บทที่ 2 เดินทาง
บทที่ 2 เดินทาง

เฉินฮ่าวมองไปที่พี่ชายของตนด้วยความกังวลและกลั้นลมหายใจของเขาด้วยความกลัว

พี่ชายของเขาดูแลเรื่องการกินอยู่และส่งเขาไปฝึกฝนในสำนักฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุดในเมืองหมอกสน แม้แต่ศิลาวิญญาณที่เฉินซีหามาด้วยความยากลำบากส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับเขา

เฉินฮ่าวรู้ว่าพี่ชายของเขาอาจจะดูเหมือนเย็นชา แต่จริง ๆ แล้วพี่ชายของเขานั้นมีหัวใจที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งยังพยายามดูแลตัวเขาและปู่เป็นอย่างดีที่สุดโดยไม่สนใจความเหน็ดเหนื่อยใด ๆ แต่เหตุใดผู้อื่นถึงต้องทำเหมือนพี่ชายของเขาเป็นตัวตลกด้วย?

เฉินหน้าตาย… ตัวซวยผู้นำพาความโชคร้าย…

เมื่อใดก็ตามที่เฉินฮ่าวนึกถึงฉายาสุดแสนน่ารังเกียจพวกนี้ หัวใจของเขาก็พลันเต็มไปด้วยความโกรธ เขาต้องการที่จะสั่งสอนคนเหล่านั้นที่ทำเหมือนพี่ชายของเขาเป็นตัวตลก

‘ฮึ่ม! ข้าจะสู้กับทุกคนที่ดูถูกพี่ชายของข้าต่อให้ข้าต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกข้าก็ไม่ยี่หระ!’ เฉินฮ่าวกำหมัดแน่นขณะที่ตัดสินใจเช่นนี้อย่างลับ ๆ ในใจ

“ไปเถอะ พวกเราเข้าบ้านไปกินอาหารเย็นกัน” เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบอารมณ์ก่อนจะตบไปที่ไหล่ของเฉินฮ่าว จากนั้นเขาก็ผลักประตูเก่า ๆ ที่ดูทรุดโทรมและเดินเข้าไปด้านใน

“ท่านพี่ไม่ตำหนิอะไรข้าสักหน่อยหรือ?” เฉินฮ่าวรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยถาม แต่เมื่อเห็นว่าเฉินซีไม่พูดอะไรต่อเด็กน้อยจึงยิ้มร่า ก่อนจะวิ่งตามไป “ไปกันเร็วท่านพี่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว!”

ดวงไฟจากตะเกียงน้ำมันสั่นไหววูบวาบส่องสว่างในบ้านไม้ที่คับแคบและทรุดโทรมหลังหนึ่ง

ชายชราผู้หนึ่งที่ผมเผ้ารุงรังนั่งอยู่เงียบ ๆ ที่โต๊ะอาหาร ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น แขนขาผอมแแห้งดูคล้ายกับเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกบอบบางเหมือนกิ่งไม้ ดวงตาคู่นั้นมืดหม่นประหนึ่งจวนเจียนจะมอดดับ

ชายชราผู้นี้ถูกเรียกว่าเฉินเทียนลี่ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่คับเมืองหมอกสน แต่ทว่าหลังจากการล่มสลายของตระกูลเฉิน ความเจ็บป่วยเดิมของเขาก็กำเริบขึ้นมา จึงทำให้การบ่มเพาะสูญสลายไป และกลายเป็นคนพิการไปโดยสิ้นเชิง ขณะนี้เขาเป็นเพียงชายชราธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านปู่…” เฉินซีนั่งลงที่โต๊ะอย่างเงียบ ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเขาเห็นชามสี่ใบที่วางอยู่บนโต๊ะ ชามเล็ก ๆ ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือซึ่งตั้งตรงกลางโต๊ะนั้นมีผัดกะหล่ำปลีไร้ซึ่งเนื้อสัตว์อยู่ข้างใน ส่วนอีกสามชามที่วางอยู่ล้อมรอบชามผัดกะล่ำปลีนั้นมีข้าวอยู่ประมาณสามในสี่ส่วนของชาม

ข้ามันไร้ความสามารถนัก ถ้าข้าสามารถหาศิลาวิญญาณได้มากกว่านี้ ท่านปู่และน้องชายของข้าคงไม่ต้องอยู่ในสภาพที่ลำบากยากแค้น…

“กินเถอะ” เสียงของเฉินเทียนลี่นั้นทั้งทุ้มและแหบแห้ง “เฉินซี ปู่มีบางอย่างจะคุยกับเจ้าหลังอาหารเย็น”

เฉินซีรู้สึกงงงวยก่อนที่จะพยักหน้า “รับทราบขอรับ ท่านปู่”

แม้การกินข้าวร่วมกันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ความอัตคัดก็ทำให้เฉินซีและปู่ของเขากินเพียงข้าวเท่านั้น พวกเขาสองคนดันชามเล็ก ๆ ที่มีผัดกะหล่ำปลีอยู่ไปทางเฉินฮ่าว ตัวเด็กหนุ่มเองก็รู้ดีว่าถึงจะปฏิเสธไปก็ไร้ผล เพราะเขาเคยทำมาก่อนหน้านี้นับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงกินอาหารไปพลางสาบานในหัวใจไปพลาง

‘ท่านปู่ ท่านพี่ ข้าขอสาบานด้วยชีวิต เมื่อใดที่ข้าแข็งแกร่ง ข้าจะให้พวกท่านทั้งสองได้กินอาหารที่ดีที่สุด! และจะไม่มีทางให้พวกท่านกินแต่ข้าวเปล่าแบบนี้อีก!’

หลังจากทานอาหารเสร็จ เฉินฮ่าวจึงทำความสะอาดชาม จากนั้นเขาก็ไปหยิบกระบี่ไม้และเดินออกไปนอกบ้าน เด็กหนุ่มต้องการจะใช้เวลาทุกนาทีที่เขามีให้คุ้มค่า เพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น!

“เจ้าได้ฝึกวิชานภาม่วงไปถึงขั้นใดแล้ว?” ใบหน้าที่เหี่ยวย่นของเฉินเทียนลี่เต็มไปด้วยความพึงพอใจหลังจากได้ยินเสียงการฝึกกระบี่จากนอกหน้าต่าง ขณะที่เขาเอ่ยถามเฉินซีที่ยังนั่งอยู่ตรงข้าม

วิชานภาม่วงเป็นวิชาที่ตกทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของตระกูลเฉิน ซึ่งมีทั้งหมดสิบแปดระดับขั้น โดยสามารถใช้ฝึกฝนได้ตั้งแต่ขอบเขตสร้างรากฐานทั้งเก้าระดับไปจนถึงขอบเขตก่อกำเนิดอีกเก้าระดับ

“ท่านปู่ ข้ายังคงอยู่ที่ระดับสิบสามขอรับ” แม้ในยามที่คุยกับปู่ของตนเอง ใบหน้าของเฉินซีก็ยังคงเย็นชาตลอดเวลา ความเยือกเย็นและสงบนิ่งที่เขามีนั้นดูราวกับว่าไม่มีวันแปรเปลี่ยน

“อืม…” เฉินเทียนลี่ผงกศีรษะทว่าไม่แสดงความเห็นใด ๆ แต่ภายในหัวใจของเขาได้บังเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้น

ในใจของเขานั้นทั้งรักทั้งเกลียดหลานชายคนนี้ของเขาด้วยเหตุผลที่ว่าตั้งแต่เฉินซีลืมตาดูโลก ตระกูลเฉินก็ได้เผชิญกับหายนะมากมายไม่หยุดหย่อน อีกทั้งแม่ของเฉินซียังทิ้งครอบครัวของนางไป และพ่อของเฉินซีก็จากไปพร้อมกับใจที่แหลกสลาย…

และสิ่งที่น่าชังที่สุดก็คือตระกูลซูแห่งเมืองทะเลสาบมังกรได้ฉีกสัญญาการหมั้นต่อหน้าชาวเมืองหมอกสน จนทำให้เฉินเทียนลี่เสียหน้าไม่น้อย และหากไม่ใช่เพราะกังวลว่าในอนาคตจะไม่มีผู้ใดดูแลทายาททั้งสองที่เหลืออยู่ของตระกูลเฉิน เขาก็คงจบชีวิตของตนเองไปนานแล้ว!

บางคราเขาอยากจะถามหลานชายคนโตถึงข่าวลือที่ว่าอีกฝ่ายกลายเป็นเจ้าตัวซวยผู้นำพาความโชคร้ายไปได้อย่างไร? ทว่าทุกครั้งเขาก็ขจัดความคิดเหล่านี้ออกไปอย่างรวดเร็ว

แม้ตั้งแต่เฉินซีลืมตาดูโลก ตระกูลเฉินจะตกต่ำลงอย่างมากจนต้องกลายเป็นตระกูลยากจนแร้นแค้น ทว่าภายใต้ความพยายามอย่างยากลำบากของเฉินซี หลานชายคนเล็กของเขาอย่างเฉินฮ่าวจึงสามารถเข้าไปร่ำเรียนในสำนักดารานภา ซึ่งเป็นสำนักที่โด่งดังที่สุดในเมืองหมอกสน

ความอบอุ่นปรากฏขึ้นภายในหัวใจของเฉินเทียนลี่อย่างรวดเร็วเมื่อเขาคิดมาถึงจุดนี้ ไม่ว่าเฉินซีจะเป็นตัวซวยที่นำพาความโชคร้ายมาเช่นไร ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงเป็นหลานชายของเขาและเป็นสายเลือดแท้ ๆ ของตระกูลเฉิน

“ข้าทำให้เจ้าเผชิญกับความลำบากมาหลายปี…” เฉินเทียนลี่ถอนหายใจ “ข้าให้เฉินฮ่าวกินอาหารและใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่เรามี และยังส่งเสริมให้เขาเข้าไปร่ำเรียนในสำนักที่ดีที่สุดในเมือง โดยที่ให้เจ้าต้องแบกรับภาระทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงพวกเราทั้งหมด ขณะที่เจ้าแทบจะไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ ปู่ของเจ้า…ไม่ยุติธรรมกับเจ้าเลย!”

ร่างกายของเฉินซีแข็งค้าง สิ่งที่ปู่ของเขากล่าวมานั้นคือความคิดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกในหัวใจของเขา และมันรบกวนจิตใจของเขามานานหลายปี… ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างรวดเร็วเพื่อเก็บซ่อนอารมณ์อันปั่นป่วน ก่อนจะส่ายศีรษะและกล่าว “ท่านปู่มีอายุมากแล้วและสุขภาพก็ไม่ได้ดีนัก ในขณะที่เฉินฮ่าวยังคงเป็นเด็กไม่รู้ความ ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจำเป็นต้องแบกรับไว้”

เฉินเทียนลี่หัวเราะอย่างขมขื่นพลางโบกมือและกล่าวขึ้น “ช่างเถิด ๆ หยุดกล่าวถึงเรื่องนี้กันเสียดีกว่า”

เฉินซีพยักหน้าและตกอยู่ในความเงียบ

อารมณ์ของเขากลับมาสงบนิ่งเช่นเดิม การที่เขาถูกเยาะเย้ยเหยียดหยามตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันทำให้เขามีอารมณ์ที่มั่นคงเหนือกว่าผู้คนทั่วไป และเขาก็ไม่เคยเอ่ยสิ่งใดหากไม่จำเป็น

หลังจากขบคิดชั่วครู่ เฉินเทียนลี่ก็โพล่งกล่าวขึ้นมา “สำนักพันกระบี่แห่งเมืองทะเลสาบมังกรจะเปิดประตูเพื่อรับศิษย์ในอีกครึ่งเดือน ข้าจะลองให้เฉินฮ่าวไปทดสอบดู”

เฉินซีสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “เช่นนั้นก็ดีแล้ว การออกจากเมืองหมอกสนจะทำให้เสี่ยวฮ่าวเติบโตมากขึ้น”

เฉินเทียนลี่ช่วยไม่ได้ที่จะถามออกไป “เจ้าไม่ได้เกลียดสิ่งที่ปู่ทำใช่หรือไม่?”

เฉินซีส่ายศีรษะ “การตัดสินใจของท่านปู่คือทุกสิ่ง”

เฉินเทียนลี่มองไปที่ใบหน้าของหลานชายของเขาอย่างเพ่งพินิจ ราวกับว่าต้องการมองทะลุให้เห็นถึงบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ทว่าท้ายที่สุดเขากลับต้องผิดหวังเพราะตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ เฉินซีหาได้มีอาการผิดแปลกไปใด ๆ ไม่ ประหนึ่งว่าหลานของเขาไม่ต่างจากท่อนไม้

เงียบขรึมท่ามกลางผู้คนและเมื่อใดที่ผู้อื่นพูดเฉินซีจะเงียบรับฟัง ข้าไม่แน่ใจว่าเช่นนี้มันดีแล้วหรือที่เขามีความมุ่งมั่นกับการกตัญญูเช่นนี้

เฮ้อ… เฉินเทียนลี่ลอบถอนหายใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นและเดินจาก

เช้าตรู่วันถัดมา เฉินซีตื่นขึ้นพร้อมกับแสงอรุณรุ่งที่มาเยือน เขาใช้น้ำเย็นเพื่อล้างใบหน้าและเดินออกจากห้องของตนเอง แล้วจึงได้เห็นว่าขณะนี้เฉินฮ่าวกำลังฝึกปรือกระบี่อย่างมุ่งมั่น

ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!

เสียงของกระบี่ไม้ที่แหวกอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าดังขึ้นไม่ขาดสาย เฉินฮ่าวถือกระบี่ไม้ด้วยมือขวา ร่างกายผอมแห้งของเด็กน้อยไหลลื่นไปตามท่าทางการออกกระบี่อย่างเข้มแข็ง

ใบหน้าเล็ก ๆ เต็มไปด้วยเหงื่อแต่ที่หว่างคิ้วนั้นฉายแววมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ กระบี่ไม้ในมือยังคงฟาดฟันด้วยพละกำลังสม่ำเสมอ การเคลื่อนไหวมั่งคงและดูเชี่ยวชาญยิ่ง

เฉินซีมองดูน้องชายของเขาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่รบกวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าครัวไปเตรียมอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว ทว่าหลังจากนั้นแทนที่จะสร้างยันต์เช่นทุกวัน เขากลับรีบวิ่งไปที่ร้านค้าสกุลจางแทน

“อ่า…เฉินหน้าตายมาที่นี่อีกแล้ว!”

“บัดซบ ข้าอุตส่าห์หลงคิดว่าจะไม่ต้องเข้าร้านพร้อมกับตัวซวยผู้นี้หากข้ามาเร็วเสียหน่อยแต่ท้ายที่สุดข้ากลับพบกับเขาก่อนซะได้! ช่างโชคร้ายโดยแท้จริง!”

ที่หน้าประตูร้านค้าสกุลจาง เหล่านักสร้างยันต์อักขระฝึกหัดค่อย ๆ ขยับหลบทางให้เมื่อพวกเขาเห็นเฉินซีเดินเข้ามา สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวว่าจะติดเชื้อความโชคร้ายของเฉินซีกลับบ้าน

“ลุงจางจะเป็นอันใดหรือไม่หากข้าจะขอยืมศิลาวิญญาณสักหนึ่งร้อยก้อนจากท่าน?” เฉินซีหาได้แยแสคนเหล่านี้ไม่ เขาเดินเข้าไปในร้านและหยุดยืนที่หน้าโต๊ะของจางต้าหยง

จางต้าหยงแสดงสีหน้างุนงงเมื่อได้ยินประโยคนี้ก่อนจะถามกลับ “เฉินซีเกิดสิ่งใดขึ้นหรือ? จงบอกข้า เผื่อข้าจะสามารถช่วยเจ้าได้ดียิ่งกว่าแค่เพียงให้หยิบยืมศิลาวิญญาณ”

เฉินซีช่วยสร้างอักขระยันต์ให้กับร้านของเขามานานมากกว่าห้าปีแล้ว และชายหนุ่มก็ไม่เคยขอยืมเงินจากตัวเขาเลย ทว่าวันนี้เฉินซีกลับต้องการยืมศิลาวิญญาณหนึ่งร้อยก้อนจากเขา… เขาจึงรู้สึกสงสัยและคิดว่าหากมันเป็นสิ่งที่เขาสามารถช่วยได้ เขาจะช่วยเด็กคนนี้ให้ดียิ่งขึ้น

เฉินซีรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงของจางต้าหยง ความอบอุ่นปรากฏขึ้นในหัวใจของเขา ก่อนที่เขาจะส่ายหน้า “ข้าไม่มีปัญหาใด ๆ หรอกท่านลุงจาง ข้าเพียงต้องการจะซื้อของบางอย่างเท่านั้น”

จางต้าหยงพยักหน้าในทันที จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นหยกวิญญาณออกมาและกล่าว “แค่นี้เพียงพอหรือไม่? ถ้ามันยังไม่พอข้าสามารถให้เจ้าหยิบยืมได้เพิ่มอีกเล็กน้อย”

“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วท่านลุงจาง ข้าขอขอบคุณท่านอย่างมาก แล้วข้าจะชดใช้คืนให้โดยเร็วที่สุดนะขอรับ” แผ่นหยกวิญญาณนี้มีมูลค่าเทียบได้กับหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ซึ่งอัตตราการแลกเปลี่ยนนั้นไม่มีทางต่ำกว่ามูลค่านี้ หลังจากเฉินซีได้รับแผ่นหยกวิญญาณ เขาก็หันหลังกลับไปและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

“แปลกนัก… เจ้าเด็กคนนี้มักจะประหยัดเพื่อดูแลครอบครัวของเขาเป็นหลัก ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยและไม่รอบคอบ… ทว่าวันนี้เกิดสิ่งใดขึ้นกัน?” จางต้าหยงมองไปยังเฉินซีที่ออกจากร้านไปอย่างแปลกใจ

หอร้อยประดิษฐ์ตั้งอยู่ในย่านวุ่นวาย ณ ใจกลางเมืองหมอกสน มันคือสถานที่ค้าขายอาวุธและอุปกรณ์ต่าง ๆ สำหรับเหล่าผู้บ่มเพาะที่โด่งดังที่สุดในเมืองหมอกสน

เฉินซีใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อในการใช้จ่ายหนึ่งร้อยศิลาวิญญาณ ทว่าเขากลับไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่นิด ทั้งยังพึงพอใจแทนเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเขากลับมาถึงบ้านมันก็ใกล้ครึ่งวันแล้วเฉินเทียนลี่กำลังจัดเตรียมสัมภาระใส่กระเป๋า ส่วนเฉินฮ่าวที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูก็กำลังใช้มือเท้าคางราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่

“ท่านพี่ท่านกลับมาแล้ว!” เฉินฮ่าวลุกขึ้นและใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาเต็มไปด้วยดีใจ

เฉินซีลูบหัวของเฉินฮ่าวพร้อมกับถามขึ้น “จะออกเดินทางเร็ว ๆ นี้แล้วสินะ?”

เฉินฮ่าวผงกศีรษะทว่าสีหน้าของเขากลับหมองลง เด็กหนุ่มรู้สึกไม่เต็มใจที่จะจากพี่ชายไป เมื่อคิดว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาพบกับพี่ชายของเขาได้บ่อย ๆ หลังจากที่เขาไปอยู่ที่เมืองทะเลสาบมังกร นั่นทำให้เฉินฮ่าวรู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจอธิบาย

เฉินซียื่นกล่องหยกทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากให้แก่เฉินฮ่าวพร้อมกับกล่าว “ข้าซื้อสิ่งนี้มาให้เจ้า หลังจากนี้จงตั้งใจร่ำเรียนให้ดี”

“สำหรับข้า?” เฉินฮ่าวรู้สึกงงงวย เขามองไปที่ความงดงามของกล่องหยกตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง

เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เขาเห็นเด็กในครอบครัวอื่นมักจะโอ้อวดของขวัญต่าง ๆ มากมาย ในตอนนั้นเขารู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะคาดหวังว่าจะได้รับของขวัญล้ำค่าในแบบเดียวกันเพราะเด็กหนุ่มรู้อยู่แก่ใจว่า ท่านพี่ของเขาทำงานอย่างหนักเพื่อหาเลี้ยงทั้งเขาและปู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจะกล้าหวังของฟุ่มเฟือยทั้งหลายได้อย่างไร

ทว่าในตอนนี้ก่อนที่เขากำลังจะออกเดินทางท่านพี่ของเขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่กลับซื้อของขวัญมาให้เขาแทน แลเห็นเช่นนี้มันจะไม่ทำให้เขารู้สึกสะเทือนอารมณ์ได้อย่างไร?

“ท่านพี่…” น้ำเสียงของเฉินฮ่าวสะอื้นไห้ขณะที่เขาก้มศีรษะลง เด็กหนุ่มใช้เวลาอยู่พักหนึ่งเพื่อที่จะหยุดร้องไห้ ทว่าดวงตาของเขาแดงก่ำเสียแล้ว

เฉินซีเอื้อมมือไปตบบ่าของน้องชาย ก่อนจะกล่าวว่า “พี่ฝากเจ้าดูแลท่านปู่ด้วย ส่วนตัวเจ้าเองก็จงดูแลตัวเองให้ดีเช่นกัน”

“ขอรับ!” เฉินฮ่าวพยักหน้าในทันที

“ข้าจะเข้าไปคุยกับท่านปู่เสียหน่อย หลังจากนั้นข้าจะออกไปส่งท่านปู่และเจ้า” ใบหน้าของเฉินซีเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอันเกิดขึ้นได้ยากขณะที่เขาหันหลังกลับไปและเดินเข้าไปในบ้าน

เฉินฮ่าวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดกล่องหยกออกอย่างช้า ๆ ภายในกล่องมีกระบี่ยาวที่เปล่งประกายเย็นยะเยือก…

วิ้งงง!

หลังจากถือกระบี่ยาวและถ่ายเทปราณแท้ของเขาเข้าไปภายในกระบี่ กระบี่ยาวในมือของเฉินฮ่าวก็ส่งเสียงอันไพเราะและแจ่มชัดออกมาอย่างฉับพลัน อำนาจแหลมคมแผ่ออกอย่างน่าเกรงขาม

“ท่านพี่ไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!” เฉินฮ่าวจ้องไปที่กระบี่ยาวในมือของเขาด้วยสายตาที่แน่วแน่ ราวกับว่าเขาได้เติบโตขึ้นในชั่วข้ามคืนและไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ความเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป

….

ด้านนอกของประตูเมือง

ในช่วงเที่ยงวันขณะที่ดวงตะวันแขวนสูงอยู่บนท้องฟ้า คู่ปู่หลานนั่งอยู่บนรถม้า ขณะที่มันกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างช้า ๆ

เฉินซียืนมองอยู่บนเชิงกำแพงเมือง สายตาของเขาเหม่อมองไปไกล หัวใจของเขาเต้นขึ้นลงราวกับคลื่นสมุทร