ตอนที่ 234 การหยั่งเชิงที่ไร้ประโยชน์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“อื้อๆ” ซั่งกวนหมิงเบิกดวงตาตาสีดำขลับ มองดูทิวทัศน์ที่เคลื่อนไหวด้านนอกรถม้า ใบหน้าเล็กนั้นเผยความตื่นตะลึงและตื่นเต้นเต็มไปหมด ทำให้คนที่นั่งในรถม้าต่างก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกจากบ้าน เดิมทีดวงตาคู่นั้นก็แยกแยะอะไรไม่ออก ไม่ว่าจะมองอะไรก็ล้วนรู้สึกแปลกใหม่ไปหมด หลังจากรถม้าออกจากตระกูลซั่งกวนเพื่อไปรวมกับพวกซั่งกวนเจวี๋ยที่ทะเลสาบลี่หู เขาก็เอาแต่จ้องมองทิวทัศน์อย่างกระปรี้กระเปร่าตลอดเวลา บางครั้งก็ยังส่งเสียงร้องเรียกออกมาอย่างตื่นเต้น

ความจริงแล้วตามแผนเดิมคืออย่าให้เขาออกจากบ้าน…เด็กอายุสองเดือน การออกมาข้างนอกนับเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมจริงๆ แต่ซั่งกวนเจวี๋ยค้างคืนที่ทะเลสาบลี่หูสองคืน เจ้าตัวเล็กก็อาละวาดทั้งสองคืน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปลอบเขา นอนเป็นเพื่อเขาก็ไม่ได้ผล นอนไปพลาง สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารไปพลาง ท่าทีราวกับเด็กถูกทอดทิ้งนั้น ทำให้สองสามีภรรยาซั่งกวนฮ่าวและเยี่ยนมี่เอ๋อร์ล้วนแต่ใจสลายไปตามๆ กัน

ด้านอิงหงหลันก็รีบโพล่งออกมา กล่าวว่าร่างกายของเสี่ยวหมิงเอ๋อร์นั้นแข็งแรงดี (ประเด็นหลักก็เพราะว่าได้รับการดูแลในครรภ์มาเป็นอย่างดี) ในยามที่เพิ่งครบเดือนก็ตั้งศีรษะตรงได้ ทั้งยามนี้ก็สามารถมองซ้ายแลขวาได้แล้ว ออกจากบ้านไม่นับว่าเป็นปัญหาอันใด

หลังจากพวกซั่งกวนฮ่าวช่วยกันพินิจพิจารณาแล้ว ก็ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์พาเขาออกจากบ้านมา เดินทางไปหาซั่งกวนเจวี๋ย…เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องร้องไห้อย่างไม่เลิกรา ทำให้คนที่มองต่างก็รู้สึกสงสารไปหมด

เยี่ยนมี่เอ๋อร์รออยู่ริมทะเลสาบลี่หูสักพัก พวกซั่งกวนเจวี๋ยก็นั่งเรือสำราญมาเทียบฝั่ง เมื่อซั่งกวนเจวี๋ยลงจากเรือก็ถูกคนรับใช้ที่รออยู่ที่ฝั่งดึงตัวมาทันที แต่เจ้าตัวเล็กที่เห็นซั่งกวนเจวี๋ยอย่างไม่คาดฝันนั้นกลับไม่ได้ยิ้มอ้าปากที่ไร้ฟันต้อนรับอย่างชมชอบอีกแล้ว ร้องไห้กระซิกๆ อย่างน้อยอกน้อยใจแทน ทำเอาซั่งกวนเจวี๋ยนั้นรู้สึกสงสารจับใจ เวลานี้จึงตัดสินใจไม่ขี่ม้าแล้ว แต่ไปนั่งรถม้าเป็นเพื่อนภรรยาและลูกชายแทน ดังนั้นเจ้าจิ้งจอกตัวน้อยเมื่อร้องไห้จนพอ ก็นอนอย่างสบายใจอยู่ในอ้อมอกของบิดา มองทิวทัศน์ด้านนอกผ่านผ้าคลุมหน้าต่างที่แทบจะโปร่งใส ราวกับท่องเที่ยวในฤดูร้อน

เมื่อถึงเรือนโม่โฉว หลังจากกินข้าวตามสบายแล้ว พวกคุณหนูทั้งหมด รวมถึงจิงอิ๋งและพิงถิงต่างก็แต่งกายในชุดเรียบง่าย ไม่ได้ทำทรงผมให้ซับซ้อนสละสลวยมากมาย ล้วนแต่ถักเป็นเปียเล็กสองข้าง ไม่ก็มัดรวบอย่างเรียบง่าย บางคนก็แต่งหน้าบางๆ บางคนก็เผยหน้าไร้เครื่องประทินโฉม แต่ละคนต่างก็ทำให้คนอิจฉาขึ้นมา กระนั้นกลับทำให้ความกดดันของพวกนางเลือนหายไปด้วยเช่นกัน ล้วนแต่เปล่งประกายความบริสุทธิ์สดใส ให้ความรู้สึกน้องสาวตัวน้อยข้างบ้านอยู่บ้าง

“พิงถิง อีกเดี๋ยวพวกเราจะชนะที่หนึ่งเป็นแน่!” หวงฝู่อวี๋หลิงมีท่าทีมั่นใจที่จะเป็นที่หนึ่งของการเก็บฝักบัวในงานชมดอกบัวปีนี้ให้ได้อยู่บ้าง หลังจากงานชมดอกบัวปีที่แล้ว นางก็เอาแต่เขียนจดหมายหาพิงถิงที่เป็นสหายอย่างไม่หยุดหย่อน

“แน่นอนๆ!” ผู้ที่เลียนเสียงดั่งเป็นนกแก้วนั้นคือหวงฝู่อวี๋จวิน เดิมทีนางยังอายุไม่ถึง ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วมงานชมดอก บัว แต่ยามที่อยู่ในบ้านนางถูกตามอกตามใจเป็นอย่างมาก หวงฝู่อวี๋หลิงก็ไม่มีน้องสาวอนุคนอื่นที่สนิทสนมกันมากนัก ดังนั้นจึงพาเด็กน้อยที่เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดมาด้วย

“พวกเราต่างหากที่จะได้ที่หนึ่ง!” ผู้ที่พูดคือมู่หรงชิงอวิ้น เพื่อที่จะมาร่วมงานชมดอกบัวในปีนี้ถึงกับขอร้องสารพัดวิธี แม้จะไม่ได้เลื่อนกำหนดแต่งงานออกไป แต่ก็ต้องได้รับการอนุญาตจากบ้านสามีและบ้านตนเองทั้งคู่ ผู้ที่เดินทางมาลี่โจวกับนางก็คือสามี ทั้งถือเป็นโอกาสหนึ่งที่สามีของนางจะได้ทำความรู้จักสนิทสนมกับคนของตระกูลซั่งกวนด้วย ส่วนนางก็ลากจิงอิ๋งมาอยู่กลุ่มเดียวกันอย่างแทบไม่ต้องคิด ทำให้จิงอิ๋งที่เดิมทีคิดอยากจะล่าถอย จำต้องยอมอย่างเสียไม่ได้

คนที่มางานชมดอกบัวปีนี้จำนวนมากกว่าปีที่แล้วมาก แต่ก็มีตระกูลไม่น้อยที่ไม่มาเข้าร่วมเลยเช่นกัน ตัวอย่างเช่นตระกูลทั่วป๋าที่ทุกปีล้วนมางานชมดอกบัวอย่างไม่ขาด ทั้งมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาอย่างเห็นได้ชัดกับตระกูลซั่งกวนก็ไม่มาปรากฏตัวแม้แต่คนเดียว ตระกูลชุยก็ไม่มีคนมาเช่นกัน ทั้งสองตระกูลล้วนส่งจดหมายมา ตระกูลทั่วป๋ากล่าวอย่างเกรงใจว่าไม่มีบุตรชายบุตรสาวที่อายุเหมาะสม จึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ด้านตระกูลชุยกลับกล่าวอย่างตรงๆ ว่า หลิงหลงแพ้ท้องหนักมาก ไม่อาจปลีกตัวมาได้ ทั้งยังเชิญอินหงหลันให้มาตรวจดูหลิงหลงที่จือหยางด้วย ทำเอาอินหงหลันโมโหโกรธายกใหญ่…เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญดูแลผู้หญิงตั้งท้องอย่างนั้นหรือ?

พวกคุณหนูที่หวีผมเผ้าพร้อมแล้วต่างก็ไปอยู่ที่ท่าเรือเล็กๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อพวกนางโดยเฉพาะ หลังจากรับหมวกสานกันแดดมาสวมก็มองพินิจกันไปมา ต่างก็รู้สึกว่าขบขันจนหัวเราะออกมา คล้อยหลังก็รวมกลุ่มสามคน (สามารถให้คนใช้ของตัวเองอยู่ด้วยกันได้ แต่เรือเล็กบรรจุได้เพียงสามคนเท่านั้น รวมกับคนพายเรือของเรือนโม่โฉวก็เป็นสี่คนต่อหนึ่งเรือพอดี) บนเรือมีสองตะกร้าวางอยู่ อันหนึ่งใช้เก็บฝักบัว อีกอันใช้เก็บกระจับ ท้ายเรือยังติดข้องปลาเอาไว้ มีเบ็ดตกปลาอยู่บนเรือสามอัน ทางคนพายเรือนั้นมีอาหารปลาอยู่ หากสนใจ สามารถสัมผัสประสบการณ์สนุกตกปลาบนเรือได้

หลังจากรอให้แขกผู้หญิงนั่งมั่นคงแล้ว คนพายเรือที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีก็ออกแรงจ้ำไม้ไผ่ เรือเล็กจึงค่อยๆ เคลื่อนโคลงเคลงออกมา พวกนางล้วนมีเส้นทางที่กำหนดไว้แล้ว ไม่นานเรือเล็กก็เคลื่อนไปหาพื้นที่ที่สงวนไว้ปลูกดอกบัวเหล่านั้น ทำให้ไม่สามารถมองเห็นอันใดอีกแล้ว

สูดดมกลิ่นหอมของดอกบัว สัมผัสถึงใบบัวที่กระทบใบหน้าล้วนให้ความรู้สึกที่แตกต่างบางอย่าง สามารถฟังเสียงที่ทั้งใกล้ทั้งไกล แต่เมื่อมองออกไป กลับพบเพียงดอกบัวสีขาวสีชมพู ใบบัวสีเขียวขจี ทั้งฝักบัวเป็นก้านๆ ไม่พบเงาคนแม้แต่น้อย ความรู้สึกเช่นนี้ดีไม่น้อยจริงๆ

จิงอิ๋งคว้าหมวกสานบนหัวทิ้งลงในเรือ ก่อนจะเก็บใบบัวอันใหญ่มาสวมบนหัวแทน เมื่อคุ้นชินกับเรือแล้วคนก็เริ่มยืนขึ้นเช่นกัน คนพายเรือจึงใช้ความเร็วน้อยลงอย่างเข้าใจ นางจึงเริ่มเก็บฝักบัวก้านแล้วก้านเล่าใส่ในตะกร้าทันที มู่หรงชิงอวิ้นก็หยัดกายขึ้นช่วยด้วยยิ้มที่เริงร่า แต่ผู้ร่วมกลุ่มอีกคนของพวกนาง สาวใช้ใหญ่ของมู่หรงชิงอวิ้นกลับไม่ได้มีความกล้าถึงเพียงนั้น ไม่กล้าลุกขึ้นยืน จึงย้ายตะกร้ามาไว้ข้างกาย จัดเก็บฝักบัวที่พวกนางเด็ดใส่อย่างระมัดระวัง ให้พวกมันดูดีขึ้นมาบ้าง

เก็บตามทางไปอยู่เช่นนี้ ไม่นานก็เก็บเต็มตะกร้า…ตะกร้าที่เตรียมให้พวกนางนั้นเป็นขนาดเล็กที่สุด ให้พวกนางเก็บฝักบัวก็เพื่อลองสิ่งแปลกใหม่เท่านั้น ตะกร้าใหญ่ไป ครึ่งวันก็ไม่อาจเก็บได้เต็มตะกร้า พวกคุณหนูที่อ้อนแอ้นพวกนี้ก็คงหมดสนุกแล้ว หากเก็บได้เยอะ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล เก็บใส่ลงไปในเรือเลยก็ย่อมได้

“น้องจิงอิ๋ง เจ้าดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ” มู่หรงชิงอวิ้นมองจิงอิ๋งทั้งตาหยี ทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่บ้าง ในยามปกติก็มักคุยเล่นหัวเราะกัน

“เช่นนั้นหรือ?” จิงอิ๋งประดับรอยยิ้มบนใบหน้า ทั้งยังมีความมั่นใจเปล่งประกายอยู่บนนั้นเช่นกัน นางในยามนี้ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เหมือนสองปีก่อนอีกแล้ว ทั้งไม่ใช่คนน่าสงสารที่สิ้นหวังอย่างเมื่อปีก่อนเช่นกัน แต่เป็นคนที่รู้จักจุดเด่นจุดด้อยของตนเอง ทั้งสามารถพัฒนาจุดเด่น เปลี่ยนจุดด้อยของตัวเองให้เป็นความน่าเอ็นดู กลายเป็นคนที่มีความมั่นใจคนหนึ่ง!

“แน่นอนอยู่แล้ว” ชิงอวิ้นยิ่งมองก็ยิ่งชอบจิงอิ๋งมากขึ้น เมื่อก่อนนางสัมผัสไม่ได้ แต่สองวันก่อนแวบแรกยามที่มองจิง อิ๋งก็รู้สึกว่านางและมู่หรงปั๋วอวี่ พี่ชายของนางเหมาะสมกันอย่างมาก คิดว่ามู่หรงปั๋วอวี่นั้นทำเรื่องไร้สาระเช่นกัน คาดไม่ถึงว่าจะเอาแต่ร่อนเร่พเนจรอยู่ด้านนอกเพื่อหญิงสาวแปลกประหลาดคนหนึ่ง แม้แต่ฉลองปีใหม่ก็อยู่บ้านเพียงยี่สิบกว่าวันเท่านั้น ทำให้บิดาที่คาดหวังในตัวเขามาโดยตลอดโมโหจนแทบคลั่ง

นางรู้ว่าจิงอิ๋งมีความรู้สึกชมชอบพี่ชายมาโดยตลอด น่าเสียดายที่บุปฝาร่วงลงเพราะใจรัก แต่สายน้ำกลับหลั่งไหลไปอย่างไม่สนใจ[1] หากเป็นเมื่อก่อนครอบครัวของพวกเขาก็คงไม่สนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของชายหญิง แต่เรื่องที่มู่หรงปั๋วอวี่ลุ่มหลงผู้หญิงแปลกประหลาดคนหนึ่งได้กลายเป็นเรื่องตลกที่เผยแพร่ระหว่างตระกูลต่างๆ แล้ว ให้เขาหมั้นหมายกับตระกูลที่เหมาะ สม จึงนับว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ฉีอวี่เจวียนของตระกูลฉีก็ไม่เลว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับชาติกำเนิดของซั่งกวนจิงอิ๋งแล้วกลับไม่ได้น้อยนิดเสียทีเดียว ก่อนที่มู่หรงชิงอวิ้นจะมาก็ได้รับภารกิจสำคัญให้มาหยั่งเชิงท่าทีของจิงอิ๋ง ดังนั้นจึงได้รวมกลุ่มกับจิงอิ๋งโดยแทบไม่สนใจอันใด

“ข้ากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย” จิงอิ๋งเผยยิ้มอย่างเรียบง่าย นางรู้ว่าชิงอวิ้นย่อมมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ กล่าวอย่างเริงร่ากับคนพายเรือ “ฝักบัวนั้นเพียงพอแล้ว พวกเราไปเก็บกระจับเถิด”

คนพายเรือขานรับเสียงดัง ก่อนจะพายเรือเล็กด้วยความเร็วอยู่บ้าง ชิงอวิ้นเริ่มกล่าวยิ้มอย่างลนลาน “ช้าหน่อยๆ ข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว!”

“ระวังหน่อย อย่าได้ทำให้สหายขี้กลัวคนนี้ตกใจเอา” จิงอิ๋งหัวเราะชอบใจ คนพายเรือจึงค่อยๆ พายช้าๆ อย่างรู้ความ จิงอิ๋งยกเบ็ดขึ้นมา ก่อนจะยื่นไปทางคนพายเรือ คนผู้นั้นก็เกี่ยวไส้เดือนตัวอ้วนใส่ตะขอตกปลาให้นางทันที จิงอิ๋งเหวี่ยงเบ็ดลงไปในน้ำอย่างชำนาญ เรือเล็กในยามนี้ เดิมทีก็สั่นไหวไปตามคลื่นเล็กน้อยเท่านั้น

“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเปลี่ยนไปมาก หากเป็นเมื่อก่อน ไหนเลยจะรู้ว่าข้ามีคำพูดอยากจะคุยกับเจ้า” แต่ก่อนชิงอวิ้นไม่ค่อยชอบจิงอิ๋งที่ทำอะไรโดยไม่คิดมาตลอด มักจะรู้สึกว่ามีนิสัยของเด็กน้อย แม้จะน่าเอ็นดูและอัธยาศัยดี แต่ก็ยังคงไม่คู่ควรกับพี่ชายของตน ยามนี้เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดีขึ้นมาก

“มนุษย์ล้วนต้องเติบโตกันทั้งนั้น” จิงอิ๋งเผยยิ้มหวาน “ไม่มีผู้ใดที่จะถูกพะเน้าพะนอไม่ยอมโตไปตลอดชีวิตได้หรอก ไม่เว้นแต่ข้าเช่นกัน ข้านั้นมีความสุขมากแล้ว ถูกตามใจอย่างแทบไม่ต้องคิดกังวลอันใดมาถึงตอนนี้ หากยังเป็นเหมือนเมื่อ ก่อน ท่านพ่อและท่านแม่ย่อมจะกังวลจนหัวหงอกเป็นแน่”

ชิงอวิ้นสั่นสะท้านในใจเล็กน้อย นางมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าถูกจิงอิ๋งมองออก แต่ก็ยังคงฝืนกล่าว “จิงอิ๋ง งานชมดอกบัวปีนี้พี่ชายไม่ได้มา เจ้ารู้สึกแปลกใจ และผิดหวังหรือไม่?”

“แปลกใจ? ผิดหวัง? ทำไมเล่า?” จิงอิ๋งเผยยิ้มบาง “หลายวันมานี้พี่ปั๋วอวี่ไม่ใช่เอาแต่โลดแล่นอยู่ในยุทธภพหรอกหรือ? เขาย่อมรู้สึกสบายอกสบายใจ แค่เพียงงานชมดอกบัวจะทำให้เขาตามมาเข้าร่วมได้อย่างไร? ข้านั้นรู้อยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจหรือผิดหวังอันใด!”

ชิงอวิ้นลอบถอนหายใจ ฝืนยิ้มออกมา “เขาก็เป็นคนที่เหลวไหลคนหนึ่ง ถูกหญิงสาวแปลกประหลาดทำให้ลุ่มหลงจนกระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร หากให้รับผิดชอบเรื่องอันใดก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวไปเสียหมด ท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็ปวดเศียรเวียนเกล้า อยากจะจัดงานแต่งงานให้เขา ให้เขาได้เก็บตัวเก็บใจ ไม่ให้ถูกผู้ที่มีที่มาไม่ชัดเจนคนนั้นมอมเมาจนโงหัวไม่ขึ้น!”

“นั่นเป็นเรื่องดี!” จิงอิ๋งพยักหน้า “แม้พี่ใหญ่จะกล่าวว่าคุณหนูสุราผู้นั้นจะเป็นคนที่ไม่เลว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับพี่ปั๋วอวี่เสมอไป แต่ว่าเขาก็พูดเช่นกันว่าคุณหนูสุราผู้นั้นไม่เคยมีสีหน้าที่ดีให้พี่ปั๋วอวี่เลย เรื่องนี้นับว่ามีใจรักอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกรู้สา ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีอันใด ท่านลุงมีความคิดเช่นนี้ก็ดีอย่างยิ่ง ข้าว่าอวี่เจวียนก็ไม่เลว นางไม่ใช่แอบชอบพี่ปั๋วอวี่ เอาแต่ตามอยู่เบื้องหลังพี่ปั๋วอวี่มาโดยตลอดหรอกหรือ?”

ชิงอวิ้นยิ้มขมขื่น จิงอิ๋งพูดมาถึงตรงนี้ นางก็ไม่อาจพูดต่อไปได้แล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าก็คิดว่าพวกเขาเหมาะสมกันใช่หรือไม่? ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้ยังคงต้องให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นคนตัดสินใจ”

“นั่นมันแน่อยู่แล้ว” จิงอิ๋งกระจ่างใจดีว่าชิงอวิ้นได้ละทิ้งความคิดที่จะพูดกล่อมนางแล้ว ในใจก็ผ่อนคลายลง บังเอิญที่ยามนี้เห็นปลาดิ้นอยู่ใต้น้ำพอดี นางออกแรงในมือ ปลาไนตัวยาวขนาดหนึ่งฉื่อก็ถูกตกขึ้นมาทันที คนพายเรือนั้นยิ้มหน้าบาน ช่วยนางใส่ปลาไว้ในข้อง ด้านชิงอวิ้นก็เปลี่ยนประเด็นพูดเป็นเรื่องตกปลาให้ได้อย่างไรแทน…

———————————————–

[1] บุปฝาร่วงหล่นเพราะใจรัก แต่สายน้ำกลับหลั่งไหลไปอย่างไม่สนใจ อุปมาว่าแอบรักข้างเดียว