บทที่ 230 งานชุมนุม (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 230 งานชุมนุม (2)

‘ร่างกายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าสิ่งที่ฝึกฝนเป็นหลักในวิถีหทัยมารก็คือสำนึกมารและจิตมาร’

ตามการบันทึกบนคัมภีร์บนวิถีหทัยมาร ส่วนที่สำคัญที่สุดของวิชาลับวิชานี้อยู่ที่การผนึกรวมจิตมารหยินที่แข็งแกร่งมากพอ ยิ่งจิตมารหยินแข็งแกร่งและมีมากเท่าไหร่ หัวใจมารที่เกิดขึ้นในตอนท้ายก็จะแข็งแกร่งเท่านั้น พลังมารกำเนิดที่ควบคุมได้ในตัวก็จะเพิ่มขึ้นด้วย

พลังก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

‘มาต่อกัน เพิ่งใช้พลังอาวรณ์ไปสิบกว่าหน่วยเอง’ ลู่เซิ่งสงบจิตใจ เลื่อนระดับวิถีหทัยมารต่อ

ผู้อาวุโสใหญ่เคยพูดถึงวิถีหทัยมารไว้ว่า คนที่สามารถรวมหัวใจมารได้สามดวงจะอยู่ในระดับมาตรฐานเมื่อครั้งอดีต

หรือก็คือ ศิษย์ที่ฝึกฝนวิถีหทัยมารระดับสามสำเร็จ จะกลายเป็นศิษย์หลัก พลังอยู่ในจุดสูงสุดของระดับจตุลักษณ์

สิ่งนี้เปลืองเวลาฝึกมาก ส่วนผู้ที่มีหัวใจจิตมารห้าดวง ถือเป็นอัจฉริยะในสายสดับสงัดของสำนักมารกำเนิด

หัวใจจิตมารเจ็ดถึงแปดดวง ย่อมเป็นอัจฉริยะระดับสุดยอดที่ขึ้นสู่ระดับอสรพิษได้

ในกระบวนการฝึกของวิถีหทัยมาร ความจริงไม่ได้เลื่อนระดับพลังโดยตรงมากเกินไป แต่รวมจิตมารไว้อย่างต่อเนื่อง สั่งสมกักเก็บไว้ที่ตัวเอง จนกระทั่งระเบิดในวินาทีที่ผนึกรวมหัวใจมาร

ทว่าสำหรับลู่เซิ่งแล้ว เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา

ไม่นาน หลังใช้พลังอาวรณ์ไปสิบกว่าหน่วย หัวใจจิตมารดวงที่สามก็เกาะกลุ่มแล้วโผล่มา

ก่อนหน้านี้ในตัวลู่เซิ่งดูดปราณมารกำเนิดไว้มากมาย การผนึกรวมในเวลานี้จึงไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งกว่าคนอื่นเกินไป ทำให้ปราณมารกำเนิดที่ร่างกายเขาเก็บไว้ได้ มีมากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่าตัว

ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า หัวใจจิตมารสามดวงนี้เชื่อมต่อกับเขาอย่างแนบแน่น คล้ายกับหัวใจสามดวงที่งอกอยู่ด้านนอกตัว ปราณมารกำเนิดปริมาณมากไหลจากด้านในร่างเขาเข้าไปในหัวใจจิตมารสามดวงผ่านการควบคุมอันลี้ลับ หนำซ้ำยังดูดซับปราณมารจากภายนอกเข้ามาเปลี่ยนสถานะและเติมเต็มในร่างกายอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

‘…พลังอาวรณ์ยังเหลืออีกเยอะ ต่อเลย’

นี่เป็นเวลาสั่งสมพลัง ลู่เซิ่งย่อมไม่ตระหนี่ต้นทุนแม้แต่น้อย

ทุ่มพลังอาวรณ์ไปสิบกว่าหน่วย หัวใจจิตมารดวงที่สี่ก็รวมตัวกันออกมา

ดวงที่ห้าติดตามมา

ดวงที่หก…

ดวงที่เจ็ด…

ดวงที่แปด…

ดวงที่เก้า…

ลู่เซิ่งผนึกรวมหัวใจจิตมารเก้าดวงในครั้งเดียว หัวใจแปดดวงและงูหน้าคนตัวหนึ่งลอยอยู่อยู่กลางอากาศรอบตัวเขา

‘ในเมื่อหัวใจจิตมารเจ็ดถึงแปดดวงเทียบได้กับอัจฉริยะที่ขึ้นสู่ระดับอสรพิษ งั้นเรายกระดับถึงเก้าดวงซึ่งสูงที่สุด ไม่รู้ว่าจะไปถึงขั้นไหน’

เขามองพลังอาวรณ์ที่เหลือ ยังเหลืออีกสองสามหน่วย นอกนั้นถูกเขาใช้ไปจนหมด

ลู่เซิ่งเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า รู้ว่านี่เกิดขึ้นเพราะผนึกรวมหัวใจจิตมารมากเกินไปในครั้งเดียว

ต่อให้ร่างกายเขาแข็งแกร่งถึงขีดสุด ก็เริ่มทนทานการย่นระยะเวลาที่คนอื่นต้องฝึกฝนอย่างหนักอยู่หลายปีจนสั้นขนาดนี้ไม่ไหวอยู่บ้าง

‘หัวใจจิตมารแปดดวง ปกติเวลาที่ใช้ปรับตัวคือสิบสองชั่วยาม หรือก็คือหนึ่งวัน จากนั้นก็จะรวมหัวใจมารดวงสุดท้ายในร่างได้อย่างแท้จริง ถึงตอนนั้น เป็นเวลาที่จะสำเร็จวิถีหทัยมาร วิถีหทัยมารเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง วิชาสดับสงัดต่อจากนี้เป็นแค่ทักษะใช้งานอย่างหนึ่ง ความยากกลับอยู่รองลงไป ตอนนี้น่าจะกลับไปพักผ่อนได้แล้ว รอเวลาปรับตัวสิ้นสุด’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ลากร่างอันอิดโรย กระโดดลงจากถ้ำเบาๆ แล้วพุ่งไปยังหอเก็บหนังสือของสำนักมารกำเนิด

พลังอาวรณ์ถูกใช้จนหมด ในเวลาอันสั้นสามารถเลื่อนถึงระดับนี้ได้ ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ภายหลังต้องดูว่าพอหัวใจมารมารวมตัวกัน จะมีอานุภาพกล้าแข็งขนาดไหน

ลู่เซิ่งรู้ดีแก่ใจว่า ตัวเองใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนจนไปถึงสภาพสูงสุดซึ่งแข็งแกร่งที่สุดของสายสดับสงัดแห่งสำนักมารกำเนิดแล้ว วิถีหทัยมารเลื่อนถึงระดับเก้า บางทีอาจเป็นระดับที่คนมากมายก่อนหน้าเคยเรียนรู้ในทางทฤษฎี

ควรทราบว่า เกิดหัวใจมารดวงสุดท้ายรวมตัวกันได้ ก็เหมือนเกาทัณฑ์ยิงไปแล้วไม่มีหวนคืน ตอนแรกรวมหัวใจจิตมารได้เท่าไหร่ ทั้งชีวิตที่เหลือก็จะมีเท่านั้น

รากฐานที่ใช้รวมหัวใจจิตมารก็คือปริมาณปราณมารกำเนิดอันบริสุทธิ์ที่วิชาเชื่อมอนธการดูดซับไปก่อนหน้า

เมื่อปราณมารกำเนิดมากพอ หัวใจจิตมารที่ผนึกรวมได้ก็จะแข็งแกร่งและมีจำนวนมากกว่าเดิม และเมื่อปราณมารกำเนิดไม่พอ จำนวนและความแข็งแกร่งของหัวใจจิตมารก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย

ลู่เซิ่งจำได้ว่าบนหนังสือจำพวกบันทึกประวัติศาสตร์สำนักมารกำเนิดที่ตนเคยอ่านได้เขียนไว้ว่า สายสดับสงัดเคยมีบูรพาจารย์ใช้เวลาไม่กี่ปีก็รวมหัวใจจิตมารได้แปดดวง สุดท้ายตอนนั้นถูกยกย่องเป็นหนึ่งในสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักมารกำเนิด

สำนักมารกำเนิดในตอนนั้นอยู่ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด มีผู้เข้มแข็งระดับอสรพิษไม่น้อย บวกกับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลขุนนางส่วนหนึ่ง อาณาเขตที่ยึดครองอยู่ถึงขั้นด้อยกว่าตระกูลขุนนางขนาดเล็กนิดเดียวเท่านั้น

เขาเชื่อมั่นว่าตนมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ อย่างนั้นหัวใจจิตมารเก้าดวงที่รวมได้ในตอนท้าย ทั้งจำนวนและความแข็งแกร่ง ลำดับขั้นที่ไปถึงได้จะต้องเหนือกว่าจินตนาการของคนทั่วไป และเป็นระดับสูงสุดของวิชาสดับสงัดแน่

จงหยวน เมืองกระดิ่งขาว

“ทางนี้ๆ!”

“ศิษย์พี่เหยียนไค! ข้าอยู่ที่นี่!”

เหยียนไคลากร่างอันเหนื่อยล้า เดินออกจากเหลาสุราพร้อมหาวครั้งหนึ่ง กำลังจะไปกินอาหารเช้าในห้องส่วนตัวของตระกูลสวีข้างทาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีตะโกนเรียกตัวเองไม่ไกลออกไป

เขาเบิกตามองไปยังต้นเสียง

เห็นหญิงสาวตัวเล็กสวมกระโปรงสีขาวคนหนึ่งกำลังโบกมือพลางตะโกนเรียกเขาในฝูงชนที่เบียดเสียดแออัด

“ศิษย์พี่เหยียนไค! ข้าอยู่นี่! อยู่ตรงนี้!” หญิงสาวมีใบหน้าราวตุ๊กตา อายุไม่มาก ราวยี่สิบปี ทว่าดูไม่ต่างจากเด็กสาวอายุสิบกว่าปี ร่างสูงเท่าเอวคนทั่วไป

ตอนนี้นางยืนอยู่ในฝูงชน ต้องกระโดดขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของเหยียนไค

‘เสี่ยวฉินหรือ’ เหยียนไคงุนงง จำได้ว่าเป็นศิษย์น้องเล็กที่อาจารย์ของตนรับไว้ เมื่อไม่กี่ปีก่อน

ในฐานะศิษย์สายสืบทอดที่แท้จริงของสำนัก เขาเหยียนไคนับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไร้อนาคตที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะมีสายเลือดเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะสายเลือดนี้หายากมาก เขาจะเข้าสำนักได้หรือไม่ยังเป็นปัญหา

“ข้าเองๆ!” หญิงสาวชื่อเสี่ยวฉินรีบเบียดฝ่าฝูงชน ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าเหยียนไค

ยามนี้เหยียนไคค่อยสังเกตเห็นว่า ศิษย์น้องเล็กคนนี้ยังจูงมือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งไว้ด้านหลัง

เด็กผู้หญิงคนนี้สวมกระโปรงแดง ในมือถือร่มสีแดง ผมดำหน้าตางดงาม ปากจิ้มลิ้ม เป็นบุคลิกของโฉมสะคราญที่หายาก

“ศิษย์พี่ ข้าขอแนะนำท่าน นี่คืออิงอิงสหายของข้า เป็นสหายสนิทที่ข้าเพิ่งรู้จักในเมืองกระดิ่งขาวมาไม่นาน!” เสี่ยวฉินแนะนำเหยียนไคอย่างกระตือรือร้น

“ท่านคือศิษย์พี่ของเสี่ยวฉิน น่าสนใจ มาเข้าร่วมงานชุมนุมเหมือนกันหรือ” สตรีกางร่มอิงอิง กล่าวให้ถูกต้องคือหงฟางไป๋ ตอนนี้ใช้สายตาดูหมิ่น พิจารณาเหยียนไคที่อยู่ด้านหน้า

หลังจากลู่เซิ่งเข้าสำนัก นางก็อยู่ว่างจนเบื่อหน่าย ใช้ร่างของอิงอิงออกมาเที่ยวเล่น ครั้งกระโน้นนางเคยมาจงหยวน เพียงแต่มาไม่ถึงเมืองกระดิ่งขาว ปัจจุบันเวลาผันผ่านสภาพแปรผัน ผ่านไปหลายปี ผู้เฒ่าที่เคยไล่ล่านางที่ตายก็ตายไป ที่เร้นกายก็เร้นกาย หลังนางทราบเรื่องนี้ ก็ค่อยๆ เปิดเผยตัว ไร้ข้อกริ่งเกรงอีก

ถึงอย่างไรในชีวิตนี้ นอกจากลู่เซิ่งแล้ว นางก็ไม่กลัวใครอีก

“แม่นางก็จะเข้าร่วมงานชุมนุมเหมือนกันหรือ ข้าเหยียนไค กลับไม่คิดเข้าร่วม แต่ว่าอาจารย์มีคนไม่พอ จึงถูกเรียกตัวกลับมาช่วยเหลือ”

“ชุมนุมใหญ่ร้อยเส้นสาย สมควรมาร่วมชม ทั้งยังหาประสบการณ์ได้ด้วย” เสี่ยวฉินพูดแทรก “ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายไป๋ซิวจากตำหนักหมื่นสุขก็ออกด่านพอดี และจะเข้าร่วมงานชุมนุมในวันนี้ด้วย เฮ้อ ช่าง…ช่าง…”

เสี่ยวฉินหน้าแดง ใบหน้างมงาย

“เฮ้อ…” เหยียนไคเห็นเข้า ก็รู้ว่าศิษย์น้องเล็กเกิดอาการบ้าบุรุษอีกแล้ว

ตำหนักหมื่นสุขเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่ระดับสามขั้นบน จัดอยู่อันดับสาม ขุมกำลังกล้าแข็งถึงขีดสุด คุณชายไป๋ซิวได้รับการยกย่องเป็นเจ้าสำนักรุ่นต่อไปซึ่งถูกกำหนดตัวไว้แล้ว และเป็นผู้นำที่ถูกลิขิตให้รับสืบทอดสำนักต่อ

บุตรแห่งโชคชะตาไป๋ซิว เป็นหนึ่งในสามผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดของร้อยเส้นสาย ปัจจุบันเป็นยอดฝีมือระดับอสรพิษ โดดเด่นไม่มีใครเทียม

“งานชุมนุมอีกไม่กี่วันก็จะเริ่มแล้ว ศิษย์น้องเล็ก ท่านอาจารย์สบายดีกระมัง” เหยียนไคตัดบทนางอย่างจนปัญญา

“สบายดีเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ไปเจอเดี่ยวก็รู้เอง เพียงแต่มักจะพึมพำถึงความปรารถนาในตอนแรกของศิษย์พี่ ตำหนิท่านที่หาภาระหนักขนาดนี้ให้ตัวเอง” เสียวฉินเอ่ยเบาๆ “แต่ว่าก่อนงานชุมนุมท่านผู้เฒ่าจะต้องมาแน่ ถึงตอนนั้นท่านไปหาก็พอ”

คิดถึงเรื่องราวในตอนนั้น เหยียนไคเงียบลง ดวงตาซับซ้อน

“พอแล้วๆ เดินไปด้วยกันเถอะ ไม่ได้มาเมืองกระดิ่งขาวเสียนาน สถานที่ของงานชุมนุมอยู่ไม่ไกล พวกเราพักที่นี่ เที่ยวให้ทั่วกันเถอะ” เสี่ยวฉินเสนอ

“ก็ได้…” เหยียนไคได้แต่ยิ้มอย่างหนักใจ วันนี้เขาออกมาคนเดียว กลับสะดวกสบาย อยากไปไหนก็ไปที่นั่น

“แล้วแม่นางอิงอิงเล่า” เหยียนไคมองสตรีกางร่ม รู้สึกถึงแรงกดดันหนักอึ้งอย่างหนึ่งบนร่างของแม่นางที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนผู้นี้ เป็นความรู้สึกคุกคามที่ทำให้เขาอึดอัด

“ได้สิ ข้าก็ชอบเดินเล่นเหมือนกัน ไปด้วยกันก็…”

“อิงอิง”

หงฟางไป๋ยังพูดไม่จบ ก็ถูกเสียงบุรุษทุ้มต่ำตัดบท

สีหน้าที่ผ่อนคลายในตอนแรกของนางเคร่งเครียดขึ้น หันไปมองถนนด้านหน้า

ทิศทางตรงข้ามกับคนทั้งสาม ไม่ทราบว่ามีคนสองสามคนเดินมาตั้งแต่ตอนไหน บุรุษคนหนึ่งในนี้มีสีหน้าราบเรียบ ร่างสูงโปร่ง รอบๆ มีความรู้สึกกดดันที่หนักอึ้ง เป็นลู่เซิ่งที่เพิ่งเดินทางออกจากสำนัก

“เที่ยวพอหรือยัง” เขามองสตรีกางร่มอย่างเฉยชา

หงฟางไป๋ที่เมื่อครู่อารมณ์ดี ตอนนี้หน้ามุ่ย ได้แต่แค่นเสียง แล้วเดินไปหาอย่างว่าง่าย

“ขอตัวกลับก่อน พวกท่านตามสบาย”

“อิงอิง…” เสี่ยวฉินคิดจะดึงแขนเสื้อนาง แต่ถูกเหยียนไคฉุดมือไว้

“อย่าเข้าไป…” สีหน้าของเขาเคร่งขรึม มองสัญลักษณ์ของสำนักมารกำเนิดบนชายเสื้อลู่เซิ่ง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม

เสี่ยวฉินหันไปมอง ตกใจเพราะความผิดปกติของศิษย์พี่ ได้แต่มองดูสตรีกางร่มอิงอิงติดตามลู่เซิ่งเดินไปไกล ไม่นานก็หายไปในกลุ่มคน

เสี่ยวฉินค่อยสลัดหลุดจากมือใหญ่ของเหยียนไค

“ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนผู้นั้นเป็นครอบครัวของอิงอิงหรือ”

“สำนักมารกำเนิด…คิดไม่ถึงเขาจะมาจงหยวน ทั้งยังเข้าร่วมกับร้อยเส้นสาย กลายเป็นคนของสำนักมารกำเนิด” เหยียนไคพึมพำเบาๆ

ลู่เซิ่ง ขุนพลใต้สังกัดซั่งหยางจิ่วหลี่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลซั่งหยาง พลังฝึกปรือลึกล้ำไม่อาจหยั่งคาด! ผู้ปกครองพรรควาฬแดงที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเหนือ

หลักๆ คือ เงามืดที่คนผู้นี้มอบให้เขา น่าพรั่นพรึงสุดขีด

ถ้าไม่มีเรื่องเจ้าบ้านไม่หัวเราะ เหยียนไคอาจนึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่คบได้ ทว่าหลังจากเรื่องในครั้งนั้น ว่านเหอจื่อกับเขาก็ได้รู้จักนิสัยของลู่เซิ่งจริงๆ ในระหว่างการทดสอบครั้งนั้น

ในการทดสอบ ลู่เซิ่งซึ่งเป็นผู้ที่เข้มแข็งที่สุดในแถบนั้น และถูกมอบหมายให้เป็นผู้เฝ้าด่าน ได้มอบบทเรียนที่ไม่อาจจินตนาการให้แก่พวกเขา

จนกระทั่งออกจากแดนมายาอันเป็นวัฏจักรไร้สิ้นสุดได้ พวกเขาจึงมีอาการตกค้างที่ลบเลือนไม่ได้อยู่ในใจ

……………………………………….