บทที่ 411 คิดมาก + บทที่ 412 ถูกมองข้าม

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 411 คิดมาก

เซียวชวี่เฟิงเอ่ยถ้อยคำไม่กี่ประโยคทำให้ทุกอย่างสงบลง จากนั้นจึงขอให้คนอื่นดำเนินการต่อ เขาคัดเลือกหญิงสาวที่กำลังทำการแสดงอยู่สองสามคนเข้ามาเป็นพระสนมของเขา หนึ่งในหญิงสาวกลุ่มนั้นคือเว่ยเค่อซิน นางมิได้ถูกเลือกให้เป็นฮองเฮา และเป็นเพียงพระสนมธรรมดาเท่านั้น ทำให้ตอนนี้ตำแหน่งของนางคือพระสนมเว่ย

แม้ว่าผลที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นไปตามที่เว่ยเค่อซินคาดหวัง แต่นางก็เข้าใกล้เป้าหมายของตนเองมากขึ้นอีกขั้น

ในตอนแรก ฮูหยินเว่ยวางแผนว่าเมื่อพวกนางกลับมา จะอบรมลูกสาวคนโต แต่ใครจะรู้ว่าสถานะของผู้เป็นลูกสาวจะเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้นางคือพระสนมของฮ่องเต้ แม้ว่านางจะเป็นลูกสาว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถกดขี่ข่มเหงนางได้ง่ายๆ อีกต่อไป

“ขอบพระทัยเพคะ ฝ่าบาท”

หลังจากระลึกในพระคุณของฮ่องเต้ งานเลี้ยงในวังหลวงก็ใกล้จะสิ้นสุดลง เฉียวเทียนช่างลุกขึ้นก่อนจะออกจากงานเลี้ยงที่แสนน่าเบื่อแห่งนี้ เขาคิดว่ากลับบ้านไปอยู่กับภรรยายังจะดีกว่า

หลังชายหนุ่มจากไป เซียวฉีเทียนก็กลับด้วยเช่นกัน เมื่อหลิงอ๋องเห็นว่าทั้งสองคนจากไป แววตาคู่นั้นก็เป็นประกาย แต่ทว่าเขายังคงนิ่งเงียบและมิได้ทำการใดๆ

เซียวฉีเทียนไล่ตามหลังเฉียวเทียนช่างไปที่ประตูของวังหลวง “เจ้าคิดว่าหลิงอ๋องวางแผนอะไรไว้หรือ”

วันนี้หลิงอ๋องและคนอื่นๆ มิได้ลงมือกระทำการใดๆ ทำให้พวกเขาฉงนใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

“ทางฝั่งของเมืองหลิงต้องเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นแน่” เฉียวเทียนช่างพูดราวกับมีความคิดบางอย่าง เพราะมิเช่นนั้น เขาก็ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมหลิงอ๋องถึงยอมเสียโอกาสดีๆ เช่นนี้ไป

พวกเขาเตรียมการไว้มากมายเพื่อให้หลิงอ๋องดำเนินการได้อย่างสะดวก น่าเสียดายที่ทุกอย่างกลับไม่เป็นผล

เซียวฉีเทียนผงกศีรษะ “อาจจะเป็นเช่นนั้น แล้วเจ้าคิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ข้าไม่แน่ใจ ท่านพ่อตามิได้เอ่ยถึงเรื่องนี้”

“หืม”

“มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นทางฝั่งนั้น คนของท่านพ่อตาคงจะลงมือทำบางอย่าง” ชายหนุ่มมองตรงไปด้านหน้าอย่างไม่ลังเล

เซียวฉีเทียนดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ความคิดขณะมองดูอีกฝ่าย เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้าย ก็เก็บคำพูดเหล่านั้นไว้ในใจ

“เทียนช่าง เจ้าไม่รู้สึกกังวลเลยหรือ”

“กังวลเรื่องอะไรเล่า” เฉียวเทียนช่างไม่เข้าใจคำถามของเขา

เซียวฉีเทียนถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะบอกความกังวลของตนเองให้อีกฝ่ายรับฟัง

เมื่อชายหนุ่มได้ยินคำตอบ ก็ตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

“อย่ากังวลเลย ท่านพ่อตาไม่คิดร้ายกับเมืองเซียวหรอก เจ้าก็รู้ว่าเหยาเหยาและข้าอยู่ที่นี่ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือเหยาเหยาชอบเมืองเซียวมาก” หนิงเมิ่งเหยาและลูกของนางถือเป็นจุดอ่อนของหนานกงเยี่ยน ก่อนจะทำการใดๆ เขาจะต้องพิจารณาถึงหญิงสาวก่อนเป็นอันดับแรก

หนานกงเยี่ยนไม่มีความคิดเช่นนั้นแน่นอน หรือต่อให้คิด เขาก็คงไม่ทำอย่างโจ่งแจ้ง แล้วเขาจะกังวลในเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร

เซียวฉีเทียนมองเฉียวเทียนช่าง และยังคงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็นิ่งเงียบไป ราวกับว่าเขาเป็นคนคิดมากเกินไป

หากหนานกงเยี่ยนมีความคิดเช่นนั้นจริงๆ เขาคงไม่รอมาจนป่านนี้

“ข้าคงคิดมากเกินไป” เซียวฉีเทียนยิ้มเยาะตนเอง

ชายหนุ่มอีกคนส่ายศีรษะ “ข้าเข้าใจ” ที่นี่คือบ้านของพวกเขา หากเขาจะรู้สึกกังวล ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องของความขัดแย้งภายใน และการรุกรานจากภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องอีกด้วย

เมื่อเฉียวเทียนช่างกลับมาถึงจวนแม่ทัพ หนิงเมิ่งเหยาและคนอื่นๆ ก็กำลังทานอาหารกันอยู่ หญิงสาวประหลาดใจที่เห็นสามีกลับมาเร็ว “เทียนช่าง ทำไมเจ้าถึงกลับมาเร็วนัก”

“ข้ากลับมาเพราะที่นั่นไม่มีอะไรน่าสนใจน่ะสิ” ดูเหมือนว่าหลิงอ๋องและคนอื่นๆ จะยังไม่ลงมือชั่วคราว เขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อดูการแสดงของคนพวกนั้น

“เข้ามาทานอาหารด้วยกันสิ พวกเราเพิ่งจะเริ่มทานพอดี”

“ตกลง”

เฉียวเทียนช่างเดินเข้าไป ก่อนจะนั่งลงข้างหนิงเมิ่งเหยา และพวกเขาก็เริ่มทานอาหารพร้อมกับพูดคุยกัน

จนกระทั่งตอนดึก ก่อนที่ทุกคนจะจากไป หญิงสาวยังไม่รู้สึกง่วงนอน หนำซ้ำดวงตาของนางยังเบิกกว้างอย่างสดใสอีกด้วย

“ไม่ง่วงหรือ”

“ไม่เลย ข้าหลับมานานแล้ว จึงไม่รู้สึกง่วงนัก เทียนช่าง เจ้าบอกว่าจวนตระกูลหลิงจะลงมือมิใช่หรือ แล้วทำไมตอนนี้…” หนิงเมิ่งเหยาอยากจะถามชายหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องนี้

เขาคว้ามือของหญิงสาวเข้ามากอด ก่อนจะลูบหน้าท้องของนางด้วยมือข้างหนึ่ง

“คงมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่เมืองหลิงทำให้พวกเขายังไม่ลงมือ หรือไม่ พวกเขาก็คงเจอปัญหาบางอย่างเข้ากระมัง” เฉียวเทียนช่างเอ่ยขึ้นขณะตกอยู่ในภวังค์ความคิด

หนิงเมิ่งเหยารับฟังอย่างเข้าใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง”

หลังจากนั้น หญิงสาวก็กอดเขาก่อนจะพูดคุยกันต่อเป็นเวลานาน จนในที่สุด นางก็ยอมหลับตาลงอย่างเชื่อฟังภายใต้การดูแลของสามี

บทที่ 412 ถูกมองข้าม

เฉียวเทียนช่างยิ้ม ขณะมองหนิงเมิ่งเหยาที่กำลังหลับใหล

วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ชายหนุ่มนอนไม่หลับ เขาจึงลุกขึ้นมาฝึกวิชาต่อสู้ป้องกันตัว ก่อนจะออกมาหาท่านยายฉินเพื่อพูดคุยเรื่องของวันนี้

ก่อนหน้านี้ เขานัดแนะให้คนมาส่งของขวัญวันปีใหม่แล้ว เรื่องนี้จึงไม่ต้องเป็นห่วง นอกจากนี้ท่านยายฉินยังตระเตรียมสิ่งของจำเป็นทุกอย่างเอาไว้แล้วด้วย เพราะนี่มิใช่วันปีใหม่ครั้งแรกที่นางเป็นคนจัดการดูแล

เฉียวเทียนช่างรู้สึกสบายใจ เมื่อเห็นว่าท่านยายฉินตระเตรียมข้าวของทุกอย่างไว้เรียบร้อย นอกจากนี้ชายหนุ่มยังให้เหลยอันและคนอื่นๆ ประพันธ์บทกลอนอีกด้วย

จากนั้นเขาจึงเข้าครัวเพื่อทำอาหารให้กับหนิงเมิ่งเหยาเป็นการส่วนตัว

หญิงสาวตื่นนอนในช่วงสายของวัน ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างสะลึมสะลืออยู่ครู่ใหญ่ และนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังคงเป็นวันส่งท้ายปีเก่าอยู่

หนิงเมิ่งเหยาตีศีรษะของตนในขณะที่รู้สึกร้อนใจ นางลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน

หญิงสาวสวมใส่เสื้อผ้าและเดินออกมาจากห้อง ก่อนจะสังเกตเห็นว่าทุกคนกำลังยุ่งวุ่นวาย แม้แต่หนานกงเยี่ยนก็ถูกบรรยากาศรอบข้างบังคับให้ต้องยื่นมือช่วยเหลือในส่วนที่เขาพอจะช่วยได้

หนิงเมิ่งเหยารู้สึกละอายใจต่อสถานการณ์เช่นนี้

“เหยาเอ๋อร์ เจ้าตื่นแล้ว รีบมากินอะไรก่อนเถิด” หนานกงเยี่ยนเห็นหญิงสาวและกล่าวทักทายด้วยท่าทีจริงจัง

หนิงเมิ่งเหยาฟังคำของผู้เป็นพ่อ จากนั้นจึงไปนั่งทานอาหาร พร้อมกับผงกศีรษะและตอบคำถามเป็นครั้งคราว

เฉียวเทียนช่างทำความสะอาดห้องครัวเสร็จ ก็เห็นว่าภรรยาสวมใส่เสื้อผ้าหนาเตอะและกำลังพูดคุยอยู่กับหนานกงเยี่ยน

ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปสัมผัสใบหน้าของนาง “เจ้ารู้สึกหนาวเหมือนจะเป็นไข้หรือ”

“ข้าไม่ได้หนาว มันอุ่นมากๆ เลย” หนิงเมิ่งเหยาลูบแขนเขา ใบหน้าของนางอุ่นดี และไม่มีท่าทีว่าจะไม่สบาย

เฉียวเทียนช่างผงกศีรษะ “ดีแล้ว”

หลังจากพูดคุยกับหญิงสาวสั้นๆ ชายหนุ่มก็เดินกลับเข้าครัวไปอีกครั้ง หนิงเมิ่งเหยาเห็นดังนั้น จึงรู้สึกว่าตนเองเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก

แม้ว่าหนานกงเยี่ยนจะเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าลูกเขยคนนี้รักลูกสาวของเขาอย่างสุดหัวใจจริงๆ

“ข้าสบายใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นพวกเจ้าสองคนเป็นเช่นนี้”

“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะไปดูในครัวหน่อย” สายตาของผู้เป็นพ่อทำให้หนิงเมิ่งเหยารู้สึกเขินอายเล็กน้อย จึงลุกขึ้นเดินไปที่ห้องครัว

หนานกงเยี่ยนส่ายหัวอย่างขบขัน

เมื่อหญิงสาวเข้ามาในครัว ก็พบว่าเฉียวเทียนช่างกำลังเตรียมขนมด้วยท่าทีขึงขัง ขนมทุกอย่างเป็นของโปรดของนาง ส่วนท่านยายฉินที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วยเตรียมวัตถุดิบให้

เมื่อท่านยายฉินเห็นว่าหญิงสาวเดินเข้ามา จึงรีบโบกมือไล่ทันที “คุณหนู ตรงนี้คนแน่นมากเจ้าค่ะ ท่านมาทำอะไรที่นี่เจ้าคะ”

หนิงเมิ่งเหยาลูบจมูกก่อนยิ้มอย่างเคอะเขิน “ข้าแวะมาดู เผื่อว่าจะมีอะไรให้ข้าช่วยได้บ้าง”

ท่านยายฉินมองนาง “ที่นี่มีนายน้อยและข้าอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องช่วยหรอก รีบออกไปได้แล้วเจ้าค่ะ” ท่านยายฉินโบกมือไล่นางออกไป

หนิงเมิ่งเหยามองอีกฝ่ายอย่างขุ่นเคือง “ท่านยาย ตอนนี้ข้ายังดูไม่เหมือนคนตั้งครรภ์เลย แล้วทำไมข้าจึงอยู่ที่นี่ไม่ได้เล่า” ไม่ว่าจะเป็นในยุคสมัยนั้น หรือแม้แต่ในอดีต หญิงตั้งครรภ์ก็ยังต้องไปทำงาน และจะได้หยุดพัก ก็ต่อเมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งหรือสองเดือนก่อนจะคลอดเท่านั้น แล้วทำไมทุกคนจึงปฏิบัติกับนางราวกับเป็นตุ๊กตาแก้วที่บอบบางเช่นนี้เล่า

“ไม่ได้เจ้าค่ะ” ท่านยายฉินแสดงท่าทีเข้มงวด

หนิงเมิ่งเหยาหันหน้ามองเฉียวเทียนช่าง “เทียนช่าง…”

ชายหนุ่มมิอาจต้านทานความน่าสงสารของอีกฝ่ายได้ จึงพูดขึ้น

“ท่านยาย ไม่เป็นไรหรอก ให้เหยาเหยามองดูจากตรงนี้ก็พอ ไม่ให้นางทำอาหารแน่นอน”

ท่านยายฉินมองชายหนุ่ม ก่อนจะก้มหน้ามองหนิงเมิ่งเหยาที่กำลังทำหน้าใสซื่อ และแล้วนางจึงพยักหน้าอย่างไม่มีทางเลือก “ก็ได้เจ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นคุณหนูนั่งดูเฉยๆ นะเจ้าคะ ห้ามทำอาหารเด็ดขาดเจ้าค่ะ”

“ได้เลย”

แม้ว่าหญิงสาวจะตอบเช่นนั้น แต่นางก็ยังอยากจะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้ เช่น หยิบผัก หั่นผัก และอื่นๆ ท่านยายฉินอยากจะตำหนิคุณหนู แต่ก็โดนนางพูดขัดว่าการหั่นและหยิบผักนั้นไม่ใช่งานหนัก

หลังจากที่ท่านยายฉินเห็นว่าอีกฝ่ายยืนกราน จึงไม่เซ้าซี้อะไรต่อ ก่อนจะหันมองหญิงสาวบ้างเป็นครั้งคราว จากนั้นนางก็รู้สึกโล่งใจ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี

หนิงเมิ่งเหยากังวลว่าท่านยายฉินจะไม่ชอบใจ แต่เมื่อเห็นว่าตอนนี้อีกฝ่ายยอมรับได้แล้ว นางก็มีความสุขอย่างมาก

เฉียวเทียนช่างมองใบหน้าที่มีความสุข ก่อนจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนาง แต่ก็มิได้ตำหนิอะไร