บทที่ 198 คนแซ่เจ้าโมโหแล้ว

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

สมุดไผ่นี้เป็นข่าวมาจากรัฐปา บอกว่ามีข่าวว่ารัฐปาจะปฏิรูปในเร็ววันนี้

ซ่งชูอีถอนหายใจ จีเหมียนยังคงไม่ใส่ใจกับคำพูดของนาง

สำนักนิติธรรมส่วนใหญ่มีนิสัยตรงไปตรงมาและดื้อรั้น หากว่าซางจวินมิได้พบกับฉินเซี่ยวกง ก็ไม่สามารถวางรากฐานในรัฐฉินด้วยกฎหมายใหม่ได้ นับประสาอะไรกับการปฏิรูปในดินแดนแห่งไสยศาสตร์และจักรวรรดินิยมเช่นรัฐปา? หากจีเหมียนไม่ตอบสนองต่อเส้นทางไสยศาสตร์และทำการประนีประนอม เกรงว่าอาจจะเจอกับความโชคร้ายได้!

ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิดว่าด้วยนิสัยของจีเหมียนยากที่จะใช้วิธีอันอ่อนหวาน

“เด็กๆ!” ซ่งชูอีโยนสมุดไผ่ลง

“ท่าน!” ทหารที่อยู่ด้านนอกเข้ามา

ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อพร้อมกับเอ่ย “ไปเชิญอวี่เข้ามา”

“ขอรับ!”

ทหารผู้นั้นรับคำสั่งออกไป ไม่นานจี๋อวี่ก็รีบเข้ามา “ท่านตามหาข้ามีเรื่องใด?”

ซ่งชูอีลุกขึ้นกล่าว “ข้ามีเรื่องส่วนตัวอยากไหว้วานให้เจ้าไปทำ”

“ท่านได้โปรดสั่งมา” จี๋อวี่เป็นผู้ติดตามของนาง หาใช่คนของทหารฉินไม่ กระทำเรื่องส่วนตัวของนางนับว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

“เจ้านำจดหมายของข้าไปส่งที่รัฐปา นำไปให้จีเหมียน” ซ่งชูอีเอ่ย

จี๋อวี่เห็นว่าสีหน้าของหน้ามิได้สงบนิ่งเหมือนปกติ ยังนึกว่าเกิดเรื่องร้ายแรงบางอย่างเสียอีก ได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจโล่งอก “ท่านวางใจเถิด”

ซ่งชูอีหยิบผ้าไหมสีขาวผืนหนึ่งออกมา พิจารณาครู่หนึ่งก็หยิบพู่กันเพียงด้านบนสองสามคำ หลังจากเป่าให้แห้งแล้วก็ส่งให้จี๋อวี่

“เจ้าจำไว้ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายใดๆ เจ้าอย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด” ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซ่งชูอีรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ครุ่นคิดดูแล้วนางก็ดึงผ้าไหมสีขาวกลับมา “ขอข้าคิดดูหน่อย”

“ท่านไม่เชื่อใจข้าเช่นนั้นหรือ?” จี๋อวี่ไม่เคยเห็นนางย้ำคิดย้ำทำเช่นนี้ รู้สึกสงสัยในใจ คิดไปคิดมาก็มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้น

ซ่งชูอีส่ายหน้า คิดไปคิดมาแล้วก็รู้สึกว่านอกเหนือจากจี๋อวี่แล้ว ข้างกายนางก็ไม่มีตัวเลือกที่พึ่งพาได้และเหมาะสมไปกว่างนี้อีกแล้ว ดังนั้นจึงส่งผ้าไหมสีขาวให้เขาอีกครั้ง “เจ้าต้องจำไว้ แค่ส่งจดหมายนี้ให้กับจีเหมียนเท่านั้นแล้วกลับมาทันที แม้เจ้ากับจีเหมียนจะเป็นสหายเก่า ทว่าทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง เขาต้องแบกรับจุดจบในทางที่เขาเลือกเอง”

จี๋อวี่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ นางถึงกล่าวเช่นนี้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่าก็ยังพยักหน้า “คำพูดของท่าน ข้าจะจำขึ้นใจ”

“อืม” ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง เห็นจี๋อวี่หมุนตัวจากไป ก็เรียกเขาฉับพลัน “อวี่”

จี๋อวี่หยุดเดิน หันไปมองก็เห็นซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อ โค้งคำนับต่ำให้เขา จี๋อวี่รีบหมุนตัวโค้งคำนับกลับ เขาคิดมาตลอดว่าตนค่อนข้างมีความเข้าใจในซ่งชูอี ทว่านับตั้งแต่ออกมาจากค่ายทหารก็ไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่ทำให้ซ่งชูอีแสดงอาการไม่สบายใจคืออะไร

ที่จริงไม่ใช่เพียงจี๋อวี่ที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวซ่งชูอีเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เป็นเพราะว่าเป็นห่วงจีเหมียน? หรือกลัวว่าจี๋อวี่จะพบกับอันตราย? หรือกลัวว่าจี๋อวี่จะเข้าไปก้าวก่ายเรื่องของจีเหมียน?

ซ่งชูอีนั่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ในเมื่อจี๋อวี่ติดตามนางก็เท่ากับเห็นนางเป็นเจ้านาย คนที่กล้าหาญและจงรักภักดีเช่นเขาเพียงนั้นคงไม่หักหลังเจตนาของนางแล้วไปร่วมปฏิรูปกับรัฐปา อีกอย่างมิตรภาพระหว่างจีเหมียนกับจี๋อวี่ก็มิได้ลึกซึ้งมาก

ซ่งชูอียื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วหยิบมีดสั้นออกมา คิดในใจ หรือว่าจะทำนายเสียหน่อย?

ทว่าครุ่นคิดดูแล้วก็อย่าดีกว่า การใช้สมองคาดเดานั้นเป็นไปได้ว่ายังแม่นยำกว่าการทำนายของนางเสียอีก หากทำนายออกมาแล้วไม่ดี มีแต่จะเพิ่มความรำคาญใจเท่านั้น

ซ่งชูอีเก็บมีดนั้นเข้าไป เดินไปยังม้วนสมุดไผ่ว่างเปล่า หยิบพู่กันขึ้นมาเขียน “ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่” เงียบๆ

ขณะที่เขียนไปได้ครึ่งหนึ่ง ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าจิตใตสงบลงมากแล้วจึงเริ่มอ่านเอกสารต่อ

เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง บัดนี้ข้างนอกก็ล่วงเลยสู่ราตรีแล้ว รอบกายมีเพียงเสียงปะทุของคบเพลิงที่กำลังลุกไหม้เบาๆ

ซ่งชูอีวางสมุดไผ่ม้วนสุดท้ายลง ก้มหน้าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นไปที่กระโจมของเจ้าอี่โหลว

“บัดนี้ท่านตูเว่ยพักผ่อนแล้ว ท่านมีเรื่องใด?”

หลังจากที่ถูกซ่งชูอีดุไปยกหนึ่งเมื่อคืน วันนี้ก็ไม่มีทหารเฝ้ากระโจมคนไหนกล้าทำงานสะเพร่าอีก ทหารยามหน้าประตูหยุดนางตั้งแต่ระยะครึ่งจั้งก่อนถึงกระโจมแล้ว

ซ่งชูอีด่าแม่อยู่ในใจ นี่นางย้ายก้อนหินมาทับขาตัวเองชัดๆ! คิดก็ส่วนคิด ทว่าบุคลิกต้องเป็นเชิงบวก จึงเพียงแสร้งทำสีหน้าจริงจังพร้อยเอ่ยว่า “เอ่อ ข้าตามหาตูเว่ยเพราะมีเรื่องจะหารือ ได้โปรดเข้าไปรายงานให้ด้วย”

“ขอรับ!” นายทหารเก็บอาวุธ หมุนตัวเข้ากระโจมไป

ไม่นาน นายทหารก็กลับมาประสานมือคารวะซ่งชูอี “ตูเว่ยกล่าวว่าเขาเป็นเพียงรองแม่ทัพ ท่านที่ปรึกษามีเรื่องใดเชิญไปหารือกับท่านแม่ทัพจะดีกว่า”

ไอ้เด็กสารเลวเฮงซวย! ในใจของซ่งชูอีคลุ้มคลั่งรุนแรง ทว่ากลับกล่าวด้วยสีหน้าเรียบๆ “ได้ พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งคนมาเชิญตูเว่ยไปหารือที่ค่ายท่านแม่ทัพ”

ในกระเป๋าของซ่งชูอีมีตราราชโองการ สามารถออกราชโองการแทนองค์จวิน อย่าว่าแต่ค่ายของตูเว่ยเลย แม้แต่พระราชวังเสียนหยางก็ต้องปฏิบัติตามอย่างไร้เงื่อนไข นางมิได้เอาเครื่องมือสาธารณะมาใช้เป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เพราะมีศีลธรรมและมีขีดจำกัดที่ต่ำกว่า เพียงแต่รู้สึกว่าไม่รู้ว่าเจ้าอี่โหลวหงุดหงิดเรื่องอะไร จึงให้เวลาเขาสงบสติอารมณ์เท่านั้น

มันเป็นเรื่องยากที่ซ่งชูอีจะมีเหตุมีผลสักครั้ง แต่หารู้ไม่ว่านางกลับโกรธเจ้าอี่โหลวไม่น้อย

การที่เจ้าอี่โหลวปฏิเสธก็เพียงเพื่อเป็นการบอกนางอย่างชัดเจนว่า เจ้าอี่โหลวโกรธแล้ว! เจ้าอี่โหลวรู้ว่าหากซ่งชูอีต้องการจะเข้ามาจริงๆ ทหารสองนายที่อยู่หน้าประตูก็ไม่สามารถห้ามนางได้

ใครจะรู้ว่ารอไปรอมา นางจะกลับไปแล้วจริงๆ!

เจ้าอี่โหลวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองดูดวงตากลมโตที่ใสซื่อของไป๋เริ่น กำชับด้วยความดุดัน “จากนี้ต่อไป เจ้าห้ามสนใจซ่งหวยจินอีก!”

เพียงแต่คำกำชับนี้มากเกินกว่าความจำเป็น ไป๋เริ่นตัวนี้ใครให้อาหารก็ติดตามผู้นั้น จะไม่อยู่ดีๆ ก็วิ่งไปก่อกวนซ่งชูอี

ทางนี้พลิกตัวไปมา ทางนั้นกลับเข้ากระโจมของตัวเองแล้วหลับสนิททั้งคืน

เข้าวันรุ่งขึ้น ก็มีนายทหารมาเชิญเจ้าอี่โหลวไปที่ค่ายท่านแม่ทัพจริงๆ

เมื่อวานหนึ่งในบรรดาข่าวที่ซ่งชูอีได้รับ มีม้วนหนึ่งมาจากเสียนหยาง เนื้อหาโดยรวมคือกองทัพหนึ่งแสนแปดหมื่นนายที่เตรียมโจมตีรัฐสู่บัดนี้กำลังแยกเดินทางเป็นชุดๆ แล้ว ให้ทางซ่งชูอีก็เตรียมรับด้วย

ในเมื่อมีข่าวเช่นนี้ส่งมาจากเสียนหยาง ก็ไม่สามารถปิดบังแผนการทั้งหมดกับซย่าเฉวียนได้อีกต่อไปแล้ว

ในค่ายท่านแม่ทัพ มีเพียงซย่าเฉวียน เจ้าอี่โหลวกับซ่งชูอีสามคน ซ่งชูอีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “คิดว่าท่านแม่ทัพ

ซย่าคงเข้าใจดีว่าเหตุใดกองทัพจึงมาประจำการที่นี่”

ในราชสำนักเคยถกเถียงเรื่องโจมตีหานหรือทำลายรัฐสู่ หลังจากนั้นซย่าเฉวียนก็ถูกย้ายมาประจำการไม่ไกลจากฮั่นจงมากนัก ตราบใดที่เขาไม่โง่ก็สามารถเข้าใจความหมายได้

เมื่อวานที่ซย่าเฉวียนคลุ้มคลั่ง เพราะว่ามิได้เข้าใจในเหตุการณ์ทั้งหมด “ได้โปรดท่านอธิบาย”

ซ่งชูอีกล่าว “เมื่อวานข้าได้รับข่าวลับว่ารัฐสู่ใช้กองกำลังต่อสู้กับรัฐจูแล้ว เวลาทำลายสู่ใกล้จะมาถึงแล้ว ในช่วงนี้ข้าจะหาวิธีกระตุ้นให้ปาสู่ขอความช่วยเหลือจากรัฐฉิน ทว่าดูจากระดับความวุ่นวายในปาสู่ ม้าหนึ่งแสนตัวก็เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจทำให้พวกเขาสงสัยได้ ดังนั้นบัดนี้กองทัพใหญ่แห่งเสียนหยางจึงได้กระจายกองกำลังเป็นชุดๆ อย่างเงียบๆ ได้โปรดท่านแม่ทัพซย่าต้อนรับอย่างลับๆ ด้วย ห้ามเผยเบาะแสใดโดยเด็ดขาด”

ซย่าเฉวียนเอ่ยด้วยความเคร่งขรึม “ข้าจะระวังเป็นอย่างดี”

ซ่งชูอีเห็นว่าเจ้าอี่โหลวก็ตั้งใจฟังเช่นกัน พยักหน้าน้อยๆ แล้วกล่าวต่อ “เรื่องนี้ต้องฝากท่านแม่ทัพแล้ว นอกจากนี้ นับแต่วันนี้ต่อไปต้องเริ่มตัดกำลังคนด้วย ไม่จำเป็นต้องตัดมากจนเกินไป เพียงให้คนภายนอกนึกว่าที่นี่คือค่ายทหารธรรมดาเป็นพอ ”

“อืม” ซย่าเฉวียนตอบรับ เขาถูกย้ายมาที่นี่ และที่นี่ก็จะมีทหารม้าเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นนาย หากมีคนสังเกตอย่างถี่ถ้วนก็จะเห็นว่าจำนวนคนที่นี่ผิดปกติได้อย่างง่ายดายมาก