เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าทหารรับจ้าง ฉินหร่านก็ถือโทรศัพท์ไว้ในมือ

 

 

เงยหน้าเหลือบมองหัวหน้าทหารรับจ้าง

 

 

เป็นสายตาที่เป็นปกติมาก หัวหน้าโจวคิดว่าไม่มีสายตาไหนปกติไปกว่าสายตาคุณหนูฉินอีกแล้ว

 

 

ดูไม่แยแสอะไร

 

 

ทว่าหัวหน้าทหารรับจ้างกลับกระโดดถอยออกไปเหมือนกระต่ายตื่นตูม

 

 

ผู้กองลั่วและคนอื่นๆ “…”

 

 

ใช้คำว่า “กระต่าย” มาบรรยายดูจะไม่เหมาะกับทหารรับจ้างเลือดเหล็กคนนี้ แต่ว่า…พวกเขาก็สรรหาคำที่เหมาะกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ

 

 

“อือ” ฉินหร่านพยักหน้า “ย่างเนื้อใช้ได้เลย”

 

 

“คุณชอบก็ดีแล้ว” หัวหน้าทหารรับจ้างถอยออกไปหนึ่งก้าว

 

 

ก่อนจะเกิดการต่อสู้เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ฉินหร่านก็พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงแบบนี้

 

 

ฉินหร่านมองไปที่ตะแกรงย่างเนื้อแล้วพบว่าของทุกอย่างเก็บสะอาดเรียบร้อยหมดแล้ว เธอดีดนิ้ว “โอเค ไปได้”

 

 

ทันทีที่พูดประโยคนี้จบ เหล่าทหารรับจ้างทั้งหมดที่นั่งกระจัดกระจายกันอยู่ก็ลุกขึ้นยืน กระโดดขึ้นไปบนรถบรรทุกขนาดกลางและขับออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เหมือนพายุทอร์นาโด

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที เหลือเพียงพวกผู้กองลั่วกับพวกหัวหน้าโจว

 

 

ราวกับลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดใบไม้ที่ร่วงหล่นพาสิ่งไม่ดีออกไป

 

 

ฉินหร่านเปิดประตูเบาะหลังแล้วขึ้นไปนั่งบนรถในขณะที่เฉิงมู่กับซือลี่หมิงกำลังจัดกระเป๋าเดินทางของฉินหร่านที่คนอื่นเห็นเป็นกระเป๋าเที่ยวเล่น

 

 

“อือ ก็เป็นอย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ” ผู้กองลั่วเอียงศีรษะพลางมองพวกหัวหน้าโจวที่ยังไม่ได้สติกลับมา “ไม่ใช่ผมและไม่ใช่เฉิงมู่ เแต่เป็นคุณหนูฉิน”

 

 

ที่ผ่านมา ผู้กองลั่วเรียก “คุณหนูฉิน” พอเป็นพิธีเท่านั้น

 

 

แต่คำว่า “คุณหนูฉิน” ในวันนี้กลับเพิ่มความเลื่อมใสที่มาจากใจ

 

 

ผู้กองลั่วคิดว่าแม้แต่เฉิงสุ่ย…ก็อาจจะสู้กับกลุ่มทหารรับจ้างเพียงลำพังด้วยความเฉียบขาดแบบนี้ไม่ได้

 

 

“อ้อ ที่แท้แล้วก็ย่างเนื้อกันจริงๆ ด้วยแฮะ…” หัวหน้าโจวก้มหน้ามองเนื้อย่างที่ถืออยู่ในมือ

 

 

อีกทั้งยังเป็นเนื้อย่างที่ย่างโดยลูกพี่ของกลุ่มทหารรับจ้างอีกด้วย

 

 

แบบนี้จะส่งไปประมูลได้ไหม?

 

 

ผู้กองลั่วเข้าใจความรู้สึกของหัวหน้าโจวดี จริงๆ เลย เขาตบไหล่หัวหน้าโจว “หัวหน้าโจว กินซะสิ ชิ้นสุดท้ายแล้ว หัวหน้าทหารรับจ้างคนนั้นฝีมือใช้ได้เลยนะ”

 

 

หัวหน้าโจวเองก็ไม่รู้จะขยับไม้ขยับมือยังไง เขายัดเนื้อเข้าปาก

 

 

กลุ่มลูกน้องเขาก็ถึงกับสมองโล่ง คิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น รู้แค่ว่าตั้งแต่พวกเขาได้กลิ่นย่างเนื้อตอนลงจากรถ พวกเขาก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางไหน

 

 

พวกเฉิงมู่เหมือนไม่ได้มาทำงาน แต่เหมือนมาเที่ยวเล่นมากกว่า

 

 

**

 

 

ในรถ ฉินหร่านถอดเสื้อแจ็คเกตขนเป็ดออก ของที่คนช่วงชิงกันยังวางอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ออกมา

 

 

พอเสียบหูฟังเสร็จ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

 

เป็นเฉิงเจวี้ยน

 

 

เสียงของเขาฟังดูนิ่งมาก “ลงมือแล้ว?”

 

 

“เปล่า” ฉินหร่านนั่งตัวตรง เธอเลิกคิ้วแล้วตอบโต้โดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่ได้หาเรื่อง”

 

 

ปลายสาย เฉิงเจวี้ยนวางเอกสารในมือลงแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง “แน่ใจเหรอ?”

 

 

ตั้งแต่เฉิงสุ่ยยกเลิกแจ้งตำรวจ เฉิงเจวี้ยนก็รู้สึกถึงความผิดปกติ

 

 

“พวกเขาหาเรื่องก่อน เตะเนื้อที่ฉันย่างคว่ำ” ฉินหร่านมองออกไปด้านนอก รถได้ออกเดินทางแล้ว

 

 

เธอยกเหตุผลมาแย้ง

 

 

เฉิงมู่กับซือลี่หมิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า “…”

 

 

นั่นก็ถูก ทหารรับจ้างพวกนั้นเข้ามาหาเรื่องก่อน…

 

 

เฉิงเจวี้ยนถามฉินหร่านไปไม่กี่คำก็แน่ใจแล้วว่าทหารรับจ้างพวกนั้นไม่ได้ใช้มีด เขาถึงจะวางใจได้

 

 

หลังจากวางสาย ก็มีคนเคาะประตูด้านนอกพอดี

 

 

เป็นเฉิงสุ่ยที่เดินเข้ามา

 

 

“เรื่องคุณหนูฉิน…” เฉิงสุ่ยเพิ่งจะได้รับข่าวมาจากผู้กองลั่วและหัวหน้าโจว เขาจึงเข้ามารายงานเฉิงเจวี้ยน

 

 

เฉิงเจวี้ยนยกมือเป็นสัญญาณบอกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว

 

 

“ของล่ะ?” เขามองเฉิงสุ่ย

 

 

เฉิงสุ่ยไม่ได้พูดต่อ แค่ยื่นแฟ้มในมือให้เฉิงเจวี้ยนไปโดยตรง “นี่คือรายชื่อที่ผมได้มาจากรุ่ยจิน เวทีมวยทำเงินได้เร็ว มีคนเข้าร่วมไม่น้อย แม้ว่านักมวยเดนตายที่มีฝีมือขั้นเทพจะมีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกวันก็ชกกันหลายยก รายชื่อสมาชิกที่ตายไปถูกตัดชื่อออกหมดแล้ว รายชื่อของรุ่ยจินทั้งหมดอยู่ในฐานข้อมูล ผมให้คนหาอยู่ตั้งนานกว่าจะหาฐานข้อมูลพบ”

 

 

ที่ชายแดนรัฐ M มีสังเวียนมวย ที่นั่นไม่ได้รับการจัดการโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีคนจำนวนมากที่ขึ้นสู้บนเวทีมวยเดนตายแห่งนั้น ดังนั้น ที่นี่จึงไม่มีปัญหาการขาดแคลนคนสิ้นหวังที่ต้องการร่ำรวยจากการขึ้นเวทีมวยเดนตาย

 

 

แม้ว่าเวทีมวยภายในรัฐ M จะมีคนคอยจัดการ แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้ดีไปกว่าเวทีมวยแถวเขตชายแดนมากนัก มวยเดนตายล้วนเป็นการลงนามข้อตกลง ใครก็เข้ามาดูแลไม่ได้

 

 

เวทีเหล่านี้ล้วนอยู่ภายใต้การจัดการของตระกูลมาส เฉิงสุ่ยยังเจรจากับตระกูลมาสอยู่ตั้งหลายครั้งเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลใต้ดินของพวกเขา

 

 

เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าดูกองเอกสารที่เฉิงสุ่ยยื่นให้ เขาลดคิ้วลงโดยไม่ได้ยื่นมือไปรับในทันที 

 

 

เฉิงสุ่ยรู้สึกว่าท่าทางเฉิงเจวี้ยนดูแปลกๆ

 

 

เขาเงยหน้าขึ้นพลางเรียกอย่างระมัดระวัง “นายท่าน?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนเงยหน้าแล้วยื่นมือไปรับกองเอกสารมา “เอามาให้ฉัน”

 

 

หลังจากรับเอกสารมาแล้ว เฉิงเจวี้ยนก็ไม่ได้อ่านในทันที แค่หันข้างแล้ววางกองเอกสารไว้บนโต๊ะด้านหลัง

 

 

“พรุ่งนี้เฉิงหั่วก็กลับมาแล้ว” เฉิงสุ่ยนึกถึงเรื่องเฉิงหั่วขึ้นมาได้ “เมื่อคืนผมให้เฉิงหั่วตรวจสอบเรื่องการโจมตีที่ลานจอดเครื่องบินแล้ว”

 

 

ตอนที่หัวหน้าโจวถูกโจมตีเครือข่าย ก็ได้แจ้งเฉิงหั่วไปแล้ว

 

 

และได้รับการแก้ไขในเวลาต่อมา พวกหัวหน้าโจวคิดว่าแก้ปัญหาได้ง่ายๆ แต่เฉิงสุ่ยกลับคิดว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น เขาจึงส่งเรื่องให้เฉิงหั่วจัดการ

 

 

“แฮ็กเกอร์โจมตี?” เมื่อได้ยินที่เฉิงสุ่ยบอก เฉิงเจวี้ยนก็หรี่ตาลง ผ่านไปครู่หนึ่งก็ดูเหมือนเขาจะยิ้ม “ไม่เป็นไร นายให้เฉิงหั่วตรวจสอบแล้วกัน”

 

 

แม้เฉิงหั่วจะเป็นสมาชิกของสมาคมแฮ็กเกอร์ แต่ฝีมือการแฮกยังเก่งไม่เท่าหัวหน้าสมาคมแฮ็กเกอร์ อย่างไรก็ตาม เฉิงเจวี้ยนเดาว่าฝีมือฉินหร่านเก่งพอๆ กับหัวหน้าสมาคมแฮ็กเกอร์

 

 

**

 

 

วันรุ่งขึ้น เวลาเก้าโมงเช้า

 

 

ในที่สุดขบวนรถของพวกหัวหน้าโจวที่ออกเดินทางก็ค่อยๆ ขับเข้ามายังเขตคฤหาสน์

 

 

หัวหน้าตู้และคนอื่นๆ กำลังรออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ในปราสาทโบราณแถวที่สองของคฤหาสน์

 

 

“คุณเฉิงสุ่ย แน่ใจเหรอว่าหัวหน้าโจวกับคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไร?” หัวหน้าตู้นั่งด้วยท่าทางขึงขัง พูดเสียงเข้ม “ผมได้ยินมาว่ากลุ่มทหารรับจ้างมีกันทั้งหมดสามสิบคน”

 

 

พวกผู้กองลั่วแยกออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ เจ็ดคนเพื่อคุ้มครองฉินหร่าน

 

 

หัวหน้าตู้เป็นห่วงความปลอดภัยของกลุ่มผู้กองลั่วมาก เพราะลูกน้องที่เขามอบให้หัวหน้าโจวไปคุ้มครองฉินหร่านล้วนแล้วแต่เป็นคนเก่งทั้งนั้น

 

 

โดยเฉพาะผู้กองลั่ว

 

 

แม้จะเก่งไม่ถึงระดับลูกพี่ของพวกเขา แต่ถึงอย่างไรน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ การมีคนเก่งเยอะย่อมเป็นเรื่องดี

 

 

ตอนนี้หัวหน้าตู้เริ่มเสียใจขึ้นมาบ้างแล้วที่ให้ผู้กองลั่วติดตามไปกับพวกหัวหน้าโจว

 

 

ขณะที่เขากำลังจะพูด ก็มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอก “ขบวนรถของหัวหน้าโจวกลับมาแล้วครับ!”

 

 

เฉิงสุ่ยเดินตามหัวหน้าตู้ออกไปข้างนอกทันที

 

 

ขบวนรถที่ขับเข้ามามีรถมากกว่าก่อนออกเดินทางสองคัน เป็นคนของฮอลล์ที่เพิ่มกำลังคนให้พวกเขา

 

 

กลุ่มแรกที่ลงจากรถคือกลุ่มหัวหน้าโจวกับผู้กองลั่ว 

 

 

นอกจากท่าทางที่ดูแปลกไป ก็ไม่พบร่องรอยการบาดเจ็บตามร่างกายเลยแม้แต่น้อย พวกเขาน่าจะไม่ได้เป็นอะไร หัวหน้าตู้จึงเบาใจไปชั่วขณะ

 

 

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว นายท่านบอกว่าของจะยังไงก็ได้ ขอแค่ทุกคนกลับมาก็ดีแล้ว” หัวหน้าตู้ตบไหล่หัวหน้าโจว

 

 

“ของมันเรื่องเล็กซะที่ไหนล่ะ” หัวหน้าหยวนแห่งหน่วยการค้าระหว่างประเทศหน้าบึ้ง นี่คือผลงานของพวกเขาในเดือนถัดไป เขาลดเสียง “บอกไปตั้งแต่แรกแล้วว่าอย่าพาผู้หญิงคนนั้นไปด้วย”

 

 

ถ้าพวกผู้กองลั่วกับพวกหัวหน้าโจวไม่ได้แยกทางกันกลับมา กลุ่มพวกเขาก็มีคนตั้งยี่สิบคน ไม่แน่ว่าอาจจะมีกำลังเพียงพอที่จะสู้กับพวกทหารรับจ้างกลุ่มนั้นได้

 

 

คนเหล่านี้ไม่พูดอะไร แต่ในเวลานี้พวกเขาต่างก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

 

 

ถ้าฉินหร่านทำตัวดีๆ อยู่ในคฤหาสน์และทำในสิ่งที่เธอควรทำ คนอื่นคงไม่ว่าอะไร

 

 

แต่เธอกลับทำตัวงี่เง่าจะออกไปเที่ยวเล่นให้ได้ หัวหน้าหยวนกับคนอื่นๆ จะทำใจยอมรับได้อย่างไร?

 

 

เมื่อได้ยินแบบนี้ ผู้กองลั่วเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หัวหน้าหยวน คุณหนูฉินแค่ไปเที่ยวเล่น”

 

 

หัวหน้าหยวนขมวดคิ้ว “ฉันรู้ แต่ไม่ใช่ว่าจะมาเที่ยวเล่นกันแบบนี้ รัฐ M มีตั้งหลายที่”

 

 

เฉิงสุ่ยไม่สนใจพวกเขา แค่เงยหน้ามองไปทางรถคันสีดำที่อยู่ตรงกลาง “คุณหนูฉินคงไม่เป็นไรนะ?”

 

 

คนเหล่านี้ต่างก็คิดว่าผู้กองลั่วและคนอื่นๆ ได้มอบของให้กลุ่มทหารรับจ้างพวกนั้นไปแล้ว ถึงได้พากันถอยไป

 

 

สู้กันแบบเจ็ดต่อสามสิบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเจ็ดคนนั้นมีเฉิงมู่กับฉินหร่านที่ฝีมือการต่อสู้ไม่เอาไหน ไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะเอาชนะพวกทหารรับจ้างได้

 

 

ขณะที่เฉิงสุ่ยกำลังพูด พวกฉินหร่านก็ลงจากรถ

 

 

ฉินหร่านยังคงเหมือนเดิม พอลงจากรถก็ดึงหมวกเสื้อแจ็คเdตขนเป็ดขึ้น ส่วนซือลี่หมิงก็เดินไปเอากระเป๋าเดินทางออกมาจากท้ายรถ

 

 

เฉิงมู่ถือกระถางดอกไม้อยู่อย่างเงียบๆ

 

 

วันนี้ดอกไม้ในกระถางดูไม่ได้เหี่ยวเฉาขนาดนั้น เขาจึงส่งข้อความไปบอกเรื่องนี้กับคนสวนและหลินซือหราน

 

 

หลังจากลงจากรถ คนของหน่วยจัดซื้อและคนของผู้กองลั่วก็ยืนเป็นสองแถว เมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางใบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก

 

 

โดยเฉพาะกลุ่มของผู้กองลั่ว พวกเขานึกถึงวีรกรรมที่พวกเฉิงมู่ย่างเนื้อกันเมื่อวาน…

 

 

“คุณหนูฉิน คุณไม่เป็นไรนะครับ” ในที่สุดใจเฉิงสุ่ยก็เบาใจลงหลังจากปล่อยวางไม่ได้มาทั้งคืน เขามองไปทางฉินหร่าน “นายท่านยังอยู่ในห้องหนังสือ”

 

 

ฉินหร่านพยักหน้าแล้วเดินเบี่ยงไปทางด้านข้าง

 

 

ทันใดนั้นผู้กองลั่วก็นึกอะไรขึ้นได้ “คุณหนูฉิน ของของพวกเราล่ะครับ?”

 

 

เขามองฉินหร่านและพูดด้วยความเคารพ

 

 

นับถือจากใจจริง

 

 

เฉิงสุ่ยกับหัวหน้าตู้ต่างก็ประหลาดใจในน้ำเสียงของเขา คนทั้งคฤหาสน์เรียกฉินหร่านว่าคุณหนูฉิน แต่ส่วนใหญ่แล้วเรียกไปตามหน้าที่ น้อยมากที่จะเคารพด้วยความจริงใจ

 

 

แต่ตอนนี้ทั้งสองไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้

 

 

เพราะพวกเขาได้ยินผู้กองลั่วพูดคำว่า “ของ” 

 

 

“ของ? พวกนายไม่ได้เอาของให้กลุ่มทหารรับจ้างพวกนั้นหรอกเหรอ?” หัวหน้าตู้ถามด้วยเสียงที่ดังมากพลางมองหน้าผู้กองลั่ว

 

 

หัวหน้าหยวนก็คิดมาตลอดว่าของถูกส่งไปแล้ว เขาถึงได้พูดจาไร้มารยาทไปแบบนั้น ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้กองลั่ว เขาก็มองไปทางพวกผู้กองลั่วด้วยความประหลาดใจ

 

 

ผู้กองลั่วพยักหน้า

 

 

อีกด้าน พอฉินหร่านรู้ตัวก็หันหลังกลับ หยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากเบาะหลังแล้วโยนให้ผู้กองลั่วส่งๆ

 

 

กล่องใบนี้เคยผ่านมือฉินหร่านกับหัวหน้าโจวเท่านั้น

 

 

คนอื่นจึงไม่รู้น้ำหนักของมัน เมื่อเห็นฉินหร่านถือได้สบายๆ ทุกคนก็เลยคิดว่ามันไม่หนัก

 

 

ผู้กองลั่วเองก็คิดแบบนี้ตามสัญชาตญาณ แต่พอมันตกอยู่ในมือของผู้กองลั่ว ผู้กองลั่วก็รู้สึกราวกับกำลังแบกกล่องหิน

 

 

เดิมทีเขาเห็นฉินหร่านถือ เขายังคิดว่าตัวเองน่าจะรับกล่องขนนก แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นกล่องหิน ? !

 

 

เขาใช้แรงที่รับกล่องขนนกไปรับกล่องหินมาแทน จึงควบคุมพละกำลังไม่ได้ โงนเงนไปทั้งตัวจนเกือบจะล้มลงไป

 

 

ผู้กองลั่ว “…”

 

 

หัวหน้าโจวที่รู้น้ำหนักของกล่องใบนี้ “…”

 

 

คนที่เห็นเหตุการณ์ “…”

 

 

ฉินหร่านโยนกล่องให้ผู้กองลั่วก่อนเดินกลับ

 

 

ไม่รู้ว่าพวกลูกน้องที่ติดตามเฉิงสุ่ยกับหัวหน้าตู้ที่อยู่ด้านหลังมองเธอด้วยสายตาแบบไหน ถึงได้หลีกทางให้เธอแต่โดยดี

 

 

ซือลี่หมิงลากกระเป๋าตามหลังเธอไป

 

 

เฉิงมู่ถือกระถางดอกไม้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

พวกเฉิงสุ่ยออกมารับกลุ่มหัวหน้าโจวและผู้กองลั่ว

 

 

พวกเขาคิดว่าจะไม่ได้เห็นของแล้ว แต่สุดท้ายฉินหร่านก็สร้างความตกใจโดยการโยนของให้ผู้กองลั่ว

 

 

จนกระทั่งพวกฉินหร่านหายลับตาไป เฉิงสุ่ยกับหัวหน้าตู้และคนอื่นๆ ถึงจะรู้สึกตัว

 

 

หัวหน้าหยวนเลื่อนสายตามองมายังกล่องที่อยู่ในมือผู้กองลั่ว “พวกนายไม่ได้เอาของมอบให้พวกทหารรับจ้างเหรอ?”

 

 

“อืม พวกเขาไม่ได้เอาไป” ผู้กองลั่วตอบสั้นๆ ได้ใจความ

 

 

“งั้นพวกนายหนีจากเงื้อมมือของพวกทหารรับจ้างออกมาอย่างปลอดภัยได้ยังไง?” พวกเขาล้วนคลุกคลีอยู่ในรัฐ M ทหารรับจ้างโหดเหี้ยมขนาดไหน ทุกคนต่างก็เคยเห็นมาหมดแล้ว

 

 

จะลำบากลำบนสักแค่ไหนก็ไม่น่าปล่อยพวกผู้กองลั่วมาได้ง่ายๆ ถึงขนาดไม่เอาของไปด้วย?

 

 

หัวหน้าโจวได้แต่มองไปทางผู้กองลั่วอย่างเงียบๆ

 

 

หลังจากผ่านเหตุการณ์เมื่อคืน ผู้กองลั่วก็โตขึ้นมาก เขาไม่ได้อธิบายนำไปก่อน แต่หยิบโทรศัพท์ออกมา หาโซเชียลเน็ตเวิร์ก จากนั้นกดไปที่หน้าโปรไฟล์ของซือลี่หมิงแล้วเลื่อนดูความเคลื่อนไหวของเขา

 

 

อันแรกเป็นความเคลื่อนไหวที่เขารีโพสต์ลงเมื่อคืนที่ผ่านมา

 

 

ผู้ส่งดูเหมือนจะเป็นเฉิงมู่ ผู้กองลั่วจึงกดเข้าไปที่หน้าเพจของเฉิงมู่

 

 

เรื่องราวเป็นแบบนี้——

 

 

เฉิงมู่ : ฉันหวังว่าพวกเขาจะเปิดร้านเนื้อย่างในอนาคต (วิดีโอ)

 

 

เปิดเป็นโหมดสาธารณะ

 

 

ด้านล่างเหมือนจะมีคนที่ชื่อลู่จ้าวอิ่งถามว่าเขาคนนี้เป็นใคร

 

 

เฉิงมู่ตอบ : เชฟ

 

 

ผู้กองลั่วขยายวิดีโอให้พวกหัวหน้าตู้และเฉิงสุ่ยดู

 

 

เฉิงมู่ถ่ายวิดีโอในระดับทั่วไป แต่โทรศัพท์มีฟิลเตอร์ ภาพเนื้อย่างจึงดูชัดแจ๋ว คนย่างเนื้อดูไม่เหมือนกับเนื้อที่ย่าง

 

 

รูปร่างกำยำ หน้าตาปูดโปน ดูก็รู้ว่าไม่ควรไปแหย่

 

 

หัวหน้าตู้และคนอื่นๆ ก็เห็นคำตอบของเฉิงมู่เหมือนกัน “เชฟนี่ทำไมเหรอ? คนของฮอลล์?”

 

 

ทันใดนั้นผู้กองลั่วก็เข้าใจความรู้สึกของเฉิงมู่เมื่อคืน “เปล่า พวกคุณถามผมไม่ใช่เหรอว่าหนีมาได้ยังไง คนที่ย่างเนื้อคนนี้ก็คือหัวหน้าทหารรับจ้างยังไงละ เมื่อคืนเขาไม่ได้เอาของไป เพราะเขากำลังย่างเนื้อให้คุณหนูฉินอยู่”