ตอนที่ 230 ผดุงธรรมแทนสวรรค์

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

“ท่านประมุข ครานี้เป็นเหยื่อชั้นดี มีกายแห่งมรรคขั้นสิบคนหนึ่ง…”

ชายชุดดำปากแหลมแก้มตอบคนหนึ่งพูดกับชายชุดขาวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง

ชายชุดขาวคือประมุขเฉินเทียนหยางแห่งอารามอัมพรนั่นเอง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม แต่มุมปากกลับยกยิ้มเล็กน้อย “ชาวเมืองอพยพของเมืองหงเย่กับนักพรตที่มาขอพึ่งพิงถูกดูดพลังเกือบจะทั้งหมดแล้ว ไม่คิดเลยว่าบัดนี้จะมีหมูอ้วนพีตัวหนึ่งอยู่ น่าแปลกใจจริงๆ”

ไม่นานอันหลิน หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ก็ปรากฏตัวกลางโถงใหญ่

“อันหลิน”

“หลิวหู่”

“หลิวซู่ซู่”

“ขอคารวะท่านประมุข”

ทั้งสามเริ่มคำนับอย่างนอบน้อมเมื่อเห็นเฉินเทียนหยาง

ผู้อาวุโสทั้งหลายในห้องโถงรวมถึงเฉินเทียนหยางต่างก็ประเมินทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน

เฉินเทียนหยางไม่พูดอะไร ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย กวาดสายตามองอันหลินกับหลิวหู่ สุดท้ายก็เคลื่อนมาที่ตัวของหลิวซู่ซู่

หลิวซู่ซู่ถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัด แต่บัดนี้นางกำลังเผชิญหน้ากับบุคคลผู้สูงศักดิ์ จึงไม่กล้าปริปากเลยสักนิด ทำได้เพียงก้มหน้าลง

“หึๆ ไม่คิดเลยว่าไม่ใช่แค่หมูอ้วนพีเท่านั้น แต่ยังมีดอกไม้งามมาด้วย…”

เฉินเทียนหยางหรี่ตา รอยยิ้มบนใบหน้าเด่นชัดยิ่งขึ้น เอื้อนเอ่ยขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่พอได้ฟังคำพูดของเฉินเทียนหยาง ก็รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน มองบุรุษที่ทรงพลัง หน้าเปื้อนยิ้มด้วยความงุนงง

เฉินเทียนหยางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ออกคำสั่งเสียงดังลั่นว่า “หลิวซู่ซู่ส่งมาให้ข้าเพลิดเพลินก่อน หมูสองตัวที่เหลือ เอาไปเป็นอาหาร”

คราวนี้ หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่เข้าใจแล้ว พวกเขาจ้องชายตรงหน้าด้วยความตะลึง ความเย็นเยียบแผ่คลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ประมุขเฉิน…ท่านจะทำอะไรพวกเรากันแน่ ท่านระดมนักพรตให้มาร่วมกำจัดเผ่าพันธุ์มดไม่ใช่หรือ!” หลิวหู่เบิกตากว้าง เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ

เฉินเทียนหยางพยักหน้าจริงจัง พูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “ก็ใช่น่ะสิ เรียกพวกเจ้ามาให้อาหารบงกชเร้นเลือดมารน่ะสิ พวกเราจึงจะมีแรงสู้กับเผ่าพันธุ์มด หึๆ แต่หลิวซู่ซู่ หากเจ้าปรนนิบัติข้าเป็นอย่างดีละก็ อาจจะพิจารณาไม่เอาไปเป็นอาหาร เพราะหญิงที่มาขอพึ่งพิงก่อนหน้านี้ ข้าเบื่อแล้ว คนที่เรียบร้อยเช่นนี้พบเจอได้น้อย…”

หลิวซู่ซู่หน้าถอดสีทันใด กอดแขนของพ่อไว้แน่น ร่างบางสั่นเทา

จากคำพูดของเฉินเทียนหยาง นางรับรู้แล้วว่าชาวบ้านอพยพและนักพรตมากมายที่มาขออาศัยพึ่งพิง ไม่มีผู้ใดเหลือรอดแล้ว

การเผชิญหน้ากับบุคคลยิ่งใหญ่เช่นนี้ นางไม่มีแม้แต่ความกล้าจะปริปากผรุสวาทด้วยซ้ำ ในดวงตามีเพียงความหวาดกลัวและสิ้นหวัง

หลิวหู่กลับไม่อยากจะเชื่อเลยว่า อารามอัมพรที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดจะเป็นเช่นนี้

เขายืนอึ้งอยู่กับที่ นัยน์ตาเลื่อนลอย ทำอะไรไม่ถูก

ทำไมกัน เขาเพียงอยากร่วมมือกับผู้คน แก้แค้นเผ่าพันธุ์มด ไยตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาพของเหยื่อ แม้แต่ลูกสาวก็ต้องกลายเป็นของเล่นของผู้อื่น…

“พูดจบหรือยัง หากจบแล้ว ข้าจะผดุงธรรมแทนสวรรค์แล้ว”

ขณะนั้นเอง หนึ่งเสียงก็ดังขึ้นมาโดยพลัน กึกก้องทั่วห้องโถง

หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ได้สติ เคลื่อนสายตามองอันหลินทันที

พวกเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ข้างๆ ยังมีผู้อาวุโสที่มีพลังยิ่งใหญ่คนหนึ่งอยู่ นี่คงจะเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาจะรอด

“ผู้อาวุโสอันหลิน ใจเย็นๆ หน่อย ตอนนี้เราลองหาทางหนี…” เหมือนว่าหลิวหู่จะคว้าความหวังสุดท้าย กระซิบห้ามปราม

เขารู้ว่าผู้อาวุโสมีความสามารถเหนือชั้น แต่รู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของอารามอัมพร นั่นเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม เวลานี้พยายามดิ้นรนหลบหนีเท่านั้น จึงจะมีโอกาสรอดชีวิต

ภายในห้องโถง ทุกอย่างเงียบงันชอบกลเพราะคำพูดของอันหลิน

เฉินหยางเทียนกับเหล่าผู้อาวุโสมองอันหลินแปลกๆ ราวกับมองคนโง่เขลา

“ผดุงธรรมแทนสวรรค์งั้นหรือ ฮ่าๆ ๆ…ต้องขออภัย ข้าทนไม่ไหวจริงๆ” เฉินเทียนหยางกุมท้อง ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“เจ้าไม่เข้าใจเหตุการณ์จริงๆ หรือ ไม่ต้องพูดว่าเจ้าเป็นลิ่วล้อกายแห่งมรรคขั้นสิบ ต่อให้เจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ ก็เป็นเพียงหมูที่ค่อนข้างอ้วนพีในสายตาข้าก็เท่านั้น” หลังเฉินเทียนหยางหัวเราะไปพักหนึ่งแล้ว ก็ดีดนิ้วทันใด จู่ๆ ก็มีค่ายกลสีขาวผุดขึ้นมาจากพื้นห้องโถง แรงกดดันอันน่าสะพรึงถาโถมเข้ามา

หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ทรุดตัวคุกเข่าทันที ไม่มีเรี่ยวแรงจะต้านทานเลยแม้แต่นิด

แต่อันหลินยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง

“เอ๊ะ มีฝีมือนี่นา” เฉินเทียนหยางชะงักไปเล็กน้อย

“พูดมากจริงๆ”

อันหลินส่ายหน้า ชักกระบี่พิชิตมารออกมา กระแสลมสีขาวรายล้อม ดีดนิ้วมือซ้ายไปยังบริเวณหนึ่งของอากาศ

ตูม! ราวกับค่ายกลสีขาวได้รับความเสียหายรุนแรง ถล่มในบัดดล

เฉินเทียนหยางยังไม่ทันได้ตกตะลึง ปลายกระบี่ที่แฝงด้วยจิตสังหารรุนแรงก็เข้าสู่คลองจักษุ ความน่าพรั่นพรึงแห่งความตายแผ่คลุมไปทั่วร่าง

ไม่สามารถบรรยายได้ว่ามันเป็นความเร็วอย่างไร เพียงอันหลินย่ำเท้า ร่างกายก็กลายเป็นภาพลวงตา กระบี่กลายเป็นเส้นสีขาว ทะลวงหัวใจของเฉินเทียนหยางดุจสายฟ้าฟาด

กระบี่ที่แฝงพลังมหาศาลทำให้เฉินเทียนหยางร่นถอย อันหลินย่างเท้าเข้าใกล้ สุดท้ายก็ตรึงร่างของเฉินเทียนหยางกับกำแพงด้านหลัง

เฉินเทียนหยางเบิกตากว้าง เลือดไหลมาตามกระบี่พิชิตมาร กลายเป็นหยาดน้ำหยดลงสู่พื้น เลือดหลั่งออกจากมุมปากไม่หยุด อากัปกิริยาของเขาตะลึงพรึงเพริด ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ประมุขแห่งอารามอัมพรผู้เกรียงไกร ผู้แข็งแกร่งระดับหล่อเลี้ยงขั้นปลาย ถูกลิ่วล้อในสายตาของตนใช้กระบี่แทงทะลุหัวใจงั้นหรือ

“ข้า…เจ้า…เจ้า…” เสียงของเฉินเทียนหยางแหบพร่า พยายามจะเอื้อนเอื่อย กลับพบว่าตนกริ่งเกรงจนพูดไม่ออกแล้ว

“เจ้าอะไร ข้าบอกแล้วว่า ข้าจะผดุงธรรมแทนสวรรค์” อันหลินเอ่ยถ้อยคำที่แสนจะธรรมดา ดึงกระบี่พิชิตมารออกมาอย่างเหลืออด

ชั่วขณะที่เลือดพุ่งกระฉูด ลำแสงสีดำอีกเส้นก็พุ่งผ่าน

อันหลินรู้ว่าการต่อสู้ของวงการบำเพ็ญเซียนปรวนแปรในพริบตา ควรจะเด็ดขาด หลักการฆ่าคนต้องฆ่าซ้ำก็เข้าใจดี และพูดมากเกินไปไม่ได้ มิเช่นนั้นจะให้โอกาสศัตรูได้พลิกเกม

เฉินเทียนหยาง ศีรษะหล่นร่วง

ท้ายที่สุด ภาพที่น่าเหลือเชื่อถูกเสียงศีรษะตกกระทบพื้นทำลาย

ภายในห้องโถง เหล่าผู้อาวุโสที่ตกตะลึงกับฝีมือของอันหลิน ต่างก็เริ่มบันดาลโทสะขึ้นมาแล้ว

“บังอาจ! อาจหาญสังหารท่านประมุข ข้าจะถลกหนัง สับให้เป็นชิ้นๆ แน่!”

เหล่าผู้อาวุโสกระหน่ำปล่อยพลังใส่อันหลิน แต่ก็มีผู้อาวุโสอีกสองคนค่อนข้างสงบนิ่ง หลังไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้ว ต่างก็เริ่มพุ่งเป้าไปที่หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่

“ต้าไป๋ คุ้มกันสองคนนั้น!” อันหลินตะโกนลั่น

มินิป๋ายขยายใหญ่ในพริบตา กลายเป็นสุนัขขนสีขาวที่น่าเกรงขาม ตวัดอุ้งมือไปด้านข้าง

พายุม้วนตัว ลมคลั่งดังมีดดาบ พุ่งมาโจมตีผู้อาวุโสทั้งสองจนกระเด็นกระดอน!

คราวนี้หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ถึงได้สติ จ้องอันหลินรบรากับผู้อาวุโสหกคนเพียงลำพังอึ้งๆ

“ผู้อาวุโสอันหลินเก่งฉกาจปานนี้เชียวหรือ…” หลิวซู่ซู่เบิกตากว้าง ร่างของชายหนุ่มสะท้อนในดวงตาของนาง น้ำเสียงเจือความตกใจ

หลิวหู่ยืนอึ้งอยู่กับที่ไปแล้ว เฉินเทียนหยางผู้ที่ยิ่งใหญ่ปานเทพเจ้าในใจเขาถูกอันหลินแทงตายในกระบี่เดียวงั้นหรือ ไม่ได้โจมตีเลยแม้แต่กระบวนท่าเดียว ก็ถูกกระบี่แทงตายแล้วหรือ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนฝันไป

ผู้อาวุโสที่ติดตามมาตลอดทางคนนี้เป็นใครกันแน่…

อันหลินใช้หกกระบี่เทพสงคราม พลังต่อสู้ทัดเทียมกับนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายแล้ว ยามใช้กระบี่แห่งสายลมถึงขั้นสังหารนักพรตหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลายได้โดยไม่ทันตั้งตัว นี่เป็นท่าที่ผลาญพลังปราณอย่างยิ่ง ตอนนี้เขาต่อกรกับผู้อาวุโสหกคน แต่ก็ไม่อยากใช้มันอีกแล้ว

ผู้อาวุโสเหล่านี้ล้วนเป็นนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลาง แต่พลังและพวกอิทธิฤทธิ์ กลับแตกต่างจากเหล่าอัจฉริยะในสำนักความร่วมมือบำเพ็ญเซียนราวฟ้ากับเหว เขาจึงไม่มีความกดดันในการกำราบผู้อาวุโสหกคนนี้เลยสักนิด

การแจ้งเตือนของอารามอัมพรดังขึ้นแล้ว ค่ายกลคุ้มกันก็ถูกกระตุ้นแล้วเช่นกัน จากนั้นก็ถล่มอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย…

เสียงตะโกนกร้าวปานสายฟ้าคำรามดังขึ้นในฟ้าดิน ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“ผู้ที่บุกรุกอารามอัมพรของข้า ตายเสียเถอะ!”

อัสนีสีขาวฟาดเปรี้ยงลงมาจากฟ้า ทะลุหลังคา กระแทกลงตรงหน้าอันหลิน

เขาเป็นชายชราผมและหนวดขาวโพลน สายฟ้าสีขาวห้อมล้อมตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาจ้องอันหลินด้วยสายตาที่แข็งกร้าว กลิ่นอายทรงพลังแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ

ในที่สุด ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งอารามอัมพร ปรมาจารย์เฉินเยี่ยนก็โผล่มาแล้ว