู้น่าสงสารที่ถูกข่มเหงรังแกให้ยอมรับประเพณีแบบศักดินาอย่างโหดเหี้ยม

พอผลักประตูร้านเข้าไป โจวเจ๋อรู้สึกตกใจที่เห็นสวี่ชิงหล่างกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเก้าอี้พลาสติกอยู่ แต่หนังสือในมือของเขากลับถือกลับด้านอย่างเห็นได้ชัด นี่คือดูอะไรของมัน

สวี่ชิงหล่างแสยะยิ้มให้โจวเจ๋ออย่างยากลำบาก ดูทุเรศมากกว่าร้องไห้เสียอีก

หมอหลินมองผู้ชายที่หน้าตาดีกว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเลือกนิตยสารที่อยู่บนตู้หนังสือทางนั้น

โจวเจ๋อยื่นบุหรี่ให้สวี่ชิงหล่างหนึ่งมวน แล้วพูดเสียงเบาว่า “คุณเป็นอะไร สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”

และในเวลานี้

มีเสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าบันได แม่หญิงในชุดโบราณสีขาวเยื้องย่างลงมาจากข้างบนอย่างช้าๆ ท่าทางอ่อนช้อยสง่างามและอ่อนโยน

นางยิ้มเล็กน้อยตอนที่เห็นโจวเจ๋อ แล้วพูดด้วยความเคารพว่า

“ท่านกลับมาแล้ว”

หมอหลินเพิ่งถือนิตยสารอยู่ในมือ แต่พลันปล่อยร่วงลงบนพื้น

แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาในขณะเดียวกัน “สงสัย ฉันไม่จำเป็นต้องใส่ให้คุณดูแล้ว”

…………………………………………….