บทที่ 229 คำตัดสินของฮ่องเต้

คู่ชะตาบันดาลรัก

เสวียนตูกวันตั้งอยู่ในพื้นที่สูง หอเหวินเต้าอยู่บนจุดสูงสุดซึ่งแม้แต่ผู้คนที่อยู่รอบนอกก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน

หมิงเวยมองเห็นร่มสีทองตั้งอยู่หน้าวิหารแต่ไกลจึงรู้ว่าฮ่องเต้ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ถัดจากรถม้าพระที่นั่งก็เป็นกระโจมประดับ องครักษ์พาครอบครัวตระกูลจี้ไปยังที่นั่งที่อยู่ด้านท้าย

ซึ่งทางฝั่งซ้ายขวามีคนอยู่ก่อนแล้วเมื่อตระกูลจี้มาถึงพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะทักทาย การทักทายนี้ทำให้จี้ฮูหยินรู้สึกตกใจ

ด้านซ้ายคือตระกูลเจียโผ ด้านขวาคือพระญาติของสมาชิกในราชวงศ์

ถึงแม้ตระกูลเจียโผจะไม่มีอำนาจในตอนนี้เป็นพระญาติที่ห่างจากสายเลือดโดยตรงค่อนข้างไกล แต่เมื่อเทียบกับตระกูลของตนแล้วก็ถือว่าแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย

จี้ฮูหยินกระซิบคุยกับสามี “ที่ตรงนี้เป็นของพวกเราจริงๆ หรือเจ้าคะ เกิดความเข้าใจผิดกันหรือไม่”

นายท่านจี้พูดออกไปว่า “ข้าถามไปหลายรอบแล้วเป็นของพวกเราจริงๆ”

จี้หลิงเองก็รู้สึกไม่แน่ใจ แต่เมื่อครู่เห็นหมิงเวยกับจี้เสียวอู่กระซิบกระซาบกันก็เดาได้ว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับพวกเขาจึงบอกไปว่า “ท่านแม่ ในเมื่อมันเป็นที่สำหรับพวกเราก็นั่งด้วยความสบายใจเถอะขอรับมีที่นั่งดีๆ แต่ไม่นั่งคงเป็นคนโง่เขลาแล้ว”

จี้ฮูหยินพูด “ข้าแค่กังวลว่าที่นั่งดีๆ นี้จะไม่ควรนั่งก็เท่านั้น”

“วางใจเถอะขอรับมันไม่ใช่สิ่งที่เราร้องขอเสียหน่อย” พูดแล้วจี้หลิงก็เหลือบมองกลับไป หมิงเวยถูกอีกฝ่ายจ้องมองก็คิดว่าพี่ใหญ่ก็คือพี่ใหญ่ความคิดของเขาเฉียบคมเสมอ

ไม่นานพิธีกรรมก็เริ่มขึ้นมีคนออกมาจากร่มสีทองอร่าม ขุนนางชั้นสูงทั้งหลายถวายบังคมพร้อมกล่าวคำว่าหมื่นปีสามครั้ง แล้วหมิงเวยก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของเหวินตี้

ถึงจะอยู่ห่างไกลจนมองเห็นไม่ชัดเจน แต่รู้สึกได้ว่าพระองค์เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ดูใจดีมีเมตตา บรรยากาศโดยรอบเสมือนดั่งเมฆฝนอึมครึม แต่เพียงแค่อีกฝ่ายปรากฏตัวทุกอย่างก็ดูสว่างไสวไปหมด

นี่คือฮ่องเต้แห่งโชคชะตา

ความรู้สึกของหมิงเวยมากมายหลายอย่างมากจนไม่อาจที่จะอธิบายได้ ในยุคสมัยของนางเคยแอบมองโม่ตี้กับท่านอาจารย์ นางจำได้ว่าในคืนนั้นที่กลับมา ท่านอาจารย์เดินไปเดินมาทั้งคืนไม่ได้นอนเลยสักนิด

นางถามท่านอาจารย์ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาบอกว่าแคว้นกำลังจะล่มสลาย

ในตอนนั้นนางเพิ่งจะอายุสิบปีห่างจากช่วงเวลาที่ฉีเหนือล่มสลายไม่กี่ปี

โชคชะตาของโม่ตี้อ่อนแอมาก พวกเขาประคับประคองมาเป็นเวลาสิบกว่าปีและในที่สุดก็มาถึงจุดจบ เสียงดนตรีดังขึ้นแล้วนักพรตของเสวียนตูกวันในชุดพิธีกรรมเดินออกมาจากด้านในและขึ้นมาบนเวทีเพื่ออธิษฐานขอพร

หมิงเวยสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนสาวใช้ที่มารินชาให้นางต้องดึงแขนเสื้อเบาๆ

หมิงเวยหันหน้ามาสาวใช้หันข้างเล็กน้อยแล้วชี้ไปข้างหลัง หมิงเวยหันไปคุยกับจี้ฮูหยินแล้วพาตัวฝูไปด้านหลัง

พอนางเดินออกไปจี้เสียวอู่ก็นั่งไม่ติด “ข้าไปด้วย!”

จี้ฮูหยินแปลกใจ “แค่ห้องน้ำยังต้องไปด้วยหรือ เสียวอู่โง่หรือเปล่า”

สะใภ้ใหญ่ยิ้มก่อนเอ่ย “พวกเขารู้สึกดีต่อกันไม่ดีหรือเจ้าคะ”

จี้ฮูหยินรู้สึกยินดี “จริงด้วย ก่อนหน้านี้กลัวว่าเสียวอู่จะทำให้คนอื่นหวาดกลัว แต่พอเสี่ยวชีเข้ามาเขาก็ดีขึ้น”

“จริงเจ้าค่ะ ไม่เพียงแต่ได้รับตำแหน่ง แต่ยังสามารถจัดการเรื่องทางการได้ น้องเขยแค่ขาดคนดูแลน่าเสียดายที่น้องหญิงยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่เช่นนั้นคงจัดงานแต่งให้พวกเขาแล้ว ท่านแม่วางใจเถอะเจ้าค่ะ”

จี้หลิงฟังแล้วก็สงสัย เขาไม่แปลกใจที่เสียวอู่ถูกควบคุม แต่ที่เขาแปลกใจก็คือจนถึงตอนนี้น้องหญิงยังไม่พูดเรื่องถอนหมั้นเลย หรือนางจะชอบเสียวอู่เข้าแล้วจริงๆ

เมื่อคิดดูอีกทีปกติพวกเขาก็เข้ากันได้ดี แต่รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง คนอย่างน้องหญิงจะไปชอบเสียวอู่ได้อย่างไร ดูเหมือนแกล้งล้อเล่นกันเสียมากกว่า…

“ตัวฝู เจ้าจำทางเอาไว้” หมิงเวยพูดเสียงเบา

พวกนางเดินตามสาวใช้นางนั้น พอเดินไปได้สักพักก็ออกจากตัววัดอารามเลี้ยวเข้าสู่เส้นทางเล็กๆ

“คุณหนู ที่นี่ลับตาคนมากเลยเจ้าค่ะ” ตัวฝูพูดเสียงเบา

ที่นี่ถือได้ว่าเป็นภูเขาด้านหลังของเสวียนตูกวัน หมิงเวยไม่พูดอะไร นางเอาแต่เดินตามสาวใช้ไปตลอดทาง ในที่สุดก็เห็นกระท่อมสองสามหลังอยู่ไกลๆ

เมื่อเดินมาถึงหน้ากระท่อม สาวใช้หันกลับมาคารวะนางแล้วเดินกลับไปทางเดิม

หมิงเวยเปิดรั้วเข้าไปยังลานบ้าน คนที่ออกมาไม่ใช่หยางชูแต่เป็นหนิงซิว

“คารวะ อาจารย์” หมิงเวยย่อกายทำความเคารพ

หนิงซิวพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เขายังปลีกตัวออกมาไม่ได้จึงให้ข้ามารอที่นี่” หมิงเวยหันศีรษะและชำเลืองมองไปรอบๆ

หนิงซิวพูดว่า “ท่านอาจารย์มาจากเสวียนตูกวัน ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของท่านซึ่งมีความปลอดภัยมาก” เขาชะงักและพูดต่อไปว่า “ยกเว้นหางที่อยู่หลังเจ้า”

พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นชี้จากนั้นก็เกิดลมพัดแรงพร้อมกับเสียง ‘ไอหยา’ เป็นจี้เสียวอู่กระโดดออกมาจากพุ่มไม้

“คุณชายห้า!” ตัวฝูรีบวิ่งเข้าไปหาและช่วยประคองอีกฝ่าย

จี้เสียวอู่ลูบสะโพกของตนเองพลางบ่นว่า “ขว้างหินมาได้ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” หนิงซิวมองเขาด้วยสายตาเย็นชา

หมิงเวยบอกต่อว่า “อาจารย์ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าเองเจ้าค่ะ”

“เชื่อได้หรือ” เขาถามกลับ

หมิงเวยยิ้ม “ถ้าเขาไม่น่าเชื่อถือข้าคงจับเขาออกไปนานแล้ว”

จี้เสียวอู่ถามด้วยความแปลกใจ “เจ้ารู้ว่าข้าตามหลังเจ้ามางั้นหรือ”

หมิงเวยมองเขาแต่ไม่ตอบอะไร

ส่วนหนิงซิวไม่คิดจะยุ่งเขาพูดต่อว่า “ศิษย์น้องบอกกับข้าว่า เจ้าต้องการของสองอย่างจากเสวียนตูกวัน ของอีกอย่างเรายังไม่มีเบาะแส แต่ดอกถานเชิง พวกเรามีโอกาสที่จะได้มันในวันนี้”

“อ้อ แล้วมันอยู่ที่ไหนงั้นหรือเจ้าคะ”

…………

หมิงเวยและจี้เสียวอู่เดินกลับมาด้วยกัน สะใภ้ใหญ่ยิ้มให้พวกเขา “พวกเจ้าไปห้องน้ำกันนานมาก” จี้เสียวอู่ร้องอ้อแล้วกลับไปนั่งที่ของตนเอง

สะใภ้ใหญ่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางของเขา “น้องเขยเป็นอะไรหรือ วันนี้ดูไม่มีชีวิตชีวาเลยไม่สบายหรือเปล่า”

จี้เสียวอู่ยังคงไม่ตอบอะไร

หมิงเวยตอบ “คงเป็นเพราะตอนที่ไปห้องน้ำเมื่อครู่ไม่ระวังศีรษะเลยกระแทกหินเข้าเลยโง่เจ้าค่ะ”

“….”

เมื่อสิ้นสุดการกล่าวอวยพรเหล่าผู้อาวุโสของเสวียนตูกวันเดินแถวออกมาหยุดต่อหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้และคุกเข่าลง “ทูลฝ่าบาท วันนี้เสวียนตูกวันมีเรื่องที่แก้ไม่ออกจึงโปรดให้ฝ่าบาทช่วยทำการตัดสินใจพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ยิ้ม “มีเรื่องอะไรกล่าวออกมาเถอะ”

ผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักซูสิงจากไปนานกว่าครึ่งปีแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักจึงว่างวันนี้มีลูกศิษย์สองคนที่เป็นศิษย์ของเจ้าสำนักคนก่อน ไม่รู้ว่าจะเลือกผู้ใดรับตำแหน่งดีจึงเรียนฝ่าบาทโปรดช่วยคัดเลือกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

กล่าวจบเสวียนชื่อแห่งเสวียนตูกวันสองนายก้าวเท้ามาข้างหน้าแล้วก้มลงหมอบ “ถวายบังคมฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ถามว่า “ตำแหน่งเจ้าสำนัก มีกฎเกณฑ์อยู่แล้ว เหตุใดถึงเลือกไม่ได้เล่า”

ผู้อาวุโสตอบว่า “ทูลฝ่าบาท เจ้าสำนักซูสิงเคยสั่งให้เสวียนเฟยเดินทางไปทั่วยุทธภพ ตามกฎแล้วเจ้าสำนักคนต่อไปจำเป็นต้องเดินทางไปรอบๆ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ประสบการณ์ ดังนั้นกระหม่อมและคนอื่นๆ คิดว่าเจ้าสำนักซูสิงต้องการให้เสวียนเฟยเป็นเจ้าสำนักคนต่อไป อย่างไรก็ตามในช่วงสองปีที่เสวียนเฟยออกเดินทาง ก่อนที่เจ้าสำนักซูสิงจะมรณะไปได้เรียนอวี้หยางผู้เป็นศิษย์คนแรก สั่งเสียให้เขาดูแลพี่น้องทุกคน กระหม่อมและคนอื่นจึงไม่แน่ใจว่าเจ้าสำนักซูสิงเปลี่ยนความตั้งใจหรือไม่ อีกทั้งศิษย์ทั้งสองของเขาล้วนมีความโดดเด่นจนยากที่จะเลือกจึงทำได้เพียงทูลเชิญฝ่าบาทให้ช่วยคัดเลือกพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “เป็นเรื่องยากที่จะจัดการจริงๆ ซูสิงไม่ทิ้งคำสั่งเสียไว้เลยหรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนจะไม่ทันการ”

ฮ่องเต้กล่าวว่า “บ้านเมืองมีขื่อมีแป สำนักเองก็เช่นกัน ตามกฎของเสวียนตูกวันใช้หลักเกณฑ์อะไรในการเลือกเจ้าสำนักกัน”

ผู้อาวุโสตอบกลับ “ตามปกติแล้วผู้ที่มีพลังมากที่สุด และรอบรู้คุณธรรมพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ทำตามนี้ เจิ้นจะอยู่เป็นประจักษ์พยานให้เอง”

…………..