บทที่ 220: วิญญาณอายุ 400 ปี

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 220: วิญญาณอายุ 400 ปี

พรึ่บ ! แผ่นเงินกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนก่อตัวเขาด้วยกัน กลายเป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลวนไปรอบ ๆ ท่ามกลางสุสานที่มืดมิด ร่างของโมริรันมารุยืนอยู่เหนือทะเลเงินกระดาษ ส่งคลื่นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวไปยังจุดที่ไป๋อี้ชานยืนอยู่

เวลานี้ไป๋อี้ชานได้ขยับไปหลบอยู่หลังป้ายหลุมศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ร่างของเขาสั่นเทา และศพของชาวญี่ปุ่นและหุ่นเชิดศพอีกตัวหนึ่งก็ยืนอยู่ตรงหน้าของเขาเพื่อปกป้องเขาผู้เป็นนาย

ด้วยสายลมที่โหมกระหน่ำ ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบพลันโอนเอนอย่างรุนแรง ทว่าฉินเย่กลับยืนอยู่กับที่ด้วยท่าทางมั่นใจอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายที่กำลังคลืบคลานเข้ามา จากนั้นหลังจากที่สายลมเริ่มพัดประมาณสิบวินาที ผืนธงที่ก่อตัวขึ้นจากพลังหยินพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าของฉินเย่ ปลิวไสวอย่างรุนแรงตามกระแสลม

รูปที่อยู่บนผืนธงคือเหรียญหนึ่งเหรียญ

หย่งเล่อถงเป่า [1]

ธงของโนบูนางะ !

แซ่กกกซ่าาาาา !! วิญญาณร้ายที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉินเย่กรีดร้องพร้อมกับพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่ม ป้ายหลุมศพโดยรอบสั่นสะเทือนภายใต้การกดดันนี้

ช่างเป็นพลังหยินที่ทรงพลังจริงๆ… ฉินเย่หรี่ตาลง นี่มันพลังมาก แม้ว่าจะอยู่ในหมู่นักล่าวิญญาณระดับสูงเองก็ตาม

วิญญาณร้ายตรงหน้าไม่สามารถเรียกได้ว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ บริเวณท้องของมันเปิดออก แต่ไม่ใช่ด้วยแผลที่เกิดจากมีด แต่มันเหมือนกับว่า… มันถูกกระแทกอย่างแรงจนเปิดออกมากกว่า ร่างของเขาไหม้เกรียม ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น อีกฝ่ายคงจะเป็นคนคว้านท้องตัวเองก่อน และเมื่อไฟไหมวัดฮนโน เสาที่ถล่มลงมาก็คงจะตกลงมาบนร่างของเขาและทำให้ท้องของเขาเปิดออก

ร่างครึ่งบนของเขาคลานไปตามพื้น ผิวหนังซีดเซียวราวกับถูกทาด้วยชั้นแป้งหนาเหมือนพวกเกอิชา แต่หลังจากผ่านมาหลายร้อยปี ชั้นแป้งหน้าก็เริ่มแข็งกรังและแตกออก มีบางส่วนที่ร่วงหลุดออกไป เผยให้เห็นเนื้อที่ไหม้เกรียมและเท้าเปื่อยข้างใต้ ต่อให้เขาจะถูกมองว่าหน้าตาดีอย่างไม่น่าเชื่อในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันก็ไม่มีใครสามารถบอกอะไรได้จากสภาพของเขาในตอนนี้

ใบหน้าของเขามีสีเพียงสามสี ซึ่งได้แก่สีขาว สีดำ และสีเหลือง เขามีจุดสองจุดที่น่าจะเป็นคิ้วและลำคอที่บิดเบี้ยวอย่างผิดรูป ผมยาวที่ร่วงลงมาอย่างไม่เป็นทรง และริมฝีปากของเขาก็ถูกฉีกให้อ้าออกจนไปถึงหู ทันทีที่ปากนั้นเปิดปากออก ฉินเย่สามารถมองเห็นฟันสีดำที่น่าสยดสยองและลิ้นสีแดงฉานที่อยู่ด้านใน

ในอ้อมแขนของเขายังคือถือดาบคาตานะ ร่างกายส่วนล่างซึ่งตามมาติด ๆ ถูกเชื่อมกับร่างท่อนบนด้วยเข็มขัดเท่านั้น นอกจากนี้มันยังมีวิญญาณตนอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ เขา วิญญาณทั้งหมดล้วนแต่งกายด้วยชุดจากยุคสมัยนั้น บางคนไร้ศีรษะ บางตนมีเชือกมัดอยู่รอบ ๆ คอและลิ้นที่ยืดยาวออกมา ในขณะบางตนก็ค้อมหลังอยู่เบื้องใต้ของโมริรันมารุ ทำหน้าที่เป็นล้อให้กับเขา

“นี่หรือที่พวกเขาเรียกกันว่าราตรีขบวนร้อยอสูร ?” ฉินเย่มองดูเหล่าวิญญาณโบราณที่มีอายุกว่า 400 ปีอย่างสนใจ “แต่มันไม่ดูกระจอกไปหน่อยหรือ ?”

แต่โมริรันมารุกลับไม่สบตากับฉินเย่เลยสักนิด กลับกัน สายตาของเขายังคงจ้องเขม็งไปที่ป้ายหลุมศพที่ไป๋อี้ชานกำลังซ่อนตัวอยู่ พร้อมกับเสียงขู่ฟ่อที่ดังออกมา เขาก้าวไปทางซ้ายเพื่อที่จะได้มองป้ายหลุมศพชัดเจนขึ้น แต่ฉินเย่กลับก้าวมาขวางเขาเอาไว้ โมริรันมารุก้าวไปทางขวา แต่ฉินเย่ก็ยังเดินไปขวางเขาอีก

ในที่สุดวิญญาณตรงหน้าก็แน่นิ่งไป

เขาจ้องไปที่ฉินเย่ด้วยแววตาที่สั่นเทา น้ำลายไหลย้อยออกมาจากมุมปากที่น่าขนลุกขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมามองฉินเย่ จากนั้นในวินาทีต่อมา เขาก็พุ่งเข้าใส่ฉินเย่พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังก้อง !

โค้รม !!! มันพุ่งไปราวกับรถถังขนาดใหญ่ ปะทะเข้ากับป้ายหลุมศพที่อยู่ขวางหน้าจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ และกระเด็นไปทั่ว

“กล้าดีอย่างไรถึงไม่รีบคุกเข่าและแสดงความเคารพต่อแผ่นดินจีน ? เจ้าคิดหรือว่าตัวเองเป็นยมทูตนอกอาณาเขต ? เจ้าคิดหรือว่าอิซานามิจะสามารถช่วยปกป้องเจ้าได้ ?” ฉินเย่เอ่ยออกมาอย่างเหยียดหยาม “มันไม่ใช่ความผิดของเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างที่อัปลักษณ์ แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่จะออกมาหลอกให้ผู้คนตื่นกลัวในยามกลางดึกเช่นนี้ ! ดูสิ เจ้าได้ทำลายต้นไม้ที่น่าสงสารพวกนี้ไปจนหมด เจ้าจะชดใช้ให้เราอย่างไรกัน ?”

ครื่นนน !

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น และแม้แต่พื้นที่ซึ่งอยู่โดยรอบพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะสั่นไหวเล็กน้อย ผลจากการปะทะทำให้เกิดคลื่นพลังหยินที่น่าสะพรึงกลัวกระจายตัวออกไปรอบๆ โมริรันมารุกระเด็นกลับไปด้วยเสียงร้องครวญครางที่ดังสนั่น กระแทกเข้ากับป้าหลุมศพจำนวนนับไม้ถ้วนและทำให้พวกมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้แต่ฉินเย่เองก็พบว่าตนถูกกระแทกจนถอยหลังไปประมาณห้าก้าวเช่นกัน

นี่มันเรื่องบ้าอะไร ?

เด็กหนุ่มก้มมองมือของตนอย่างเหลือเชื่อ

ท่าไม้ตายปิดจบหายไปไหน ?

มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำแล้ว ทำไมเขาถึงไม่สามารถกำจัดวิญญาณร้ายตนนี้ได้ในการโจมตีเดียว ? หรือว่าต้นไม้แห่งพรสวรรค์ของเขาจะถูกล็อกเสียแล้ว ? ดูเหมือนมันคงจะถึงเวลาที่ต้องล่าถอยเสียแล้ว…

จากนั้น ขณะที่ฉินเย่กำลังหาโอกาสที่จะหลบหนี ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้….

ว่าโมริรันมารุคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่

ทันทีที่เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ฝ่ายตรงข้ามก็พุ่งเข้าหาเขาอีกครั้ง และครั้งนี้ โมริรันมารุก็ชักดาบคาตานะที่แขวนอยู่ที่เอวของตนออกมาแล้ว

ชิ้ง ! ใบมีดของดาบเปล่งประกายอย่างน่ากลัวภายใต้แสงจันทร์ ไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เริ่มเหวี่ยงแขนของตนอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นวงแหวนมายาที่วาวขึ้นรอบตัว ตัดผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า จากนั้น พร้อมกับเสียงร้องที่ดังสนั่น ภาพวงแหวนดังกล่าวพลันเปลี่ยนเป็นเสาขนาดใหญ่ขณะที่พุ่งไปที่ศีรษะของฉินเย่

ครื่นนนน ! แรงกดดันของดาบได้บดขยี้ป้ายหลุมศพทั้งหมดที่มันตัดผ่าน ในขณะที่ฉินเย่เองก็โกรธจนริมฝีปากเริ่มสั่นระริก – นี่เจ้ารู้จักอ่านสถานการณ์บ้างหรือไม่ ? ข้ากำลังจะถอย แต่เจ้ากลับบังคับให้ข้าต้องอยู่ต่อเนี่ยนะ ?! เอาล่ะ อย่ามาโทษข้าก็แล้วกันที่ไม่ยั้งมือ ข้าจะบอกอะไรให้นะ – แม้แต่ข้าเองยังตกใจกลัวตัวเองตอนที่ตัวเองเข้าสู่โหมดจริงจัง !

เมื่อแสงจากใบมีดเข้ามาใกล้ ฉินเย่ก็ตวัดแขนของตนขึ้นด้วยแรงอันมหาศาล พร้อมกับเสียงปะทะที่ดังลั่น ประกายแสงมีดที่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งพลันแตกสลายราวกับกลุ่มดวงดาวบนฟากฟ้า เช่นเดียวกับดาบคาตานะในมือของโมริรันมารุเองก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ในแทบจะทันทีเช่นกัน

โฮกกกกก ! วิญญาณร้ายตรงหน้ากรีดร้องออกมาและพุ่งถอยหลังไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แต่ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ประกายแสงสีม่วงพลันปรากฏขึ้นเหนือพื้นที่บริเวณโซน D และพุ่งลงมาที่ร่างของโมริรันมารุราวกับสายฟ้าฟาด !

มันคือ… ลูกธนู

ลูกธนูที่ถูกยิงมาจากคันธนู สิ่งที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในสมัยนี้ ลูกธนูแต่ละลูกถูกอาบไปด้วยพลังสีม่วงอ่อนและมียันต์ที่ติดไฟผูกไว้ที่ปลายของมัน

มีคนอื่นอยู่ที่นี่ !

เพราะว่าอยู่ขั้นยมทูตขาวดำ ฉินเย่จึงสามารถตามความเร็วของลูกธนูดังกล่าวได้ทันและเขาก็สามารถบอกได้ว่าพลังที่อาบลูกธนูพวกนั้นอยู่ก็คือ… พลังปราณ !

พวกผู้ฝึกตนเพิ่งมาถึงอย่างนั้นหรือ… ผิดแล้ว…

“รออยู่นานแล้วสินะ ?” พลังหยินไหลไปทั่วร่างและพุ่งไปด้านข้างทันที จากนั้นเมื่อเขามองไปยังพื้นที่โซน D ฉินเย่ก็เห็นเงาดำจำนวนหนึ่งถือคันธนูและยิงลงมาที่ตำแหน่งของพวกเขา

แต่เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือโม่ริรันมารุ

ฉึก ! ลูกธนูปักลงที่พื้นและยันต์ที่ถูกผูกติดไว้ก็ระเบิดออก เกิดเป็นสัญลักษณ์แปลกประหลาดที่ถูกสลักอยู่บนพื้น ทันใดนั้นเองสายฝนลูกธนูที่เหลืออยู่ก็ถูกยิงลงมาพร้อมกัน ก่อเป็นอาณาเขตเวทรอบร่างของโมริรันมารุทันที

“อาณาเขตเวท… อักขระพวกนี้… ภาษาญี่ปุ่น ?” ฉินเย่รู้สึกดีมากที่มีใครบางคนทำงานทั้งหมดแทนเขาและเขาก็มองดูการเผชิญหน้าของทั้งสองฝ่ายอย่างสนใจ ยิ่งลูกธนูถูกยิ่งลงมาที่พื้นมากเท่าไหร่ อาณาเขตเวทก็ยิ่งชัดขึ้นและชัดขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นขณะที่อาณาเขตเวทกำลังจะทำงาน โมริรันมารุก็กรีดร้องออกมาเสียงดังสนั่นและร่างของเขาก็ระเบิดออกเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่มุดลงพื้นดินและหายไปอย่างรวดเร็ว

“น่าเสียดายจริง ๆ” เสียงหนึ่งดังขึ้นให้ได้ยินจากโซน C “สมกับเป็นวิญญาณอายุ 400 ปี อาณาเขตเวทชั่วคราวไม่สามารถกักขังมันไว้ได้”

พร้อมกับเสียงถอนหายใจเบา ๆ ร่างนั้นค่อย ๆ เดินลงบันไดไป ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ… ฉินเย่ได้ยินเสียงดึงสายธนูดังขึ้น และทันใดนั้นเขาก็พบว่า… ลูกธนูทั้งหมดได้พุ่งเป้ามาที่พวกเขาแทนเสียแล้ว !

ฟึ่บ… คบไฟอันหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่โซน C สว่างขึ้น จากนั้นก็ตามมาด้วยอันที่สอง และสาม… ภายในไม่กี่วินาที คบไฟหลายสิบอันก็ถูกจุดขึ้น และฉินเย่ก็สามารถบอกได้จากการกวาดสายตามองเพียงครั้งเดียวว่าเวลานี้กลุ่มคนมากกว่า 50 รวมตัวกันในความมืดและล้อมรอบพวกเขาอยู่ !

ทั้งหมดต่างสวมหน้ากากเท็งงุสีแดงและแต่งกายด้วยชุดฮาโอริสีขาว หมวกคันมูริสีดำสนิทและยังสวมปีกนกอยู่บริเวณหลังอีกด้วย มันสมจริงเสียจนดูราวกับพวกเขาคือเท็งงุจริง ๆ หน้ากากที่น่ากลัวพวกนั้นยื่นออกมาจากด้านหลังของป้ายหลุมศพขณะที่ปลายลูกธนูวาววาบขึ้นภายใต้แสงของคบไฟ มันแทบจะเหมือนกับว่าฉินเย่ถูกเคลื่อนมาที่ยมโลกของญี่ปุ่นก็มิปาน

“กองกำลังเท็งงงุจากตระกูลคาโม่” ร่าง ๆ หนึ่งไล่มือไปตามราวบันไดช้า ๆ ขณะที่เขาเดินออกมาจากมุมมืดของพื้นที่โซน D “คุณไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรครับ ที่พวกเราข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงที่นี่ก็เพื่อตามหาสิ่ง ๆ เดียวเท่านั้น”

ครู่ต่อมา ร่างที่เดินออกมาจากเงามืดก็ทำให้ฉินเย่ต้องตกตะลึง และที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะชายที่อยู่ตรงหน้านั้นดูหนุ่มกว่าที่เขาคิดไว้มาก

อีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณ 20 กลาง ๆ เท่านั้น เขาสวมชุดสูทแข็งและถือพัดด้ามเล็กไว้ในมือ นอกจากนี้ฉินเย่ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาได้อีกด้วย ชายผู้นี้ไม่ได้อ่อนแอ และเขาก็น่าจะมีฝีมือไม่ต่างจากหลินฮั่นเท่าไหร่นัก

“คุณเป็นใคร ?” ฉินเย่เอนตัวพิงป้ายหลุมศพและถามเบาๆ

ไอ้หนู… กล้าไม่เบานี่ อากาศในฤดูใบไม้ผลินั้นค่อนข้างเย็น แต่นายก็ยังพัดไปมาด้วยท่าทีแบบนั้น ? ฉันควรจะทำอย่างไรกับนายดี ?

“ผมชื่อคาโม่ ทาดายูกิ หัวหน้าตระกูลคาโม่คนปัจจุบัน” แม้ว่ากิริยาท่าทางของเขาจะดูอวดดี แต่ชายหนุ่มก็เอ่ยด้วยมารยาทของผู้ที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี “หากคุณผู้ชายไม่เป็นอะไร ผมอยากจะขอรบกวนให้คุณออกไปจากบริเวณนี้ก่อนได้หรือไม่ ? พอดีผมมีธุระส่วนตัวที่จะคุยกับคุณไป๋ที่หลบอยู่ตรงนั้น”

ฉินเย่แย้มยิ้ม “ผมสามารถทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องอื่น ๆ และออกไปจากที่นี่ได้ แต่ผมต้องยืนยันเรื่องหนึ่งให้แน่ใจเสียก่อน…”

เขาจ้องเข้าไปในตาของทาดายูกิ “ธุระส่วนตัวของคุณเกี่ยวข้องกับถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีหรือเปล่า ?”

ทาดายูกิยังคงรักษาสีหน้านิ่งสงบยังเดิม ทว่าแววตาของเขากลับแข็งกร้าวขึ้นหลายเท่าเมื่อสบตากลับ “ถ้าเกี่ยวแล้วอย่างไร ? ถ้าไม่เกี่ยวแล้วอย่างไร ?”

“หากเกี่ยว ผมก็คงจะต้องเข้าไปยุ่งเรื่องของคุณกับเขาอย่างไม่เต็มใจ แต่ถ้าไม่… ผมก็คงจะถอยไปรออยู่ด้านหลังอย่างเต็มใจ เพราะอย่างไรแล้ว ตัวผมเองก็ยังคุยธุระกับเขาไม่เสร็จเช่นกัน” ฉินเย่อ้าปากหาวและตอบออกไปอย่างเกียจคร้าน

มันไม่ใช่ว่าฉันดูถูกนายหรืออะไรนะ

แต่นายเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณที่นำกลุ่มผู้ฝึกตนญี่ปุ่นที่ยังไม่ขึ้นเป็นขั้นยมเทพด้วยซ้ำ นายคิดว่าฉันเป็นอะไร ? ก้อนดินโคลนหรือไง ? นายอาจจะร้องไห้โฮเอาได้หากฉันเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองตอนนี้ ! หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าฉันพยายามทำตัวให้ไม่เป็นที่สังเกต นายคิดเหรอว่านายจะยังได้ยืนอยู่เฉย ๆ และใช้พัดในมือพัดไปมาได้ ?

ทาดายูกิยังคงเงียบและขยับพัดในมือเบา ๆ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยถามด้วยเสียงเรียบนิ่ง “คุณเองก็สนใจในถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีเช่นกันหรือครับ ?”

โดยไม่เว้นจังหวะ เขาเอ่ยต่อ “คุณเป็นตัวแทนของฝ่ายไหน ? โลกแห่งการบ่มเพาะของแผ่นดินจีนอย่างนั้นเหรอ ? ด้วยความเคารพนะครับ แต่สิ่งนี่คือสมบัติของชาติผม และพวกเราก็ไม่สามารถปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือคนอื่นได้ นอกจากนี้ การมีอยู่ของมันก็อันตรายมากกว่าที่คุณคิด และคุณเองก็ไม่รู้วิธีปลดผนึกนี่ด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้ว… ทำไมคุณถึงไม่ถอยไปและปล่อยให้ผมได้มันไปแทนล่ะ ? แล้วผมจะมอบรางวัลตอบแทนให้คุณอย่างงาม”

ฮ่า ๆๆๆ… ฉินเย่อยากจะหัวเราะใส่หน้าอีกฝ่าย ตอบแทนอย่างงาม ? รางวัลตอบแทนอย่างงามจะไปเทียบกับการได้วิญญาณของโอดะโนบูนางะมาครองได้อย่างไร ? นอกจากนี้นายไม่คิดว่าตัวเองกำลังดูถูกยมโลกเกินไปหรืออย่างไร ? แผ่นดินนี้คือสถานที่ซึ่งแนวคิดเรื่องหยินหยาง และศาสตร์แห่งฮวงจุ๊ยได้ถือกำเนิดขึ้น แต่นายกลับคิดว่าฉันจะไม่สามารถคลายอาณาเขตเวทง่าย ๆ นี่ได้เนี่ยนะ ?

ทาดายูกิที่รัก ฉันเกรงว่าสิ่งเดียวที่ฉันไม่สามารถคลายได้ก็คือปมในใจของนาย !

ชายหนุ่มมองหน้าฉินเย่ “สองล้านหยวน หากคุณยอมออกไปตอนนี้ผมจะเขียนเช็คเงินสดให้คุณทันที เช็คนี้จะถูกออกภายใต้ชื่อของสมาคมการเงินมิตซูบิชิ และมันก็สามารถนำไปขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ทั่วโลก”

ฉินเย่เงียบไปทันที

คนพวกนี้รวยจนสมควรตาย… แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นด้วยข้อเสนอของอีกฝ่ายกัน….

แต่ถึงกระนั้นฉินเย่ก็ยังคงส่ายหน้าไปมา

“ขอโทษด้วย แต่ผมเองก็สนใจในถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีมากเช่นกัน”

“อย่างนี้นี่เอง…” ทาดายูกิพยักหน้าและเอ่ยกับตัวเอง “คุณแทนตัวเองว่า ‘ผม’ มาตั้งแต่ที่เราพบกันแทนที่จะใช้คำว่า ‘เรา’ นั่นทำให้ผมรู้ทันทีว่าคุณไม่ได้เป็นตัวแทนของฝ่ายไหนเลย และมันก็ไม่มีฝ่ายไหนคอยสนับสนุนคุณอยู่เช่นกัน ในอีกด้านหนึ่ง ผมขอบอกให้คุณทราบไว้ว่าทางโลกแห่งการบ่มเพาะของญี่ปุ่นได้ร่างสัญญากับโลกแห่งการบ่มเพาะทั่วโลกสำหรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว และเพื่อการนี้… ทางเราก็ได้สูญเสียเงินไปเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะทำให้แน่ใจว่าโลกแห่งการบ่มเพาะของจีนจะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยว หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ตอนนี้ไม่มีกองกำลังฝ่ายไหนหนุนหลังคุณอยู่เลยนั่นเอง”

“เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องยั้งมือ…” เขาถอนหายใจออกมาเบา ๆ และทันใดนั้นร่างของเขาก็ลอยขึ้นราวกับนกกระเรียนตัวใหญ่ขณะที่เอ่ยสั่งเสียงเบา “ฆ่าเขาซะ”

วินาทีต่อมา ลูกธนูจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกยิ่งลงมาใส่บริเวณที่ฉินเย่ยืนอยู่ !

[1] เหรียญเงินที่ใช้เพื่อการค้าต่างประเทศ นอกจากนี้มันยังถูกใช้เป็นลายบนธงของโอดะโนบูนางะอีกด้วย