ในแผ่นดินรูปตัวฉิน เทพสรรพชีวิต จักรพรรดิแดงฉาน และพุทธเจ้าเฒ่าต่างก็มีสีหน้าหนักอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง พุทธเจ้าเฒ่าก็ถอนหายใจแล้วกล่าว “เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินได้เปลี่ยนแปลงไป จากการเปลี่ยนแปลงวิชา ไปสู่การเปลี่ยนแปลงมรรคา เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและได้ได้วิวัฒน์ไปอีกขั้นหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งความโกลาหลและความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในโลกหล้ากำลังจะมาถึง”
สายตาของเขาหรี่มัวลงเมื่อเขากลับไปหลับใหลต่อ
ร่างแยกเทพสรรพชีวิตกล่าวด้วยเสียงถอนหายใจ “มันมาถึงเร็วเกินไป ดูเหมือนว่าข้าก็ต้องเตรียมตัวจัดแจงบางอย่างเอาไว้ด้วยเช่นกัน แต่ว่า จักรพรรดิแดงสามารถอยู่สบายๆ ได้ก็ในเมื่อเจ้าตายไปแล้ว”
จักรพรรดิแดงแค่นเสียงเบา
“พวกเราทั้งหมดอยู่ในท้องของผีเปรตหรือ”
หัวใจของฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรง และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปมา หากว่าเป็นเช่นนี้ ความมืดที่ครอบงำแดนโบราณวินาศก็เป็นผีเปรตใหญ่มหึมานี้ด้วยเช่นกัน
ร่างกายของผีเปรตนี้สามารถทับเต็มไปทั้งแดนโบราณวินาศ และทับเต็มไปทั้งโลกมิติทั้งหลายในหน้าผา
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ผีเปรตนี้ไม่มีสำนึกรู้ของตนเอง
เปรตที่เขาเจอมีสำนึกรู้เป็นของตนเองได้ และเขาตระหนักดีหลังจากที่ไปยังหมู่บ้านรื่นเริง ผีเปรตทั้งหลายสามารถมีความทรงจำและความคิดเป็นของตน หากว่าโลกหยินสวรรค์ถูกโอรสหยินสวรรค์แปรเปลี่ยนให้เป็นผีเปรตไปจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เทพีหยินสวรรค์ฟื้นคืนชีพมา สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย!
โลกหยินสวรรค์ถูกเปลี่ยนแปลงให้เป็นผีเปรตขนาดยักษ์ และสำหรับเทพีหยินสวรรค์แล้ว มันก็เป็นศัตรูน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าเทพีหยินสวรรค์ไม่สามารถป้องกันตนเองได้ นางจะมาช่วยดูแลแดนโบราณวินาศได้อย่างไร
เขาไม่ค่อยมั่นใจสถานการณ์ของนางสักเท่าใด
เทพีหยินสวรรค์ประคองเขาในมือ และมองไปที่เขาด้วยความสนอกสนใจ นางเห็นสีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปไม่หยุดหย่อน
ปรมาจารย์มหาเวทผู้นี้อาจจะมีฝีมือความสามารถอันเลิศล้ำ แต่กรอบคิดจิตใตของเขาดูจะอ่อนแอไปสักหน่อย ภายในระยะเวลาสั้นๆ เขาก็มีสีหน้าแตกต่างกันถึงสิบแบบ ราวกับมีโคมไฟหมุนที่สามารถเปลี่ยนสีสันไปมาภายใต้ใบหน้าของเขา
กายเนื้อของนางค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมา ความสามารถที่จะเปลี่ยนดินและน้ำไปเป็นเลือด เนื้อ กระดูก นั้นเป็นสิ่งที่คนอื่นได้แต่มองตาละห้อยด้วยความอิจฉา
ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าฉินมู่จะได้ฝึกปรือสำนึกรู้เทพอมตะแห่งจักรพรรดิแดงฉาน และคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหลของจักรพรรดิแสง ทั้งยังมีความสำเร็จอันน่าแตกตื่นในด้านวิชาเสกสรร แต่หากว่าเลือดและเนื้อของเขาสูญสลายไปเหลือแต่ผืนหนัง ฉินมู่ก็จะต้องตายอย่างแน่แท้ เขาไม่มีทางที่จะสามารถประกอบสร้างร่างกายของตนขึ้นมาใหม่ได้
นอกจากการครอบครองมหิทธานุภาพอันสุดจะหยั่งแล้ว สาเหตุที่เทพีหยินสวรรค์ทำเช่นนี้ได้ก็เพราะพรสวรรค์แต่กำเนิดที่มาพร้อมกับนางในยามเกิดฟ้าดิน
“หอคอยนี้ข้าสร้างขึ้นมาเพื่อตรึงสะกดผีเปรต แต่ว่าพวกมันไปร่วมมือกับโอรสหยินสวรรค์ และวางแผนลอบทำร้ายข้า”
เทพีหยินสวรรค์มีร่างกายอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบ และนางก็เดินลุยในน้ำทะเลสร้างคลื่นใหญ่บนผิวของมัน “เมื่อครั้งกระโน้น เมื่อผีเปรตทั้งหลายในโลกหยินสวรรค์อาละวาด ข้าก็ได้คิดจะสร้างศาสตราวุธอันสามารถช่วยให้ข้าแก้ปัญหาผีเปรตได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง แต่ทว่า ในเมื่อข้าถือกำเนิดจากฟ้าและดิน ข้าจึงไม่เชี่ยวชาญในมรรคา วิชา และทักษะเทวะอื่นๆ ข้าเก็บตัวฝึกวิชาเพื่อรังสรรค์สมบัติชิ้นนี้ขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าก็ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ นั่นคือตอนที่โอรสหยินสวรรค์มายังโลกหยินสวรรค์ และเขากล่าวว่าจะช่วยข้า เวทมนตร์ของเขานั้นน่าแตกตื่น และเขาดำเนินตามมรรคาแห่งแดนใต้พิภพ อันสามารถเสริมส่งในสิ่งที่ข้าขาดพร่อง ด้วยความช่วยเหลือของเขา ข้าสามารถสร้างหอคอยนี้ได้ในที่สุด แต่ทว่า…”
นางมาที่ใจกลางทะเล ใบหน้าของนางหมองลง
“ทั้งหมดล้วนแต่เป็นแผนร้าย เขามีเจตนาไม่ดีตั้งแต่แรกในการมาช่วยข้าสร้างสมบัติวิเศษ และหลังจากที่สมบัติของข้าถูกสร้างขึ้นมา เขาก็ซ่อนทักษะเทวะหนึ่งเอาไว้ข้างใน”
เทพีหยินสวรรค์กัดฟันกรอด “เขาใช้ทักษะเทวะของเขาเพื่อลอบสังหารและทำให้ข้าบาดเจ็บ จากนั้นผีเปรตก็ขุดเข้าไปในร่างของข้าและกัดกินเลือดเนื้อ อีกฟากหนึ่ง เขานำยอดฝีมือจำนวนมากและฉวยโอกาสรุมโจมตีข้า ยิ่งมีผีเปรตมุดเข้าไปในร่างข้ามากขึ้นเรื่อยๆ และทรายดำก็ไหลมาอย่างไม่มีสิ้นสุด…”
ฉินมู่สามารถจิตนาการได้ว่าภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน
เทพีหยินสวรรค์ที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องคอยป้องกันการโจมตีจากโอรสหยินสวรรค์และยอดฝีมือมากมายจากฟากหนึ่ง และในอีกฟากหนึ่งนั้นผีเปรตจำนวนนับไม่ถ้วนก็ขุดเจาะเข้าไปในบาดแผลของนางเพื่อกัดทึ้งกลืนกินเลือด เนื้อ และดวงวิญญาณ!
ในเวลานั้นเทพีหยินสวรรค์ต้องถูกรุมเร้าจากการโจมตีทั้งภายในและภายนอก และคงต้องสิ้นหวังอย่างหมดอาลัย
“ทำไมเทพีถึงไว้ใจคนแปลกหน้า” เขาฉงนใจ
หากว่าเทพีหยินสวรรค์มีความระวังป้องกันต่อโอรสหยินสวรรค์บ้างนางก็คงไม่พ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ ในเวลานั้นโอรสหยินสวรรค์จะต้องเป็นคนแปลกหน้าสำหรับนาง และไม่มีเหตุผลใดที่นางจะเชื่อใจเขาอย่างสุดตัว นางนั้นบุ่มบ่ามจนเกินไป
เทพีหยินสวรรค์หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “เขาดูหล่อเหลามาก ข้าก็เลยไม่อาจหักใจระวังป้องกันเขา”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยสีหน้าประหลาด
เทพีหยินสวรรค์กล่าวทันที “ข้าไม่ได้ดูคนแต่เปลือกนอก แต่เขาหล่อเหลาจริงๆ และข้าก็ไม่อาจมองทะลุการเสแสร้งของเขาได้ เขาช่วยข้าสร้างสมบัติวิเศษ และตอนนั้นข้าก็ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ดังนั้นข้าจึงถูกหลอก จนกระทั่งเมื่อข้าได้มาพบกับปรมาจารย์มหาเวท ข้าถึงได้เรียนรู้ว่า คนหน้าตาดีอาจจะไม่ใช่คนดี และคนหน้าตาธรรมดาอาจจะเป็นคนดีมากๆ ก็ได้”
นางมองไปยังฉินมู่ในฝ่ามือนางด้วยสายตาให้กำลังใจ
ฉินมู่ครางเสียงหนัก และไม่อยากจะเอ่ยถึงที่นางว่าเขาหน้าตาธรรมดา “ถ้าเช่นนั้น ทำไมโอรสหยินสวรรค์จึงไม่เอาหอคอยของท่านไปและปล่อยไว้ที่นี่แทน”
เทพีหยินสวรรค์คว้าจับนาฬิกาทรายยักษ์และกล่าว “เขาก็อยากทำเช่นนั้น แต่เพราะว่าหอคอยของข้าถูกก่อสร้างขึ้นมาด้วยเหล็กหยินสวรรค์ มันกลายเป็นของข้าหลังจากที่ถูกหลอมสร้าง ข้าได้หลอมรวมมันเป็นหนึ่งเดียวกับโลกหยินสวรรค์ ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจยกมันขึ้นมาได้ แม้ว่าข้าจะตายไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ได้รับโชควาสนาในคราวเคราะห์ แต่ก่อนนั้น ข้าไม่อาจตรึกตรองเข้าใจวิญญาณในรูปแบบอนุภาคได้ ดังนั้นข้าจึงจนปัญญาจะจัดการกับทรายดำ แต่หลังจากที่ข้าแตกสลายและกลายไปเป็นอนุภาควิญญาณ สิ่งที่ข้าไม่เคยไขออกในอดีต ก็กลับมากระจ่างชัดสำหรับข้าในตอนนี้”
นางวางนาฬิกาทรายลงและกล่าว “นาฬิกาทรายเป็นสมบัติวิเศษที่ควบคุมทรายดำแห่งโลกหยินสวรรค์ มันน่าจะเป็นวัตถุรังสรรค์ของเขา นี่คือสิ่งที่เขาใช้ในการควบคุมทรายดำเพื่อโจมตีโลกของท่าน”
นาฬิกาทรายที่โอรสหยินสวรรค์ได้สร้างขึ้นมา เป็นสิ่งแทนความสำเร็จของเขาในระบบวิชาแห่งดวงวิญญาณ เพียงแค่นาฬิกาทรายอันเดียว เขาก็สามารถควบคุมทรายดำวิญญาณแห่งโลกหยินสวรรค์ได้
เทพีหยินสวรรค์สามารถปลดนาฬิกาทรายลงมา แสดงว่านางได้รับโชควาสนาในคราวเคราะห์จริงๆ เพราะว่านางได้ตายและฟื้นคืนชีพกลับมา นางก็เลยมีความเข้าใจอย่างลึกล้ำด้านดวงวิญญาณ
เพราะว่านางตายและฟื้นคืนชีพกลับมา นางจึงแตกต่างจากตัวตนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อย่างเช่นภูติบดีและเทพสรรพชีวิต นางมีความสามารถที่จะเรียนทักษะเทวะแขนงอื่น และตรึกตรองเข้าใจมรรคาและวิชาอื่นๆ ได้
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์อันไม่มีเคยมีขึ้นมาก่อน และฉินมู่รู้สึกว่ามันเป็นแขนงสาขาที่สามารถศึกษาค้นคว้าต่อไปได้ ดังนั้นเขาจึงนำสมุดออกมาจดมันเอาไว้ เขาคิดในใจ การค้นคว้าในแขนงนี้อาจจะช่วยให้เทพศักดิ์สิทธิ์แก้ปัญหาที่พวกเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับเต๋าได้ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเทพีหยินสวรรค์จะยอมให้ผู้เชี่ยวชาญพีชคณิตหลายพันคนไต่ขึ้นไปบนเนื้อตัวของนางเพื่อศึกษาวิจัยหรือไม่…ข้าเดาว่านางคงไม่ยินดี
“นาฬิกาทรายนี้เรียกว่าสัประยุทธ์ฟ้า”
แม้ว่านาฬิกาทรายจะใหญ่มหึมาอย่างสุดขีด แต่มันก็เหมือนของเล่นชิ้นเล็กๆ ในมือเทพีหยินสวรรค์ เทพีหยินสวรรค์กลิ้งมันเล่นในมือและมีรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม “วิธีการสร้างสมบัติวิเศษของเขาลึกล้ำกว่าข้า สัประยุทธ์ฟ้านี้เพริศแพร้วพิสดารเป็นอย่างยิ่ง แต่หลังจากที่มันตกมาในเงื้อมมือของข้า เขาก็ไม่มีทางเอามันกลับไปได้ สัประยุทธ์ฟ้าจะเป็นวิธีการอันเฉียบขาดที่สุดที่ข้าจะใช้รับมือกับผีเปรตทั้งหลายในโลกหยินสวรรค์”
ฉินมู่มองออกว่าเทพีหยินสวรรค์นั้นไม่เคยเกลือกกลั้วกับความสกปรกของโลกปุถุชนมาก่อน นางนั้นเคยแต่รับหน้าที่จัดการดูแลโลกหยินสวรรค์เท่านั้น และนางก็ไม่เคยคิดกังวลเรื่องเพทุบายทั้งหลาย และไม่ติดต่อข้องเกี่ยวกับโลกภายนอก
เทพีหยินสวรรค์ในตอนนี้ เข้าใจแล้วว่านางควรจะจัดการเรื่องราวและอุบายทั้งหลายอย่างไร ทำให้เขาวางใจลง
เทพีหยินสวรรค์ที่เขาชุบชีวิตกลับมา จะไม่พ่ายแพ้จักรพรรดิดำแดนบาดาลโดยง่ายอีกต่อไป
เขากระโดดลงจากฝ่ามือของเทพีหยินสวรรค์ และไปยังหมู่ราชวังอันพังภินท์ เขาเลือกหยิบเทพศาสตราใต้พิภพจำนวนหนึ่งที่ยังคงอยู่ในสภาพดี และก็ยังรับเอาระฆังฌาปนกิจสวรรค์ไปด้วย
“ปรมาจารย์มหาเวท ท่านควรไปได้แล้ว”
เทพีหยินสวรรค์กล่าวขณะที่เล่นกับนาฬิกาทรายในมือ “ข้าสัมผัสผ่านสัประยุทธ์สวรรค์ได้ว่าโอรสหยินสวรรค์กำลังเดินทางมา เขากำลังเดินทางมาที่นี่ในไม่ช้า เมื่อตอนที่เขาลอบกัดข้า ข้าก็ไม่ได้อ่อนแอ และตอนนี้ก็คงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม หากว่าท่านยังคงอยู่ที่นี่ ข้าไม่สามารถปกป้องท่านได้”
ฉินมู่ตื่นตระหนกและเงยศีรษะขึ้นถาม “เทพีมีกำลังฝีมือที่จะต่อสู้กับเขาหรือไม่”
เทพีหยินสวรรค์กล่าว “กายเนื้อของข้ายังไม่เสถียรดี ทำให้ข้ายังเอาชนะเขาไม่ได้ แต่การป้องกันตัวเองจากวิชาฝีมือของเขาไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า ข้าจะขัดขวางเขาเอาไว้นอกโลกหยินสวรรค์และทำให้เขาเข้ามาไม่ได้ ตราบใดที่เขาเข้ามาไม่ได้ ชีวิตของข้าก็จะไม่เป็นอันตราย แต่ทว่า เขาจะควบคุมผีเปรตยักษ์โลกหยินสวรรค์ให้โจมตีข้าเป็นแน่ และนั่นคือเวลาที่โลกหยินสวรรค์จะปะทุขึ้นมาด้วยความโกลาหล หากว่าท่านอยู่ต่อ ท่านจะต้องป้องกันตนเองไม่ได้แน่นอน”
ฉินมู่ผงกศีรษะ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เทพี โปรดรักษาตัว!”
เขานั้นกำลังจะจากไปพร้อมกับเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้ง แต่พลันฉุกคิดขึ้นมาได้และชะงักเท้า “เทพี ตอนที่ข้าพยายามจะช่วยเหลือท่านเมื่อครู่นี้ ข้าถูกผีเปรตที่สิงท่านโจมตี และทำลายไจกระบี่ของข้าไป ตอนนี้ข้าไม่มีอาวุธใดๆ ที่ใช้สอยได้ ไม่ทราบว่าเทพีจะยังมีเหล็กหยินสวรรค์ที่เหลือจากการสร้างหอคอยอยู่บ้างไหม ท่านให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่”
เทพีหยินสวรรค์กอบไปที่ก้นทะเล และเมื่อน้ำไหลลงจากมือของนางไปหมด เขาก็เห็นเม็ดทรายหลายเม็ดที่ส่งประกายโลหะสีเขียวในฝ่ามือของนาง “นี่คือเหล็กหยินสวรรค์ เจ้ามีของที่ใช้เก็บมันเอาไว้ไหม”
ฝ่ามือของนางกินพื้นที่เป็นร้อยไร่ ดังนั้นเหล็กในฝ่ามือของนางจึงเหมือนผืนทะเลทรายสีเขียวกว้างใหญ่
ฉินมู่หัวใจเต้นโครมคราม และเขาอุทานใจในว่าทำไมนางถึงใจกว้างอย่างนี้ เขานำถุงเต๋าตี้ออกมาและกล่าว “ถุงเต๋าตี้ของข้าเต็มไปด้วยโครเมี่ยมแดงพุทธชีวาและไม้ขนนกพุทธมารดา แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่บ้างที่พอใส่ให้เต็มได้”
“ถุงทั้งสองของเจ้าเล็กเกินไป และเจ้าก็คงเติมมันเข้าไปได้ไม่มากนัก”
เทพีหยินสวรรค์ส่ายหัว และให้เขากระโดดขึ้นมาบนฝ่ามือของนางเพื่อเก็บเหล็กหยินสวรรค์ ฉินมู่รีบขับเคลื่อนถุงเต๋าตี้ของเขาเพื่อเก็บกักเหล็กหยินสวรรค์เข้าไปในถุง และในไม่ช้า เขาก็อัดถุงทั้งสองจนแน่น
ยังคงมีเหล็กในฝ่ามือของเทพีหยินสวรรค์อีกครึ่งหนึ่งที่เขาเก็บไปไม่หมด
ฉินมู่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย และมัดถุงเต๋าตี้ทั้งสองไว้ที่เอวด้วยความยากลำบาก แต่ทว่าถุงทั้งสองแทบจะทำให้เข็มขัดของเขาขาดหลุดไป ดังนั้นเขาจึงมีแต่ต้องถือมันเอาไว้ด้วยมือ
“เหล็กชนิดนี้จะต้องมีวิธีการหลอมโดยเฉพาะเป็นแน่ เมื่อเทพีหลอมสร้างสมบัติของท่าน ท่านใช้ไฟอะไรหรือ” ฉินมู่ถามอีกครั้ง
“ข้าใช้ไฟสวรรค์ที่ขโมยมาจากเทพสรรพชีวิตแห่งแดนปริศนา”
เทพีหยินสวรรค์พลิกมืออีกข้าง และลูกไฟก้อนหนึ่งก็ปรากฏในฝ่ามือของนาง นางกล่าว “นี่คือสิ่งที่ข้าขโมยมาจากเทพสรรพชีวิตตอนที่เขาเผลอ มันไม่มีประโยชน์กับข้าแล้ว ดังนั้นข้าจะให้มันกับท่าน”
ฉินมู่มองไปที่เปลวไฟในมือของนาง เมื่อไฟนั้นเต้นแผดเผา มันก็เหมือนกับแก้วผลึกที่คมกริบและเจียระไนเป็นอย่างดี แต่ทว่ามันใหญ่โตเกินไป มันเหมือนกับทะเลไฟที่ก่อรูปขึ้นมาจากแก้วผลึก!
“เทพี ข้าไม่ได้ต้องการมากขนาดนั้น”
ฉินมู่กล่าวอย่างอายๆ “ข้าไม่มีพื้นที่เก็บมันอีกต่อไป…”
เทพีหยินสวรรค์ใช้สองนิ้วบิไฟสวรรค์ออกมากระผีกหนึ่งอย่างนุ่มนวล และยื่นมันให้แก่เขา “ถือไปเฉยๆ ก็ได้ แม้ว่าไฟสวรรค์อาจจะฟังดูน่ากลัว แต่มันไม่ร้อนเลยสักนิด ท่านเพียงแต่ต้องกระตุ้นพลังของมัน มันถึงจะมีพลานุภาพที่แผดเผาทุกสิ่งทุกอย่าง”
ฉินมู่กอดกระบิไฟสวรรค์นี้ และมันก็เหมือนกอดก้อนแก้วผลึกที่มีรูปทรงเหมือนปริซึม ไฟสวรรค์นั้นหนาเท่ากับเอวของเขา ทั้งยังสูงกว่าตัวเขา เมื่อรวมกับถุงเต๋าตี้โป่งพองทั้งสอง ฉินมู่จึงหอบหิ้วพวกมันไปด้วยความยากลำบาก
“ท่านต้องไปแล้ว!”
เทพีหยินสวรรค์เพ่งสายตาไปยังที่ไกลๆ และนางก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “โอรสหยินสวรรค์จะมาถึงในไม่ช้า!”
ฉินมู่รีบคารวะร่ำลาและกระโดดจากฝ่ามือของเทพีหยินสวรรค์ เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งติดตามไปข้างหลังเขา และเขาก็ได้ยินเสียงจ๋อม เขาตะลึงเมื่อเห็นฉินมู่จมลงไปในทะเล เขาไม่เดินไปบนผิวทะเลหรือเหาะขึ้นมา
โชคยังดีว่าเทพีหยินสวรรค์ตกเขากลับขึ้นมาได้จากทะเล และเป่าลมอ่อนโยนไปที่เขา ฉินมู่และเทพตนนี้พลันปลิวกลับไปยังเส้นทางที่พวกเขาจากมา พวกเขาเดินทางหลายหมื่นลี้ในเสี้ยววินาที และก็มาถึงหินปักปันเขตแห่งโลกหยินสวรรค์ ถึงตอนนั้นจึงได้ลงเหยียบพื้น
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งกำลังจะข้ามหินปักปันเขตไป แต่ฉินมู่พลันกล่าว “ผู้อาวุโส ช้าก่อน!”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งฉงนใจ และเขาก็เห็นฉินมู่วางถุงเต๋าตี้กับก้อนผลึกไฟสวรรค์ลง ฉินมู่นำเอาขวดหยกสิบกว่าขวดออกมา และเทน้ำลายมังกรในนั้นทิ้งไป
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ฉินมู่ร่ายคาถาทักษะเทวะประหลาดบางอย่าง ทรายดำก็ไหลบ่าเข้าไปในขวดหยกน้อยเหล่านั้น
ฉินมู่ปิดจุกขวดและประทับรอยอักษรรูนแปลกประหลาดมากมายรอบๆ ขวด เขาเปิดเสื้อของเทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งและวางแจกันหยกน้อยเหล่านั้นไว้ข้างใน “หลังจากท่านออกไปข้างนอก ท่านไม่อาจพบกับแสงสว่างยามกลางวันได้ ทรายดำจะไหลออกไปจากร่างของท่าน ข้าเกรงว่าท่านจะตาย ดังนั้นข้าจึงเก็บทรายดำมาจำนวนหนึ่ง เมื่อพวกเราออกไปแล้ว ข้าจะหลอมสร้างสมบัติวิเศษให้ท่าน อันสามารถเก็บทรายวิญญาณดำเอาไว้ในสมบัติระหว่างเวลากลางวัน และจะปล่อยให้ทรายวิญญาณดำไหลเข้าไปในร่างของท่านในเวลากลางคืน”
เทพแห่งจักรพรรดิก่อตั้งมีสีหน้าตื้นตัน
และในตอนนั้นเอง แรงสั่นสะเทือนร้ายกาจก็พลันส่งมาจากโลกหยินสวรรค์
“โอรสหยินสวรรค์มาถึงแล้ว!” ฉินมู่ตื่นตระหนกและหันกลับไปมอง