ตอนที่ 215 เดินทางกลับ

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ชุนหว่านและอีกหลายคนหน้าแดงจนราวกับจะหลั่งโลหิตออกมาได้ก็ไม่ปาน

หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าทราบเรื่องแล้วก็ลอบพยักหน้า กล่าวกับสื่อมามาเป็นการส่วนตัวว่า “ยิ่งอยู่เด็กคนนี้ก็ยิ่งกล้าพูดกล้าเสวนา หากให้เวลาอีกนิด ต้องกลายเป็นผู้ที่ดูแลจัดการงานบ้านได้ดีผู้หนึ่งเป็นแน่”

แต่สื่อมามากลับไม่ได้คิดเช่นนั้น

นางรู้สึกว่าโจวเสาจิ่นยังขาดเกียรติภูมิและความน่าเกรงขาม ยากนักที่จะทำให้แม่บ้านที่ดูแลงานบ้านเหล่านั้นอยู่ในอาณัติ นางกล่าวหยั่งเชิงขึ้นว่า “เพียงแต่ว่าอุปนิสัยอ่อนแอไปสักหน่อยเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่เห็นด้วย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าคนที่มีอุปนิสัยแข็งแกร่งก็เท่ากับว่าดีแล้วอย่างนั้นหรือ หลายครั้งหลายคราล้วนเป็นความอ่อนโยนที่เอาชนะความแข็งกร้าวได้”

สื่อมามาไม่กล้ากล่าวอะไรอีก

เมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัวรู้สึกว่าหากผู้หญิงไม่ลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ก็อย่าได้คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตที่มีความสุขได้

ทว่าตอนนี้กลับเข้าข้างโจวเสาจิ่น

เช่นนั้นต่อจากนี้ไปนางคงต้องปฏิบัติต่อโจวเสาจิ่นให้นอบน้อมอีกสักหน่อยเสียแล้ว

“ยังคงเป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่มีสายตาแหลมคมเจ้าค่ะ!” สื่อมามาประจบฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มๆ

ชุนหว่านและคนอื่นๆ อีกหลายคนได้ยินถ้อยคำของโจวเสาจิ่นแล้วก็ลอบหวาดหวั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ต่อไปคงไม่กล้าไม่พอใจอะไรอีกแล้ว ท่าทีที่มีต่อบ่าวรับใช้ของตระกูลซ่งจึงกระตือรือร้นขึ้นมาก ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสไปตลอดทางจนถึงฉางโจว

เดินทางต่อไปอีกก็จะถึงเจิ้นเจียงแล้ว

พวกเขาน่าจะแยกย้ายกันที่เจิ้นเจียง ครอบครัวของท่านผู้เฒ่าซ่งจะเดินทางขึ้นเหนือต่อไป จากเจิ้นเจียงผ่านฉ่างโจว ไหวอัน จนถึงกระทั่งไปขึ้นท่าเรือที่ทงโจวเพื่อเข้าเมืองหลวง ส่วนพวกเขาจะมุ่งไปทางตะวันตกเพื่อกลับจินหลิง

เฉิงฉือเคล้นนวดดวงตาที่บวมเป่งขณะเงยหน้าขึ้นมา ถอนหายใจพลางกล่าวกับผู้เฒ่าซ่งว่า “ได้ฟังคำคำสอนของผู้มีปัญญาแม้เพียงหนึ่งครั้ง ยังมีค่ากว่าได้ร่ำเรียนมาสิบปี ก่อนหน้านี้ข้าเป็นดั่งกบในกะลา คิดว่าภายใต้โลกหล้านี้ นอกจากข้าแล้วคงมีไม่กี่คนที่เข้าใจเรื่องการดูกระแสน้ำ แต่หลังจากที่ได้พบท่านผู้เฒ่าแล้วถึงได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ตอนนี้ข้าอยากลองพบไต้เท้าซ่งจี้เซียงซ่งจิ่งหรานผู้เลื่องชื่อเสียจริงว่าจะเป็นเป็นคนสง่างามเพียงใดขอรับ!”

เขากับซ่งจิ่งหรานเคยติดต่อกันมาก่อนบ้าง ทว่าไม่เคยได้คุยกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ซ่งจิ่นหรานในสายตาของเขาแล้ว ก็เป็นเพียงขุนนางระดับสูงที่มีความสามารถผู้หนึ่งก็เท่านั้น

แต่ดูจากตอนนี้แล้ว คงถึงเวลาที่ต้องทำความรู้สึกแต่ละฝ่ายให้ลึกซึ้งมากขึ้นเสียแล้ว

ซ่งหมิ่นหัวเราะดังลั่น กล่าวขึ้นว่า “นี่มีอะไรยุ่งยากหรือ ประตูบ้านของตระกูลซ่งของพวกข้าย่อมเปิดต้อนรับเจ้าตลอดไป สิ่งที่ข้ากังวลอย่างเดียวในเวลานี้ก็คือหลังจากได้พบจิ่งหรานแล้วเจ้าจะผิดหวังเสียมากกว่า ข้านั้นไม่เก่งเรื่องการจัดการเงินทอง จิ่งหรานจึงไม่มีทางเลือก ตั้งแต่เด็กก็รู้จักการเจรจาต่อรองเงินทุกเหรียญแล้ว โชคดีที่ต่อมาได้เข้าไปอยู่กรมคลัง ก็ถือว่าได้นำสิ่งที่ร่ำเรียนมาไปใช้ ถึงได้ไม่ทำให้เขาลืมเลือนมันไป”

เฉิงฉือลอบไว้อาลัยเงียบๆ ให้กับซ่งจิ่งหรานที่ยังไม่เคยได้พบหน้าผู้นั้นอยู่หลายลมหายใจ

คนที่คำนวณเลขคณิตเป็นภายใต้โลกใบนี้มีไม่น้อย แต่คนที่เก่งเลขคณิตแล้วเข้าไปในราชสำนักได้นั้น ตั้งแต่อดีตกาลเป็นต้นมากลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!

เห็นได้ชัดว่าซ่งหมิ่นไม่ค่อยได้ให้ความสนใจกับบุตรชายมากนัก กล่าวขึ้นว่า “พวกเราคำนวณมาทั้งทางแล้ว วันนี้พักผ่อนกันดีกว่า! เมื่อสองปีก่อนข้าเคยพักอยู่ฉางโจวช่วงหนึ่ง ทางทิศใต้ของท่าเรือมีร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งชื่อว่าร้านหวังจี้ ทำมัดตับต้มของลี่หยางได้รสชาติดีเหมือนเจ้าถิ่นยิ่งนัก ในหีบของข้ายังมีสุราเหล่าเจี้ยวของหลูโจวอยู่อีกหนึ่งขวด เป็นสุราที่ข้าเก็บสะสมมานานหลายปีแล้ว ตอนที่หลานชายคนโตของข้าลืมตาดูโลกข้ายังเสียดายไม่กล้าเอาออกมาดื่ม ครั้งนี้ต้องไปอยู่ที่จิงเฉิงเป็นระยะเวลานาน ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะได้กลับไปที่บ้านเก่าอย่างฉางซาอีกหรือไม่ ข้าจึงนำสุราขวดนี้มาด้วย วันนี้พวกเราดื่มมันเสียก็แล้วกัน!”

“นี่ถึงฉางโจวแล้วอย่างนั้นหรือ” เฉิงฉือประหลาดใจ

“ใช่แล้ว!” ซ่งหมิ่นกล่าวยิ้มๆ “รู้สึกเหมือนหลงวันหลงปีอยู่บ้างเล็กน้อยใช่หรือไม่ บางครั้งเวลาคำนวณกระแสน้ำเหล่านี้ข้าเองก็มักจะดำดิ่งเข้าไปในอยู่ท่ามกลางพวกมันจนถอนตัวไม่ขึ้นอยู่บ้างเช่นกัน!”

มุมปากของเฉิงฉือกระตุก

เขารับปากโจวเสาจิ่นเอาไว้ว่าตอนเดินทางกลับจะให้นางได้เดินเล่นไปทั่วทุกที่

ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเรือลำน้อยได้ลอยลำผ่านภูเขานับหมื่นลูก เพียงพริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงฉางโจวเสียแล้ว

หลังจากที่ส่งซ่งหมิ่นกลับไปเปลี่ยนอาภรณ์และล้างหน้าล้างตาแล้ว เขาเอ่ยถามฉินจื่อผิงเสียงเบาว่า “ช่วงนี้ฮูหยินผู้เฒ่ากับคุณหนูรองทำอะไรกันบ้าง”

ฉินจื่อผิงกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าอยู่คุยกับฮูหยินซ่งโดยตลอด ส่วนคุณหนูรองหากไม่นั่งทำงานเย็บปักอยู่ข้างๆ ก็จะช่วยเลี้ยงคุณชายซ่งขอรับ”

“เลี้ยงคุณชายซ่ง?” เฉิงฉือย่นคิ้ว พลางถามขึ้นว่า “หมายความว่าอย่างไร”

ฉินจื่อผิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หากไม่สอนคุณชายซ่งเขียนอักษร ก็จะเล่าที่มาของ ‘คัมภีร์สามอักษร[1]’ และ ‘บทกวีพันสำนัก[2]’ ให้คุณชายซ่งฟัง หรือไม่ก็จะเล่นหมากล้อมสามตัวเป็นเพื่อนคุณชายซ่งขอรับ”

เฉิงฉือยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ กล่าวขึ้นว่า “ฝีมือระดับนาง ก็ได้แค่เอาไว้หลอกล่อเด็กให้เล่นหมากล้อมสามตัวเท่านั้น!”

ฉินจื่อผิงขานตอบว่า “ขอรับ” ยิ้มๆ พลางยืนรอคำสั่งต่อไปของเฉิงฉือ

เฉิงฉือกลับเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องสองรอบ ถึงได้หยุดฝีเท้าลง กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าลังเลว่า “นอกจากอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่ากัว ฟังฮูหยินซ่งพูดคุย และเลี้ยงคุณชายซ่งแล้ว คุณหนูรองไม่กล่าวถึงอะไรอย่างอื่นเลยหรือ”

ฉินจื่อผิงประหลาดใจเล็กน้อย

น้อยมากที่นายท่านสี่จะถามถึงใครสักคนอย่างละเอียดเช่นนี้ คนที่ถูกเขาถามถึงอย่างละเอียดเช่นนี้ได้ ล้วนเป็นคนหรือเรื่องที่นายท่านสี่เห็นว่าสมน้ำสมเนื้อหรือไม่ก็สำคัญต่อการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ไม่ว่าจะมองอย่างไรคุณหนูรองก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่า ‘สำคัญ’ หรือ ‘เด็ดขาด’ แต่อย่างใด

แต่เขากลับกระจ่างแจ้งอยู่แก่ใจ

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ยิ่งกล่าวได้ชัดเจนขึ้นว่าคุณหนูรองผู้นี้ไม่ธรรมดา

เขารีบกล่าว “ในส่วนของข้าไม่ได้สังเกตเห็นอะไร ให้ข้าไปเรียกป้าซางมาดีหรือไม่ขอรับ”

เฉิงฉือลังเลครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าไปเรียกป้าซางเข้ามาก็แล้วกัน!”

ไม่ง่ายเลยกว่าฉินจื่อผิงจะข่มกระแสความหวาดหวั่นที่บังเกิดขึ้นในใจเอาไว้ได้ และเดินออกไปด้วยใบหน้านิ่งสงบ

เฉิงฉือเอามือไพล่หลัง เดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องอีกสองรอบ

เขาไม่เคยผิดคำสัญญาต่อผู้ใดมาก่อน โดยเฉพาะเหตุการณ์อย่างเช่นในตอนนี้ เขาถึงกับผิดคำสัญญาต่อเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นผู้หนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเด็กสาวผู้นี้ยังเคยให้ความช่วยเหลือเขามาก่อนอีกด้วย

ในหัวของเฉิงฉือปรากฎภาพสายตาของโจวเสาจิ่นที่มองเขาขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น

นัยน์ตาของเด็กสาวเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น!

นอกจากนี้ยังเป็นความเชื่อมั่นที่ไร้ซึ่งความสงสัยใดๆ อีกด้วย!

เชื่อมั่นว่าตนจะไม่ทำร้ายนาง เชื่อมั่นว่าตนจะไม่ผิดคำสัญญาต่อนาง เชื่อมั่นว่าตนจะไม่หลอกลวงนาง…ประหนึ่งว่าไม่เคยสงสัยในตัวเขามาก่อน เชื่อมั่นในตัวเขามากกว่าที่เขาเชื่อมั่นในตัวเองเสียอีก!

แต่ตนกลับไปทำลายความเชื่อมั่นนี้ของนาง

ไม่รู้ว่าเด็กผู้นั้นจะร้องไห้ขี้มูกโป่งหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ด้วยอุปนิสัยของนางแล้วต่อให้อยากร้องไห้ขี้มูกโป่งก็ไม่มีทางร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่นเป็นแน่ ต้องแอบไปร้องไห้เสียน้ำตาอย่างเจ็บปวดเพียงผู้เดียวยามอยู่ลับตาผู้คนอย่างแน่นอน

ไม่ง่ายเลยกว่านางจะได้ออกมาสักครั้งหนึ่ง ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อใดจะได้ออกมาอีก ยามเรือจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของแต่ละเมืองก็ได้แต่มองตาปริบๆ แต่ไม่อาจลงจากเรือไปดูได้ ไม่รู้ว่าจะรู้สึกเสียใจและผิดหวังขนาดไหน

เฉิงฉือนวดขมับ

เด็กผู้นั้นดูถ่อมตัวว่าง่ายเสมือนต้นหลิวก็จริง แต่ยามดื้อดึงขึ้นมาก็มีอารมณ์โกรธอยู่บ้างเหมือนกัน

ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงทำให้นางคลายความโกรธลงได้

ซื้อเครื่องประดับศีรษะอัญมณีร้อยชนิดให้สักชุดดี?

ดูจากการกินอยู่และการแต่งกายของเด็กผู้นี้ก็รู้ได้ว่าโจวเจิ้นเอาใจใส่บุตรสาวทั้งสองคนนี้ยิ่งนัก นางคงไม่สนใจสิ่งของเหล่านี้หรอกกระมัง!

หรือกล่าวขอโทษสักครั้ง?

แต่เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

คงไม่อาจให้เขาที่เป็นผู้อาวุโสไปกล่าวขอโทษคนรุ่นเด็กเช่นนางกระมัง เช่นนั้นต่อไปเขาจะมีความน่าเชื่อถืออะไรต่อหน้านางได้อีก!

หรือค่อยชดเชยให้นางในวันข้างหน้า หาวิธีพานางออกมาอีกสักครั้งหนึ่ง?

เฉิงฉือรู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว

สูญเสียอะไรไปก็ชดเชยด้วยสิ่งนั้น คนทั่วไปย่อมต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน

เขาตัดสินใจตามนี้

นั่งรอป้าซางอยู่หลังโต๊ะหนังสือ

ป้าซางมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก

หลังจากที่เฉิงฉืออธิบายต้นสายปลายเหตุเรียบร้อยแล้ว ป้าซางประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองในช่วงนี้ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากยามปกติเลยเจ้าค่ะ บ่าวข้างกายของนางตัดพ้อต่อว่าฮูหยินซ่งอยู่บ้างเล็กน้อย คุณหนูรองยังตำหนิพวกนางไปชุดใหญ่เลยเจ้าค่ะ!”

นางเล่าเรื่องที่โจวเสาจิ่นอบรมชุนหว่านให้เฉิงฉือฟัง

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก กล่าวขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าคุณหนูรองเป็นคนกล่าวถ้อยคำเหล่านี้” แต่ไม่รอให้ป้าซางตอบ ในใจเขาก็เชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน

เขารู้จักเด็กผู้นี้ดีว่าเป็นคนเช่นไร มักจะจดจำแต่ส่วนดีของผู้อื่น ไม่จำส่วนไม่ดีของผู้อื่น

ป้าซางกล่าว “อย่างไรก็ตามหากเป็นในที่ลับตาคนบ่าวก็ไม่เห็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ!”

เฉิงฉือหันไปโบกมือให้นาง รู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย

หากเด็กผู้นี้พ้นวัยปักปิ่น เป็นหญิงสาวผู้หนึ่งแล้ว เขายังพอจะหาข้ออ้างยกโทษให้ตัวเองได้ แต่ตอนนี้…ไม่ใช่ว่าเขาหลอกลวงเด็กน้อยอยู่หรือ

เฉิงฉือคิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดตัดสินใจว่าจะไปหาโจวเสาจิ่น

โจวเสาจิ่นกำลังนั่งอยู่ในห้องพักโดยสารของฮูหยินผู้เฒ่ากัวฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวชนชั้นสูงของเจียงหนาน “น้องสะใภ้ของผู้นำตระกูลหลี่คือคุณหนูสามของตระกูลอู๋ บิดาของคุณหนูสามตระกูลอู๋เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อของข้า ต่อมาบุตรชายคนรองของอู๋ซื่อแต่งงานกับกูไหน่ไนที่หกของตระกูลกู้ แต่หลังจากที่กูไหน่ไนที่หกของตระกูลกู้แต่งงานแล้วก็ไม่มีบุตรชาย ตอนจะรับบุตรบุญธรรมนั้น จึงไปรับหลานชายคนเล็กสุดของฮูหยินใหญ่ตระกูลหลี่มาเป็นบุตรบุญธรรม จากนั้นก็สู่ขอหญิงสาวของตระกูลกู้มาอีก ด้วยเหตุนี้ข้าไม่เพียงสนิทสนมกับฮูหยินใหญ่ของตระกูลอู๋ แม้แต่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลหลี่ข้าก็สนิทสนมด้วยไม่น้อย…”

ฮูหยินซ่งสับสนและมึนงงไปกับความเกี่ยวพันกันของตระกูลหลี่ ตระกูลอู๋ และตระกูลกู้ รีบกล่าวขึ้นว่า “ท่านรอสักครู่ ท่านให้เวลาข้าคิดครู่หนึ่งเถิดเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวหลุดยิ้มอย่างอดไม่ได้

ฮูหยินซ่งกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าแดงเรื่อว่า “ข้า…มีพื้นเพมาจากคนธรรมดาตามตลาดในเมือง หลังจากมาถึงจิงเฉิงแล้วก็ไปมาหาสู่กับครอบครัวขุนนางไม่กี่ครอบครัวที่หูก่วงเท่านั้น แต่ที่จิงเฉิงส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนางจากเจียงหนาน เรื่องที่ท่านกล่าวมาข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ข้าก็ว่า เหตุใดพวกเขาทุกคนถึงเป็นญาติกันหมด เนื่องจากท่านปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจดีมีเมตตา ด้วยเหตุนี้ข้าถึงได้กล้าถามท่านเจ้าค่ะ…”

โจวเสาจิ่นเองก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากกลั้นยิ้ม

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ในคืนเดียว อย่าว่าแต่นายท่านของพวกเจ้าที่เป็นขุนนางอยู่ในหูก่วงเลย แม้แต่ขุนนางของที่เจียงหนานเอง คนที่ทราบเรื่องเหล่านี้ก็มีไม่มากนัก เช่นเดียวกับหลานสาวทั้งสามคนของข้า หากไม่ใช่เพราะว่าเติบโตมาจากการดูแลของข้าตั้งแต่เล็กๆ อยู่ๆ มาเล่าให้พวกนางฟังเช่นนี้ พวกนางก็จำไม่ได้เช่นเดียวกัน”

ฮูหยินซ่งรู้สึกว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวเช่นนี้ก็เพื่อช่วยกู้หน้าให้นางพ้นจากความอับอาย กล่าวคือคนที่มาจากครอบครัวธรรมดาทั่วไปกับคนที่มาจากครอบครัวขุนนางเหล่านี้ย่อมไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เด็กพวกเขาก็รู้แล้วว่าผู้ใดมีความสัมพันธ์กับผู้ใดบ้าง ยามต้องการทำอะไรก็มักจะเข้าหาคนที่อยู่ในแวดวงเดียวกันกับพวกเขา

นายท่านของพวกนางเสียเปรียบก็ตรงที่ไม่มีใครหนุนหลัง ที่ผ่านมาล้วนเป็นการต่อสู้มาโดยลำพัง ไม่อย่างนั้นตำแหน่งหัวหน้าตำแหน่งนั้นจะตกไปเป็นของหยวนเหวยชางได้อย่างไร

เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ตกใจไปครั้งหนึ่ง

ดูเหมือนว่าหยวนเหวยชางจะเป็นพี่ชายภรรยาของเฉิงจิง…แล้วนางก็มาขอคำแนะนำจากมารดาของเฉิงจิง…

ฮูหยินซ่งพลันรู้สึกทำตัวไม่ถูกเป็นอย่างยิ่ง

แต่สีหน้าท่าทางของนางจะพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่ากัวได้อย่างไร

ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกข้านี้ เพียงเดินเลี้ยวไปหนึ่งหัวมุม ไม่ว่าอย่างไรก็เจอญาติสักสองสามหลังแล้ว แต่ก็อย่างที่มีคำกล่าวกันมาว่า ญาติที่อยู่ห่างไกลไม่ใกล้ชิดกันเท่ากับเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ไอ้เรื่องความสนิทหรือไม่สนิทนั้น ยังต้องดูว่าไปมาหาสู่กันบ่อยหรือไม่ อุปนิสัยมีความเห็นพ้องต้องกันหรือไม่อีกด้วย!”

“จริงอย่างที่ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวมาเจ้าค่ะ” ฮูหยินซ่งได้ยินแล้วก็ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากัวไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของนางไร้เดียงสาจนน่าขัน

นางมองฮูหยินผู้เฒ่ากัว รู้สึกว่าหาผู้ใดที่มีโลกทัศน์กว้างและอุดมไปด้วยประสบการณ์ที่เหลือล้นอย่างฮูหยินผู้เฒ่าตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้อีกแล้ว

“หากข้าได้รู้จักท่านเร็วกว่านี้ก็คงดียิ่งนักเจ้าค่ะ!” ฮูหยินซ่งกล่าวอย่างทอดถอนใจ

มีสาวใช้เด็กเข้ามารายงานว่า “นายท่านสี่มาเจ้าค่ะ”

……………………………………………………………………

[1] คัมภีร์สามอักษร 《三字经》เป็นตำราที่กล่าวถึงวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ และปรัชญาของจีน

[2] บทกวีพันสำนัก 《千家诗》คือตำราที่รวบรวมบทกวีที่มีชื่อเสียงกว่าพันบทกวีเข้าไว้ด้วยกัน