“สรวงสวรรค์ประทานพร ท้องนภาแจ่มใส จักรวรรดิรุ่งเรือง ความสงบสุขแผ่ไปทั่วหล้า วันนี้เป็นวันแห่งความรุ่งโรจน์ เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของจักรวรรดิ และเพื่อเป็นเวทีการแสดงออกของเหล่าอัศวิน เราจึงได้จัดการประลองยุทธ์ขึ้น! แม้การสร้างพันธมิตรผ่านการต่อสู้จะเป็นสิ่งดี ทว่าผู้มีความสามารถสิบอันดับแรกจะได้รับยศตำแหน่ง องค์จักรพรรดิและองค์หญิงอินจะทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง มีผู้เข้าร่วมทั้งสิ้นสี่สิบเจ็ดท่าน ซึ่งเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นจากสิบสองมณฑล เอาล่ะ นำรายชื่อทองคำขึ้นมาได้”
หลังจากผู้ดูแลอ่านคําประกาศิตจบ ก็มีองครักษ์รักษาพระองค์สองนายนำแผ่นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาบนลานประลองซึ่งมีรายชื่อการจับคู่ของทั้งสี่สิบเจ็ดคนเขียนอยู่ หลินมู่อวี่มองขึ้นไปก็รู้สึกโชคดีที่ไม่ได้คู่กับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน เฟิงจี้สิง ฉินเหลย และคนอื่นๆ ที่เขารู้จัก หลินมู่อวี่ได้คู่กับจอมยุทธ์ท่านหนึ่งนามว่า ‘โอวหยางจิงเทียน’ ซึ่งไม่ทราบที่มา คงทำได้เพียงต้องเอาชนะเท่านั้น
‘ตึง ตึง ตึง…’
เสียงกลองศึกดังขึ้นด้านข้าง ทำให้ทั้งลานปกคลุมไปด้วยจิตสังหารตลบอบอวลทันที เหล่านักรบมารวมตัวกันและแสดงตัวกับผู้ดูแลของตำหนักเจ๋อเทียนก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น กระบวนการนี้ค่อนข้างซับซ้อน ทว่าหลินมู่อวี่ก็นั่งรอที่บันไดหินมองดูเหล่าขุนนางรอบลานประลองอย่างอดทน
อัฒจันทร์ผู้ชมล้อมรอบลานประลองเป็นรูปใบพัด ฉินจิ้นและฉินอินนั่งตรงกลางภายใต้การอารักขาขององครักษ์อวี้หลินและชวีฉู่ ทั้งสองข้างมีเหล่าทหารและขุนนางพร้อมภรรยาสวมชุดขนจิ้งจอกรอรับชมการแข่งขันอย่างตื่นเต้น ขณะที่พวกเขาสั่งคนรับใช้ยกผลไม้และชามาให้เป็นครั้งคราว ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับโคลอสเซียม
หลินมู่อวี่แอบหัวเราะ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้คนเช่นนี้
ไม่นานผู้ดูแลก็ประกาศเสียงดัง “การประลองยุทธ์เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ในรอบแรกและนัดแรก เป็นผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์เฟิงจี้สิง พบกับจอมยุทธ์จากเมืองสายัณห์มณฑลชุนไป๋…หลัวจิงเทียน!”
เฟิงจี้สิงถือดาบเข้ามาและกระโดดขึ้นลานประลองด้วยท่าทางเฉยเมย มีแสงสีม่วงพร้อมสายฟ้าปรากฏรอบดาบสะบั้นวาโย ก่อนจะปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์หมาป่าเพลิงสายฟ้าสีม่วง ซึ่งบอกเป็นนัยว่าจะใช้พละกำลังทั้งหมดในการประลองยุทธ์ครั้งนี้!
แม้หลัวจิงเทียนจะมีอายุน้อยกว่าสามสิบห้าปี แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เขาประสานมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องเจอท่านผู้บัญชาการเฟิงในรอบแรก ข้าน้อยคงต้องลำบากเสียแล้ว!”
เฟิงจี้สิงเผยยิ้มจางๆ “ขอต้อนรับท่านนายพลหลัวจิงเทียนสู่การท่องยุทธภพในเมืองหลันเยี่ยนวันแรก”
หลัวจิงเทียน “…”
จากนั้นการต่อสู้ก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เฟิงจี้สิงส่งหลัวจิงเทียนตกลานประลองด้วยสามกระบวนท่าของเพลงดาบเก้าวายุ หลัวจิงเทียนประสานมือใต้เวที “จนกว่าจะพบกันอีกใหม่!”
เฟิงจี้สิงประสานมือกล่าวอย่างเคารพ “ท่านออมมือให้ข้า!”
…
หลินมู่อวี่ยืนรวมกับผู้ชม “พี่เฟิงแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากเข้าสู่ขอบเขตนภาชั้นที่สอง!
ฉินเหลยที่นั่งอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้น “เฟิงจี้สิง เพลงดาบของเจ้าเด็กนี่เป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ไม่แปลกใจที่จัดการหลัวจิงเทียนได้ในสามกระบวนท่า สำหรับฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนที่ไม่ต้องต่อสู้ในรอบแรกนั้น…ช่างน่าอิจฉาจริงๆ!”
ฮู่ฮว๋ายเหมี่ยนอยู่ในอาการตกตะลึงขณะที่มองออกไป ทิศทางนั้นมีเด็กสาวรูปงามนางหนึ่งจ้องมองเขาอยู่ มิใช่ใครอื่นนอกจากเจิ้งเซียงซึ่งนั่งข้างเจิ้งอี้ฝานและเจิ้งฟาง คุณหนูแห่งจวนเสินโหว!
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม “มีบางคนใจลอยออกไปแล้ว”
ขณะเดียวกันเฟิงจี้สิงก็กลับมาพร้อมดาบ ก่อนจะหันมองฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนอย่างดูถูก “น้องฉู่ของเราผู้ไม่เคยสนใจโลกภายนอกกำลังมีความรักหวานซึ้งเช่นนี้…มันทำให้ข้าขนลุกเสียจริง”
ฉินเหลยยิ้มยิงฟัน
หลินมู่อวี่เองก็ระเบิดหัวเราะออกมา ขณะเดียวกันก็มีผู้หนึ่งเดินเข้ามา นั่นคือฉินเหยียนที่สวมชุดศึกครูฝึกระดับดาวสีทองของวิหาร
“ท่านพี่! พี่อาอวี่ก็อยู่ที่นี่ด้วย!”
“อาเหยียน เจ้าอยู่ที่นี่หรือ?” ฉินเหลยพูดทั้งรอยยิ้ม “อีกนานเพียงใดกว่าจะถึงตาเจ้า?”
“ข้าอยู่รอบที่เจ็ด จึงมีเวลามาก”
“อื้ม”
กลุ่มจอมยุทธ์รวมตัวกันเป็นที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คน หญิงสาวจากหลายตระกูลชายตามอง ซึ่งอาจมีชายหนุ่มที่หมายปองของพวกนางอยู่ในกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนผู้หล่อเหลา เฟิงจี้สิงหนุ่มเลือดร้อน หรือผู้มีความสามารถราวฟ้าประทานพรอย่างหลินมู่อวี่ เป็นเหตุให้เด็กสาวมากมายต่างหลงใหลชื่นชม ทว่าจอมยุทธ์เหล่านี้มิได้สนใจหรือแม้แต่เหลือบมองเด็กสาวผู้สูงศักดิ์เลย
ในรอบแรกนัดที่สามเป็นตาของฉินเหลย การเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตนภาชั้นที่สองก็แข็งแกร่งมากแล้ว แทบไม่ต้องพูดถึงวิญญาณยุทธ์โซ่เทวะระดับหนึ่งของเขา เพียงตวัดดาบอัสนีทลายครั้งเดียวก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย หากฉินเหลยไม่ยั้งมือเสียก่อน…ฝ่ายตรงข้ามคงหัวขาดเป็นแน่
ไม่นานฉินเหยียนก็ขึ้นลานประลอง วิญญาณยุทธ์ปราการเกล็ดมังกรของเขาโอ่อ่ามาก แม้คู่ต่อสู้จะโจมตีอย่างดุเดือดถึงแปดครั้ง ก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้ฉินเหยียนได้เลย จากนั้นฉินเหยียนก็โจมตีกลับอย่างรวดเร็วสองครั้งติดจนศัตรูต้องพ่ายแพ้ไป
“ถังปินแห่งเมืองชีไห่กำลังขึ้นลานประลอง” เฟิงจี้สิงเผยยิ้ม “ผนึกจิ้งจอกอัคนีแห่งตระกูลถังผู้เลื่องชื่อ เจ้าต้องระวังตัวหากต้องเจอถังปิน ในการประลองยุทธ์เมื่อสามปีก่อนเขาเกือบเอาชนะข้าด้วยผนึกจิ้งจอกอัคนี ลือกันว่า…ผนึกจิ้งจอกอัคนีของถังปินเข้าสู่ระดับเจ็ดแล้ว เขายังอยู่ระดับห้าเมื่อสามปีก่อน ปีนี้ถังปินคงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าเกรงขามอย่างมาก”
หลินมู่อวี่ ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน และฉินเหยียนพยักหน้ารับพร้อมกัน “อื้ม”
ฉินเหลยยิ้มอย่างสบายใจ “คนเช่นนี้…สามารถโลดแล่นแค่ในเมืองชีไห่เท่านั้น เมื่อมาเยือนเมืองหลันเยี่ยนก็มีจอมยุทธ์มากกว่าสิบคนที่สามารถเอาชนะเขาได้ เฟิงจี้สิงเหตุใดจึงหวั่นเกรงถึงเพียงนั้น?”
เฟิงจี้สิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม ทว่ามิได้โต้กลับ ที่ฉินเหลยมั่นใจมากก็เนื่องจากเขามีคุณสมบัติจะรู้สึกเช่นนั้นได้
…
ถังปินขึ้นไปบนลานประลองมือเปล่าด้วยสีหน้าไร้ความปรานี คู่ต่อสู้คือนายทหารที่ถือขวานในมือ เขาเป็นนายพลจากมณฑลทงเทียน และมีดอกจื่อยินสีทองประดับที่ปกเสื้อพร้อมดาวสีทองสองดวง บ่งบอกยศทหารชั้นสูงระดับผู้บัญชาการทหารกองหมื่น!
ถังปินประสานมือและเผยยิ้ม “ท่านนายพลซี โปรดชี้แนะ!”
นายพลซีมิได้กล่าวสิ่งใดและไม่ต้องการเสียเวลา เขาพลันยกขวานพุ่งเข้าหาพร้อมคำรามลั่น ปราณยุทธ์เจือจางปกคลุมไปทั่วพร้อมจิตสังหารที่ส่งไปพร้อมขวาน ทันใดนั้น! ส่วนโค้งของขวานพลันระเบิดขึ้นขณะที่โจมตีใส่หน้าอกถังปิน ทว่าถังปินเอนกายหลบไปด้านหลังทันทีราวกับสะพานโค้งอย่างสวยงาม
‘โฮก!’
วิญญาณยุทธ์จิ้งจอกอัคนีคำรามลั่นขณะที่เปลวเพลิงปกคลุมทั่วรองเท้า ถังปินเตะไปที่ข้อมือของศัตรูจนทำให้ขวานปลิวหลุดไป ‘ชิ้ง’ ก่อนจะกลับมายืนอย่างรวดเร็วพร้อมโจมตีกลับอย่างรุนแรงหลายครั้ง! ‘เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง!’ นายพลซียกแขนขึ้นป้องกันขณะที่เสียงปราณยุทธ์ปะทะกันดังกึกก้อง!
ทั้งคู่อยู่ขอบเขตนภาชั้นที่หนึ่ง ทว่านายพลซีมิได้แข็งแกร่งพอที่จะสู้กลับ เมื่อการป้องกันของเขาถูกทำลาย ถังปินก็ส่งมือขวาซึ่งปรากฏผนึกจิ้งจอกอัคนีขึ้นกลางฝ่ามือออกไปทันที “ผนึกแห่งสวรรค์!”
‘วิ้ง!’
เปลวไฟกระแทกกับหน้าอกนายพลซีและระเบิดออกทันทีจนทำให้ถอยหลังไปหลายก้าว นายพลซีพลันทรุดตัวลงด้วยใบหน้าซีดเซียว ขณะเดียวกันปราณยุทธ์ก็แตกกระจาย เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “ข…ข้าแพ้แล้ว ผนึกจิ้งจอกอัคนีแข็งแกร่งอย่างแท้จริงดังที่กล่าวขาน…”
ถังปินประสานมือกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านออมมือแล้ว”
…
หลินมู่อวี่ขมวดคิ้วแน่น “ผนึกจิ้งจอกอัคนีช่างลึกลับและทรงพลังมาก หากเสี่ยวซีได้รับผนึกจิ้งจอกอัคนีมา คงไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่าเสี่ยวซีหรือถังปินที่แข็งแกร่งกว่ากัน”
เฟิงจี้สิงพูดทั้งรอยยิ้ม “องค์หญิงซีเป็นเด็กสาว นางไม่มีทางฝึกฝนผนึกจิ้งจอกอัคนีได้”
“อืม อาจเป็นได้…”
หลินมู่อวี่หันมองถังเสี่ยวซีที่อยู่ไกลออกไป ก็พบว่านางมองมาที่เขาเช่นกัน หลินมู่อวี่พลันถูจมูกและยิ้มให้ ทว่าเสี่ยวซีก้มหลบทันที ไม่กล้าที่จะมอง ‘เจ้านักเลง’ ที่คอยรบกวนจิตใจนางตลอด
เมื่อถึงรอบที่สิบสามก็ถึงตาหลินมู่อวี่ขึ้นเวที
“อาอวี่ โอวหยางจิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ผู้โด่งดังจากเมืองห้าหุบเขามณฑลชางหนาน เจ้าต้องระวังตัวให้ดี
กล่าวกันว่าเพลงดาบของโอวหยางจิงเทียนยอดเยี่ยมมาก!” เฟิงจี้สิงเตือนด้วยความเป็นห่วง
หลินมู่พยักหน้ารับ “ขอบคุณพี่เฟิงที่เตือนข้า”
ฉินเหลยพูดพร้อมรอยยิ้ม “เฟิงจี้สิงมิต้องกังวลไป เจ้าไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของอาอวี่หรือ? มิสำคัญว่าโอหยางจิงเทียนจะมีทักษะมากเพียงใด ทว่าก็โชคร้ายที่ต้องมาเจออาอวี่!”
ขณะเดียวกันผู้ดูแลก็ขึ้นมาบนลานพร้อมประกาศเสียงดัง “นัดถัดไปคือ ผู้บัญชาการรังอินทรีขององครักษ์รักษาพระองค์หลินมู่อวี่ เจอกับนักดาบผู้เชี่ยวชาญจากมณฑลชางหนานโอวหยางจิงเทียน!”
หลินมู่อวี่ตรงไปยังลานประลองพร้อมถือกระบี่วิญญาณมังกร มีเสียงอึกทึกดังขึ้นมาจากอัฒจันทร์ผู้ชม “โอ้! นั่นหลินมู่อวี่! องครักษ์อวี้หลินผู้พิทักษ์ตำหนักกวางโศกา! ชายหนุ่มรูปงามแข็งแกร่งถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?”
ทักษะชีพจรวิญญาณของหลินมู่อวี่คงแข็งแกร่งขึ้นมากจึงทำให้ได้ยินเหล่าผู้ชมพูด จู่ๆ หลินมู่อวี่ก็รู้สึกหดหู่ใจ เขาทำได้เพียงต้องใช้ความแข็งแกร่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า หลินมู่อวี่มิได้เป็นหนุ่มรูปงามที่อ่อนแอ!
โอวหยางจิงเทียนดูเหมือนคุณลุงอายุกว่าสามสิบปี รูปร่างผอมบาง และมีนิ้วเรียวยาวซึ่งกำลังถือกระบี่ที่เปล่งประกายไปด้วยแสงแห่งจิตวิญญาณ ร่างกายของโอวหยางจิงเทียนปกคลุมไปด้วยรัศมีผู้ชำนาญการ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่น่าเกรงขามในมณฑลชางหนาน ทว่าเมื่ออยู่ในเมืองหลันเยี่ยน เพลงดาบของเขาจะแข็งแกร่งเทียบผู้เฒ่ากระบี่ได้หรือไม่? จตุธาตุควบคุมกระบี่ของหลินมู่อวี่เองก็ได้รับสืบทอดมาจากผู้เฒ่ากระบี่ซึ่งมิได้ด้อยไปกว่ากันเลย
‘ชิ้ง!’
โอวหยางจิงเทียนกวัดแกว่งดาบและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลินมู่อวี่ โปรดชี้แนะโอวหยางจิงเทียนผู้นี้ด้วย!”
หลินมู่อวี่ประสานมือพร้อมกระบี่ “โปรดชี้แนะขอรับ!”
‘ฟิ้ว!’
ดาบของโอวหยางจิงเทียนพุ่งตรงมาขณะที่ปกคลุมไปด้วยปราณแท้ นี่คือจอมยุทธ์ที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภา ดังนั้นหลินมู่อวี่จึงเปลี่ยนใจปัดมันออกด้วยฝักดาบเท่านั้น
ดาบของศัตรูถูกปัดทิ้งไป ทว่าขณะที่หลินมู่อวี่สะบัดดาบของตนนั้น โอวหยางจิงเทียนก็กระโดดขึ้นพร้อมโจมตีกลางอากาศอย่างรุนแรงถึงสี่ครั้ง!
หลินมู่อวี่พลันเรียกวิญญาณยุทธ์และกำแพงน้ำเต้าทันที ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่วิญญาณยุทธ์ขึ้นไปบนอากาศต้านการโจมตีของโอวหยางจิงเทียนทั้งหมด ‘เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปร้ง!’ หลินมู่อวี่รู้สึกชาไปทั้งมือ โอวหยางจิงเทียนนับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเพลงดาบที่มีทักษะ ความรุนแรงของดาบนี้…คงเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตปฐพีใช่หรือไม่?
………………………………….