บทที่ 32 จักรพรรดิสําแดงเดชสะท้านทั่วแดนร้างตะวันออก

จอมบงการเทพยุทธ์

ภายในตําหนักไร้ความหวังนั้น เหล่ามนุษย์ถูกจับไว้เป็นทาสรับใช้ของเผ่าพันธุ์ปีศาจอสรพิษเพื่อขุดเหมืองโบราณให้แก่พวกมัน

มนุษย์จํานวนมากต้องทนทุกข์ทรมาณอย่างสาหัส แต่เพราะว่าพวกมันนั้นเป็นเผ่า พันธุ์เก่าแก่ จึงทําให้พวกมันนั้นทรงอํานาจ และแม้เหล่ามนุษย์จะโกรธแค้น แต่ก็ไม่สามารถทําอะไรพวกมันได้

แต่ในตอนนี้ ยามที่กายาจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีการบอกกล่าว

เพียงแค่กระดิกนิ้ว “เนื้อร้าย” ที่คอยคุกคามเผ่าพันธุ์มนุษย์ในแดนร้างตะวันออกก็ถูกลบหายไปจากผืนฟ้านี้ไปจนหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆ

หลังจากทําลายตําหนักไร้ความหวังเพียงการกระดิกนิ้ว กายาจักรพรรดิก็ไม่หยุดนิ่งและออกเดินทางอีกครั้ง

เขาไม่ค่อยมีเวลามากนัก ดังนั้นเขาจึงต้องทําทุกอย่างให้มากที่สุดในช่วงเวล าสั้นๆ

เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ เขาจะพยายามอย่างเต็มที่

เขาเคลื่อนที่ ดวงตาลุกโชน พร้อมจิตวิญญาณการต่อสู้ที่พวยพุ่ง เขาเคลื่อนไปท่ามกลางผืนฟ้าและผืนดินอันกว้างใหญ่ สยบหุบเขา สายธาร ตะวันและจันทร

แดนร้างตะวันออกนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ที่สิ้น แม้จอมยุทธธรรมดาจะใช้เวลาชั่วชีวิตก็มิสามารถเดินทางข้ามแดนร้างตะวันออกนี้ได้ หากไม่ได้ค่ายกลสําหรับการเคลื่อนย้ายกว่าหลายพันล้าน

แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้ากายาจักรพรรดิแล้ว อุปสรรค์นี้เรียบขึ้นราวกับไม่มี

เขาก้าวออกไป ตะวันจันทราพลิกหวน หุบเขาผืนน้ําหายวับไป และได้ห่างหายออกไปกว่าหลายหมื่นลี้

แดนร้างตะวันออก ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์จระเข้มังกร

แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้แห่งนี้รายล้อมไปด้วยหุบเขา ต้นไม่ใหญ่โบราณที่เขียวชอุ่ม ผืนป่าเปี่ยมไปด้วยสมุนไพรเติบโตอย่างอุดมสมบูรณ์ และพลังแห่งฟ้าดินนั้นมากล้น เรียกได้ว่าเป็นแดนสมบัติอย่างแท้จริง

จระเข้มังกรนั้นเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์หมื่นเซียนและว่ากันว่ามีสายเลือดของมังกรที่ แท้จริงไหลเวียนอยู่ในร่างของมัน

เผ่าพันธุ์นี้นั้นทรงอํานาจยิ่ง และมีจักรพรรดิโบราณและราชันบรรพบุรุษหลายตนที่ยังคงอยู่ในตระกูล และพวกมันก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ราชัน
เผ่าพันธุ์นี้นั้นทรงอํานาจมาก และภายในแดนร้างตะวันออกนี้ไม่มีผู้ใดกล้าต่อกร

แดนศักดิ์สิทธิ์นี้เองก็ยังเป็นสถานที่ต้องห้ามสําหรับสิ่งมีชีวิตในแดนร้างตะวันออกอีกด้วย ไม่มีเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากเผ่าพันธุ์จระเขมังกรที่อยู่ที่นี่
แต่วันนี้ต่างออกไป

กายาจักรพรรดิได้เหยียบย่าเข้าไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ของจระเข้มังกรและเดินก้าว เข้าไปในหุบเขาศักดิ์สิทธิ์ เผ่าจระเข้มังกรที่ปกตินั้นหยิ่งยโสและทําตัวยิ่งใหญ่ไม่กล้าที่จะหยุดชายผู้นี้แม้แต่น้อย

และจระเข้มังกรส่วนใหญ่ต่างคุกเข่าลงตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น ไม่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมองแม้แต่น้อย

กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ก็หลบซ่อนอยู่ในวิหารของพวกมันพร้อมกับ ร่างกายที่สั่นเทา

“นานแสนนานมาแล้ว เมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ครองพิภพ เผ่าพันธุ์เราต่างอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่นอย่างสันติ มิได้กดขี่ข่มเหงเผ่าพันธุ์อื่นใด”

กายาจักรพรรดิเดินเข้าไปในแดนศักดิ์สิทธิ์ของจระเข้มังกร มองไปยังวิหารโบราณที่งดงามภายในส่วนลึกของดินแดนแห่งนี้ และกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เรียบนิ่ง

มันเป็นเพียงคําพูดเบาๆ แต่กลับได้ยินไปทั่วทั้งวิหารโบราณ และทําให้เหล่าบรรพบุรุษของจระเข้มังกรที่สั่นสะท้านอยู่ต้องคุกเข่าลงก้มกราบไปยังทิศทางที่กายาจักรพรรดิยืนอยู่!

หากภาพนี้ถูกกระจายออกไป เกรงว่าทั้งโลกคงต้องตกตะลึง!

ราชันบรรพบุรุษของตระกูลโบราณเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่านับถือขนาดไหนกัน?

ภายในดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ คําว่าราชันบรรพบุรุษนั้นมีความหมายเช่ นเดียวกับผู้ปกครอง

พวกมันเดินทางไปทั่วทั้งโลก และไม่มีผู้ใดกล้าหยุดยั้ง!

เพราะสุดท้ายแล้ว พวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังยิ่ง

แต่ในตอนนี้มันกลับก้มกราบชายผู้หนึ่ง ไม่มีร่องรอยของศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่แม้เพียงนิด

“ท่านสิ่งมีชีวิตสูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนี้เผ่าพันธุ์ของเราจะอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างสันติ”

ราชันบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์จรเข้ ก้มกราบครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเหล่าราชันบรรพบุรุษเงยหน้าขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว มันก็พบว่ากระแสพลังอันมหาศาลสะท้านทั่วทั้งเก้าสวรรค์สิบโลกาได้หายไปแล้ว ร่างที่ทําให้มันต้องสั่นสะท้านไม่อยู่อีกต่อไป
กายาจักรพรรดิได้จากไปแล้ว เขาได้ออกเดินทางไปยังที่อื่น

หลังจากผ่านไปนาน เหล่าบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์จระเข้มังกรถึงกล้าจะเข้ามารวมตัวกัน บนใบหน้าของพวกมันมีร่องรอยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด

“น่ากลัวเหลือเกิน ตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับเขา ราวกับว่าข้ากําลังอยู่เบื้องหน้าจอมจักรพรรดิโบราณตัวจริง!”

ราชันบรรพบุรษตนหนึ่งกล่าวออกมา เสียงของมันยังคงสั่นสะท้าน

เมื่อครู่ที่กายาจักรพรรดิเข้ามานั้น มันรู้สึกเพียงความอ่อนแอราวกับมดที่เผชิญหน้ากับมังกร ไม่คิดกล้าที่จะต่อต้านแม้เพียงน้อย

“เผ่าพันธุ์มนุษย์มีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

ราชันบรรพบุรุษอีกตนกล่าวออกมา เสียงของมันเปี่ยมไปด้วยความตกใจและสงสัย

“ข้าไม่รู้ และข้าไม่คิดจะรู้! สั่งออกไป นับจากวันนี้เป็นต้นไป เผ่าพันธุ์จระเข้มังกรจะปิดภูเขาและห้ามผู้ใดออกติดต่อกับโลกภายนอกโดยเด็ดขาด”

“ในวันนี้ การถือกําเนิดของตัวตนอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ต่อแดนร้างตะวันออกอย่างมหาศาล ก่อนลมพายุจะสิ้น เราต้องระมัดระวัง!”
ราชันบรรพบุรุษกล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง

ในวันนี้ ผู้ที่อยู่เหนือสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มาอยู่ที่นี่แล้ว

ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อแดนร้างตะวันออก แต่ทั่วทั้งโลกด้วยเช่นกัน

ก่อนทุกอย่างจะสงบลง เผ่าพันธุ์จระเข้มังกรจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ไม่เช่นนั้นมันอาจไม่รู้ด้วยซ้ําว่าพวกมันสิ้นใจไปเมื่อไร!

กายาจักรพรรดิออกเดินทางจากเผ่าจระเข้มังกรและมุ่งหน้าต่อไป

เขาเดินทางไปยังตระกูลราชันของเผ่าพันธุ์โบราณอีกหลายเผ่าพันธุ์

เผ่าพันธุ์โบราณเหล่านี้ที่เคยครองโลกและกู่ร้องไปทั่วฟ้าดินต่างเงียบสงัด ไม่มีตระกูลใดกล้าออกมาท้าทายกับกายาจักรพรรดิแม้แต่น้อย

กายาจักรพรรดิไม่พูดอะไร เขาเดินไปอย่างสบายๆ ในที่อยู่ของตระกูลราชันของเผ่าพันธุ์โบราณ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าหยุดเขาเพียงนิด

นี้เป็นการข่มโดยไร้คําพูด

เขาเดินทางจนสุดเส้นทาง ท่องผ่านแดนร้างตะวันออกจนหมดสิ้น มองดูทิวเขา สายน้ํา ตะวันและจันทรา มองดูภาพของพิภพได้ไกลไร้สิ้นสุด

ไม่มีใครกล้าห้าม ไม่มีที่ใดเป็นไปไม่ได้

ฟ้าดินไร้ขอบเขตต่อชายผู้นี้

ในวันนี้ แดนรกร้างตะวันออกต้องสั่นสะท้าน สิ่งมีชีวิตนับร้อยเผ่าพันธุ์ต้องหวั่นเกรง คารวะสดุดีไปยังทิศที่กายาจักรพรรดิยืนอยู่

และในท้ายที่สุด กายาจักรพรรดิก็ไปยังแดนของเผ่าปีศาจอสรพิษ

เขาไม่ได้เข้าไป แต่หยุดยืนอยู่หน้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจอสรพิษ มองดูเป็นเวลานาน

ในสายตาของเขา เป็นภาพของจักรวาลที่บิดเบี้ยว โลกอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นและ ดับไป ภาพอันน่าสะพรึงที่ปรากฏขึ้นในโลกทั้งใบ

แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ขยับตัว และเมื่อเขาชี้นิ้วออกไป พลังอันทรงอํานาจก็ได้ เปลี่ยนให้กว่าครึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจอสรพิษให้กลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน

ต่อหน้าดรรชนีของเขา เผ่าปีศาจอสรพิษไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่น้อย

พวกมันแทบทั้งหมดไม่ตายก็บาดเจ็บสาหัส

ถึงกระนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจมังกรก็เงียบสงัด ไม่มีปีศาจมังกรตนใดกล้าเอ่ยคําใดๆออกมา

“ครึ่งหนึ่งถือเป็นการเมตตา ที่เหลือจักถูกสงวนไว้เพื่อฝึกฝนเผ่าพันธุ์มนุษย์ในอนาคต”

กายาจักรพรรดิกระซิบกับตัวเอง ก่อนจะก้าวเดินและจากไป

เขารู้สถานะในปัจจุบันของเผ่าพันธุ์มนุษย์ดี การทําลายล้างเผ่าปีศาจอสรพิษไม่ช่วยส่งผลใดๆ แม้แต่น้อย กลับกัน มันจะทําให้เผ่าพันธุ์อื่นโกรธแค้นเผ่าพันธุ์มนุษย์ มากกว่าเดิม

เพียงเมื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ใช้ความสามารถของตนเพื่อเติบโตจนแข็งแกร่งได้เหนือ กว่าหมื่นเผ่าพันธุ์เท่านั้น ถึงจะมีพลังที่มากพอจะปกป้องตนเองและอันตรายใดๆ

กายาจักรพรรดิได้จากไป และในคราวนี้ เขาได้หลอมรวมเข้ากับกระแสพลังฟ้าดิน และไม่ได้ไปขัดขวางเผ่าพันธุ์โบราณใดๆ

เขาผู้อยู่ท่ามกลางแดนอันกว้างใหญ่ มองดูภาพภูเขาและแม่น้ําที่คุ้นตา ทุกสิ่งนั้นดูแปรปรวน

ร่างของเขาเปล่งประกาย ก่อนจะค่อยๆสลายกลายเป็นประกายแสง กระจายออกไปไปท่ามกลางฟ้าดิน

“เกิดในที่แห่งนี้ เติบโตในที่แห่งนี้ และถูกฝังไว้ในที่แห่งนี้”

“หลังจากผ่านไปล้านปี ข้าสามารถกลับมาได้อีกครั้ง กลับมามองดูโลกนี้อีกคราหนึ่งและทําเพื่อผู้คนของข้าให้ดีที่สุด”

“ข้าทําทุกสิ่งเท่าที่ข้าทําได้แล้ว ข้าไม่หลงเหลือบ่วงใดๆอีกต่อไป”

เสียงของกายาจักรพรรดินั้นนิ่งสงบ มีประกายความโล่งใจและความเศร้าอยู่บนใบหน้า

เขาก้าวเดินต่อไป พร้อมกับร่างกายที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นประกายแสงกระจายออกไป

ในท้ายที่สุด กายาจักรพรรดิก็สลายหายไป

เหลือเพียงเศษเกราะเปื้อนเลือดที่ยังคงอยู่

มันค่อยๆ ร่วงลงมาจากฟ้า ร่วงหล่นลงมายังผืนดินอันกว้างใหญ่…