เว่ยจางได้ยินคำพูดนี้จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
ตั้งแต่เด็กจนโตเขาเผชิญความยากลำบากมามากมาย บุกน้ำลุยไฟและเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายตอนสังหารศัตรูในสนามรบ เรือนร่างมีแผลเล็กใหญ่นับไม่ถ้วน ทว่ากลับฟังเหยาเยี่ยนอวี่พูดเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดด้วยเสียงเรียบเฉย “สุขภาพร่างกายสำคัญ รีบกลับไปนอนเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่นิ่งงันแล้วคลี่ยิ้มต่อ “ได้ เจ้าก็ไปนอนสักพักเถอะ”
เว่ยจางพยักหน้าแล้วมองนางเข้าไปในห้องโดยสารพร้อมยิ้มจาง ในใจลอบครุ่นคิดว่า ต้องคอยอยู่เคียงข้างเจ้า จะให้ข้าจะหลับได้อย่างไร
หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่กลับมาก็นอนเพียงชั่วยามกว่าเท่านั้น ในยามเช้าเสียงหัวเราะปลุกนางตื่นจากฝัน พอตั้งใจฟังเสียงก็ได้ยินเสียงของยัยหนูน้อยเหยาชุ่ยฮั่นที่กำลังเล่นอยู่ด้านนอกอย่างสนุกสนาน แล้วเมื่อตั้งใจฟังอีกครั้ง กลับได้ยินนางขานเรียกด้วยเสียงอ้อแอ้ว่า “อาเขย”
ใบหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่เขินแดงขึ้นมาทันที ภายในใจกำลังก่นด่า ไม่รู้ว่าแม่ทัพเว่ยใช้วิธีใดซื้อใจยัยหนูน้อยนี่กันแน่
หลังจากลุกขึ้นก็สังเกตเห็นว่าไม่มีใครอยู่ข้างกายนางเลย เหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่เสื้อผ้าแล้วค่อยๆ เดินลงไปชั้นล่าง พอเดินเปลี่ยนทิศตรงบันไดก็ได้กลิ่นยาสมุนไพร พอเดินลงไปต่อก็เห็นสตรีสี่ห้าคนอยู่รวมตัวกันในเรือนแล้วเอาอุปกรณ์จำพวกกรรไกร โม่หยกขนาดเล็ก ครกหิน และอื่นๆ ออกมา แต่ละคนกำลังตั้งใจบดยาสมุนไพรเป็นผง ส่วนหนิงฮูหยินน้อยกำลังเดินไปเดินมาและคอยตรวจงานของพวกนางอยู่
เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มจางๆ มิน่าล่ะ หลานสาวตัวน้อยถึงยอมเล่นกับเว่ยจาง แม้กระทั่งแม่นมยังต้องยุ่งกับงานที่นี่
หนิงฮูหยินน้อยได้ยินเสียงหัวเราะจึงหันไปมองแล้วพูดขึ้น “เหตุใดน้องสาวถึงไม่นอนพักให้มากหน่อย”
“ข้าพักผ่อนเพียงพอแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่ลงจากบันไดแล้วอุทานขึ้น “พี่สะใภ้ช่างขยันขันแข็งยิ่งนัก”
หนิงฮูหยินน้อยเปรยขึ้น “ข้าก็คิดเผื่อพวกเรานี่แหละ รอให้ถึงท่าเรือเถาฮวาป้าพวกเราก็ต้องลงเรือเช่นกัน ทั้งยังต้องผ่านเขตเกิดอุทกภัย คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดื่มน้ำจากด้านนอก เกิดป่วยขึ้นมาแล้วจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ขาดแคลนอาหารอีก อีกทั้งยาสมุนไพรพวกนี้เจ้าก็ปรุงมาแล้ว ข้าก็แค่มาตรวจงานเท่านั้น ท้ายที่สุดก็ต้องยกคุณงามความดีนี้ให้เจ้า”
เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูด “แค่ข้าคนเดียวก็ไม่มีทางทำการใดสำเร็จหรอก อย่างไรก็ต้องพึ่งพากำลังของทุกคน”
ด้านนอกเว่ยจางกำลังใช้คลีสำลีหลากสีเล่นกับยัยหนูน้อย เขาซ่อนลูกคลีไว้อย่างว่องไว จู่ๆ ก็เอาออกมาต่อเหมือนกำลังแสดงมายากล ทำให้เหยาชุ่ยฮั่นหัวเราะอย่างร่าเริง เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงอดหัวเราะตามไม่ได้
บนเรือมีสาวใช้และผัวจื่อนับหลายสิบคนต่างก็ยุ่งกับงานของตน ต้องใช้เวลาหนึ่งวันเต็มถึงจะบดยาสมุนไพรให้กลายเป็นผงจนหมด จากนั้นก็ปรุงตามสัดส่วน เหตุเพราะยังไม่ทันเย็บถุงขนาดเล็ก ทุกคนจึงเอาบรรจุภัณฑ์ต่างๆ จำพวกขวดใส่ชาและแจกันออกมาแล้วใส่ผงยาเข้าไปด้านในจ ากนั้นก็ปิดฝาให้แน่น
พอยุ่งจนถึงฟ้ามืด คนขับเรือค่อยมารายงาน “ด้านหน้ามีเรือหลวงหลายลำกำลังขวางทางไปขอรับ”
เว่ยจางสั่งให้คนขับจอดเรือก่อน ตนจึงใช้วิชาตัวเบามุ่งหน้าไปสังเกตการณ์
ที่แท้ทำนบด้านหน้ากำลังจะผุพัง ถึงแม้ว่าทำนบยังไม่แตก ทว่าก็อันตรายอย่างยิ่ง ข้าหลวงผู้ปกครองแม่น้ำหลิวจี๋จื่อส่งเรือหลวงมา เหตุผลประการแรกคือต้องการมาขวางทางเรือที่แล่นมาจากเขตตอนใต้เพื่อไม่ให้ผ่านทางนี้ เหตุผลประการที่สอง ที่นี่กำลังจะซ่อมแซมทำนบให้มั่นคงแข็งแรงและทนทานกว่าเดิม
เว่ยจางเสวนากับขุนนางคุมเรือ และรู้ว่าอีกห้าลี้ก็ถึงท่าเรือเถาฮวาป้าแล้ว ทว่าเรือแล่นถึงที่นี่ก็เดินหน้าต่อไปไม่ได้อีก ดังนั้นทำได้เพียงกลับมาแล้วปรึกษาหารือกับหนิงฮูหยินน้อยและเหยาเยี่ยนอวี่ให้แล่นเรือเลียบชายฝั่งไปก่อน เขาจะไปเช่ารถม้าที่ท่าเรือเถาฮวาป้าเอง
ข้ารับใช้ของหลิวจี๋จื่อกลับเป็นคนที่อยู่เป็น พอรู้ว่านี่เป็นคนของตระกูลข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสองเมือง เว่ยจางเป็นถึงขุนนางคนสนิทของฮ่องเต้ จึงตบปากรับคำว่าจะปกป้องดูแลเหล่าสตรีที่อยู่บนเรือ แล้วให้เว่ยจางไปเช่ารถม้าอย่างสบายใจ
เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “ข้าเปลี่ยนชุดบุรุษแล้วไปเช่ารถม้ากับเจ้าเอง”
หนิงฮูหยินน้อยมองเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความตกตะลึงเพียงพริบตาเดียวแล้วไม่พูดไม่จา
“ให้ทหารสองนายของเจ้าอยู่คุ้มกันพี่สะใภ้รองที่นี่เถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่พูดขึ้นเพิ่มเติม
“ได้” เว่ยจางพยักหน้าแล้วตอบกลับ
เดิมทีน้าตู้ซานก็จะตามไปด้วย เหยาเยี่ยนอวี่บอกให้นางอยู่ปกป้องหนิงฮูหยินน้อยแล้วสั่งการ “เจ้าอยู่คุ้มกันพี่สะใภ้และฮั่นเอ๋อร์อย่างใกล้ชิดเถอะ อย่าให้พวกนางเกิดเรื่องอะไรเด็ดขาด”
หนิงฮูหยินน้อยพูดขึ้น “ที่นี่มีคนของข้าหลวงผู้ปกครองแม่น้ำอยู่แล้ว ยังมีทหารคนสนิทของแม่ทัพเว่ยสองนาย น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรอยู่แล้ว ให้นางติดตามน้องสาวไปเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่มองเว่ยจางเพียงชั่วพริบตาแล้วพูดขึ้น “เรื่องฉุกเฉินเช่นนี้ทำตามที่ข้าสั่งการเถอะ คนของข้าหลวงผู้ปกครองแม่น้ำก็มิอาจไว้วางใจได้ นี่ฟ้าก็ใกล้มืดแล้ว ทหารรักษาการณ์สองนายนั้นยังเป็นบุรุษ อีกเรือลำนี้มีสตรีนับหลายสิบคน อีกทั้งฮั่นเอ๋อร์ก็ยังเด็ก ข้าไม่ไว้วางใจ อีกอย่างพวกเราก็ไปเช่ารถม้าเท่านั้น แม่ทัพเว่ย…น่าจะปกป้องข้าให้ปลอดภัยเป็นอย่างดีได้”
เดิมทีหนิงฮูหยินน้อยรู้สึกว่าหากให้เหยาเยี่ยนอวี่ที่เป็นสตรีคนหนึ่งติดตามเว่ยจางไปตามลำพังอาจจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติยศของนาง ทว่าพอนึกถึงงานสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ก็มีกำหนดการลงมาแล้ว ระหว่างพวกเขาก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก อีกอย่างเยี่ยนอวี่ยังแต่งกายเป็นบุรุษ ที่นี่ก็มีแต่คนแปลกหน้า คิดๆแล้วก็คงไม่น่าเป็นอะไรจึงได้ตอบตกลง
เว่ยจางให้คนจูง “เจ้าเฮยหลาง” ของตนเองมาจากเรืออีกลำแล้วพยุงเหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นหลังม้าก่อน จากนั้นตนเองถึงจะปีนขึ้นไป
เหยาเยี่ยนอวี่ประหลาดใจที่เว่ยจางขึ้นม้าตัวเดียวกันกับตนจึงอดหันกลับไปมองเขาไม่ได้ “นี่?”
“มีม้าแค่ตัวเดียว แก้ขัดกันไปก่อน” แขนของเว่ยจางยื่นไปจับบังเหียนม้าที่อยู่ด้านหน้าของนางแล้วควบม้าทันที
เหยาเยี่ยนอวี่จึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตอนขามา เหยาเหยียนอี้เตรียมม้าสองสามตัวไว้บนเรือจริงๆ ทว่าตอนอยู่อี้โจว ม้าพวกนั้นน่าจะถูกพวกเขาเอาไปแล้ว นางสัมผัสได้ถึงลมหายใจอันผ่าวร้อนที่อยู่ด้านหลังจึงลอบบิดเอวเล็กน้อยเพื่อที่จะนั่งห่างจากคนด้านหลังหน่อย
“อย่าขยับสิ” เว่ยจางใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวบางของนางแล้วแค่นเสียงต่ำและเย็นชา
“อ้อ…” ก็ได้ ไม่ขยับก็ได้ เหยาเยี่ยนวอี่หลับตาลงยอมรับชะตากรรมแล้วลอบสบถ ตนเองจุ้นจ้านไปไย น่าจะรออยู่บนเรืออย่างเชื่อฟัง เหตุใดถึงต้องไปเช่ารถม้าเป็นเพื่อนเขาด้วย
เจ้าเฮยหลางก็กล้าหาญชาญชัยเหมือนเจ้าของของมัน ยังคงวิ่งเร็วเหมือนบินได้แล้วกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองเถาฮวาป้าในยามพลบค่ำ
เวลานี้เป็นเวลากินมื้อค่ำพอดี เมืองแห่งนี้เหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากฝนที่ตกกระหน่ำลงมา ยังคงเคล้าด้วยบรรยากาศอันครึกครื้นเหมือนเดิม เหล่าบุรุษที่ถูกขุนนางเรียกตัวไปทำงานในตอนกลางวันก็กลับมาแล้ว แต่ละคนต่างเปลือยท่อนบนแล้วเดินอยู่บนถนนหินสีนิล ทั้งยังทิ้งรอยเท้าที่เป็นคราบน้ำไว้บนพื้น
ท้ายที่สุดก็ลงจากหลังม้าได้เสียที! หากช้ากว่านี้เกรงว่าตนคงจะบ้าตาย!
เหยาเยี่ยนอวี่พยุงมือของเว่ยจางกระโดดลงจากม้าแล้วพยายามเก็บรู้สึกกระวนกระวายไว้ในใจ จากนั้นก็กวาดสายตามองไปรอบทิศ จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ที่นี่กำลังซ่อมทำนบอยู่ เหล่าบุรุษที่ไปลงนามกับเหล่าขุนนางคงมิอาจออกมาเถลไถลตามอำเภอใจได้ เกรงว่าเรื่องของพวกเราคงจะจัดการยากเสียแล้ว”
“ทำได้เพียงเพิ่มเงินในการเช่ารถม้าแล้ว” เรื่องนี้เว่ยจางคาดการณ์ได้ตั้งนานแล้วจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “หากจะหาคนขับรถม้าก็คงต้องเป็นบุรุษที่มีอายุราวๆ ห้าหกสิบปีแล้ว ถึงจะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้”
“อืม เช่นนั้นก็ไปหาอะไรกินหน่อยเถอะ ข้าหิวจะตายแล้ว” เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า ทั้งสองจูงม้าไปถึงหน้าร้านอาหารเล็กๆ ข้างทางแห่งหนึ่งแล้วนั่งลงข้างถนน
เว่ยจางเอ่ยถามด้วยความลำบากใจ “เจ้าจะกินอะไร”
“อะไรก็ได้” เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่คงไม่เลือกกินอยู่แล้ว
เว่ยจางจึงสั่งผัดหมี่กับเสี่ยวเอ้อร์มาสองที่
เหยาเยี่ยนอวี่หันไปมองบุรุษตรงโต๊ะด้านข้างที่กำลังกินผัดหมี่หนึ่งชาม ชามหมี่นั้นใหญ่กว่าหัวของนางสามเท่า ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!