ตอนที่ 39 ประตูแห่งนรก

โจวเจ๋อนั่งลง ไม่ได้ต่อยอีก แต่ก็จริง เขาไม่มีเหตุผลที่จะต่อยคน อยากจะเก็บเด็กไว้หรือไม่ก็เป็นอิสระของตัวเขาเอง และอำนาจก็อยู่ในมือของเขาเช่นกัน

นอกจากนี้ แม้แต่คนที่เป็นเจ้าทุกข์เพียงคนเดียวก็ไม่ยอมให้ตัวเองต่อยคนอีก

“เหอะ…”

โจวเจ๋อจุดบุหรี่หนึ่งมวน

ซุนเทาลุกขึ้นมาจากพื้น จากนั้นตะโกนชี้นิ้วไปที่โจวเจ๋อ “คุณจะบ้าเหรอ ผมจะแจ้งความ ผมจะไปตรวจร่างกาย”

“นายสวมควรโดนต่อย” โจวเจ๋อพ่นควันบุหรี่โดยไม่เงยหน้าเลยสักนิด

“คุณ…คุณ…คุณ…” ซุนเทาชี้ไปที่โจวเจ๋อ จากนั้นก็ผลักประตูร้านแล้วเดินออกไป เขาแอบคิดว่าซวยอยู่ในใจ วันนี้ทำไมถึงถ่อมาที่ร้านหนังสือแห่งนี้อย่างไม่รู้สาเหตุ

เด็กทารกคนนั้นอยากจะตามออกไป แต่กลับถูกโจวเจ๋อจับเอาไว้

เด็กทารกดิ้นรน ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง แต่โจวเจ๋อไม่สนใจการตอบสนองของเขา และยังคงกดเขาลงไปบนพื้น

“เจ้าจะตามไปทำไม ถ้าตามไปอีก แม้แต่ชาติหน้าเจ้าก็จะไม่มีโอกาส” โจวเจ๋อกล่าว

“จือจือๆๆ…”

เด็กทารกยังคงดิ้น ไม่ฟังคำพูดของโจวเจ๋อเลยด้วยซ้ำ

“ท่านยมทูต” ศพผีสาวเข้ามาใกล้โจวเจ๋อ แววตาสวยเป็นประกาย เหมือนอยากจะเอาใจ เห็นได้ชัดว่า นางคิดว่าโจวเจ๋อจับเด็กทารกเอาไว้เพราะอยากจะให้เธอบำรุงเป็นอาหาร

ใช่ไหมเล่า ผู้ชายส่วนใหญ่ล้วนมีความฝันอย่างหนึ่ง

ศพผีสาวรู้สึกว่าตัวเองเหมาะสมพอดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุหรือว่ารูปร่าง

“ท่านยมทูต…ไม่…อ้อ…เถ้าแก่…อืม…ไม่…ไม่…”

ศพผีสาวตัวสั่นร้อนวูบวาบ และส่วนที่เป็นจุดเด่นก็สั่นพอดิบพอดี

จากนั้นนางอยากจะหยุด แต่กายเนื้อกลับไม่ฟัง

เป็นภาพที่น่าดูมาก

“ข้ายังต้องโตเป็นสาวอีกนะเจ้าคะ ตราบใดที่ได้รับการบำรุงเพียงพอ”

“ไสหัวไป”

“…” ศพผีสาว

“ช่วยผมจับตาดูเขา อย่าให้เขาหนีไปได้ ถ้าหากคุณกินเขาแล้ว คุณก็ต้องตายไปพร้อมกัน” โจวเจ๋อลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“เจ้าค่ะ เถ้าแก่”

ศพผีสาวคุกเข่าลง สองมือจับเด็กทารกไว้แน่น

“เถ้าแก่ เขาจะไม่ไปแจ้งความใช่ไหมเจ้าคะ” ศพผีสาวกลัวความยุ่งยาก

“ไม่หรอก คนอย่างเขาจะไม่โวยวายให้คนทั้งโลกได้รู้ว่าเขาดื่มเหล้าเมาแล้วโดนต่อย”

“หึ เป็นพ่อหนุ่มที่ตายแล้วก็ยังต้องรักษาหน้าตา” ศพผีสาวพูดอย่างดูถูก

อันที่จริง โจวเจ๋อยังไม่ได้พูดอีกหนึ่งประโยค เรื่องนิสัยของไอ้หมอนั้น จริงๆ แล้วเหมือนตัวเองในตอนแรก

โจวเจ๋อมองดูตำแหน่งกลางฝ่ามือข้างขวาของตัวเอง แล้วหลับตาลงช้าๆ พลางท่องอะไรในอยู่ในใจ จากนั้นจึงลืมตาอีกครั้ง

อืม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ต่อจากนั้น โจวเจ๋อจึงคุกเข่าลง ยื่นฝ่ามือของตัวเองออกมา แล้วหันไปมองเด็กทารกคนนั้น

อืม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม

ศพผีสาวที่จับเด็กทารกอยู่ข้างๆ แรกเริ่มรู้สึกงงมาก แต่ไม่ช้าก็รีบตอบสนองว่าโจวเจ๋อจะทำอะไร จากนั้นร่างกายจึงสั่นเล็กน้อย นี่คือพยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะ

โจวเจ๋อเหลือบตามองศพผีสาว “ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน”

ใช่แล้ว โจวเจ๋อเองก็ยังยิ้มเจื่อนๆ

สาวน้อยโลลิเคยพูดว่ากุญแจแห่งนรกวางอยู่กลางฝ่ามือของตัวเอง ทว่าตอนที่ตัวเองจะเปิดประตูส่งวิญญาณเข้าไปเป็นครั้งแรก กลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดอย่างไร

อย่างไรก็ตาม สาวน้อยโลลิไม่น่าจะล้อเล่นกับตัวเองเฉยๆ ประทับสิ่งที่คล้ายรอยสักไว้กลางฝ่ามือของตัวเอง

“ฮ่าๆๆๆๆ…ข้าจะหัวเราะเถ้าแก่ได้ยังไงเจ้าคะ…

ฮ่าๆๆๆๆ…ข้าไม่กล้าดูหมิ่นเถ้าแก่หรอกเจ้าค่ะ…

ฮ่าๆๆๆๆ”

“โอเค คุณรู้ไหมว่าเปิดยังไง” โจวเจ๋อถาม

ศพผีสาวส่ายหน้า “เถ้าแก่ ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าค่ะ หรือว่า ต้องมีคาถาอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ”

โจวเจ๋อได้ยิน แล้วจึงนึกย้อนภาพที่สวี่ชิงหล่างเคยพูดกับตัวเองถึงตอนที่สาวน้อยโลลิต้าเรียกวิญญาณของเขากลับไป

ทันใดนั้น เขาจึงแบมือ แล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า

“ทางเดินสู่นรก ข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง”

“ฮู้…”

ด้านนอกประตูกระจก มีใบไม้แห้งหล่นลงถูกพัดพาไปตามสายลม

ดูเหมือนจะมีกาตัวหนึ่งบินผ่านพลางร้อง “กา…กา…กา”

ภายในร้านหนังสือ ยังคงเงียบสนิท

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ

“หรือว่า ต้องเปลี่ยนคาถาใหม่” ศพผีสาวแนะนำ “ทุกคนต้องมีสไตล์ที่เหมาะกับตัวเองใช่ไหมเล่า”

“หรือว่าคุณอยากให้ผมตะโกนว่า เซซามี ประตูจงเปิด[1]” โจวเจ๋อย้อนถาม

“อันนี้ ก็ต้องดูว่าเถ้าแก่ชอบส่วนไหนของร่างกายเจ้าค่ะ”

ศพผีสาวยังคงพูดลอยๆ ไปเรื่อย

โจวเจ๋อจำได้ว่าคืนนั้นตอนที่ชกต่อยกับสวี่ชิงหล่าง เขาตะโกนคาถาว่า ‘สวรรค์และโลกไร้ขอบเขต ใจลึกล้ำคือธรรมะ’ จากนั้นเอายันต์กับกระจกทองเหลืองออกมา

แต่หลังจากจบเรื่องก็เหมือนกับที่สวี่ชิงหล่างได้กล่าวไว้ นั่นเป็นแค่บทพูดสองประโยคในละครโทรทัศน์ที่เขาเคยดูรู้สึกว่ามันเท่ ดังนั้นจึงหยิบมาใช้ คล้ายกับเพลงประกอบในภาพยนตร์ในตอนที่ตัวเอกออกมา

อันที่จริง ไม่ได้เรื่องอะไรเลย

ตอนนี้มาลองคิดดู มีความเป็นไปได้ที่สาวน้อยโลลิจะอ้าปาก แลบลิ้นออกมาแล้วพูดประโยคนั้น ‘ทางเดินสู่นรกข้ามสู่แดนน้ำพุเหลือง’ น่าจะคล้ายกับประโยคที่เพิ่มความเท่แบบนั้น

สงสัยว่านิสัยขี้เล่นของสาวน้อยโลลิกับสวี่ชิงหล่างไม่ต่างกันมาก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นยมทูตอาวุโสก็ตาม

ทันทีที่โจวเจ๋อใช้ความคิด เล็บนิ้วชี้มือซ้ายเริ่มยาวออกมา

ศพผีสาวเผยสีหน้าหวาดกลัว นางกลัวโจวเจ๋อ และกลัวมากที่สุดก็คือเล็บของโจวเจ๋อ บนเล็บนี้ มีกลิ่นอายที่ทำให้นางหวาดผวา

นี่ทำให้ตัวของโจวเจ๋อเองสงสัยอยู่บ้าง ตอนแรกที่ชายชรามาตายอยู่ตรงหน้าตัวเอง ไม่ใช่เรื่องธรรมดาง่ายๆ แบบนั้นแน่นอน

ผู้ที่แอบลักลอบเข้ามามีสองประเภท ประเภทที่หนึ่งก็เหมือนกับตัวเอง ต้องพยายามถ่อมตัวไม่โอ้อวด อีกประเภทหนึ่งก็เหมือนกับคนนั้นในเมืองหรงเฉิงที่สาวน้อยโลลิพูดถึง ก่อเรื่องวุ่นวาย จนกระทั่งเหล่ายมทูตยังรู้สึกว่าเป็นปัญหาที่รับมือยาก

อย่างไรก็ตาม ชายชราที่แพร่เชื้อนั่นมาที่เล็บของตัวเอง ไม่น่าจะใช่เรื่องธรรมดา

เล็บสีดำทะลุเข้าไปตรงกลางฝ่ามือขวาของโจวเจ๋อ จากนั้นตอนที่โจวเจ๋อชักเล็บมือออกมา ไหมสีดำเส้นหนึ่งถูกโจวเจ๋อดึงออกมาด้วย

ร้อนเหมือนกับคาราเมล เหนียวแน่นมาก แต่กลับไม่ขาด

เส้นไหมที่ดึงออกมา ถูกโจวเจ๋อวาดเป็นกรอบสี่เหลี่ยม

ทันใดนั้น กรอบสี่เหลี่ยมก็ลอยขึ้นมา

ในนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ พลันมีเมฆลอยอยู่กลางท้องฟ้า ลมเย็นมืดครึ้มกลุ่มหนึ่งเริ่มพัดมา

เด็กทารกที่อยู่ในมือของศพผีสาวเริ่มดิ้นรน เห็นได้ชัดว่า เขาไม่อยากกลับเข้าไปในนรก

คนตายก็เหมือนตะเกียงดับ

ทว่าคนที่ปล่อยวางได้จริง กลับมีไม่มากนัก

คนแก่มากมายกระทั่งคนที่เลวคนชั่วช้า ยังอยากจะมีชีวิตต่อ นับประสาอะไรกับเด็กทารกคนนี้

แต่โจวเจ๋อรู้ดี ว่าที่พาเขาลงนรก เพื่อรอการเริ่มต้นใหม่และการกลับชาติมาเกิด ถึงจะเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด

ไม่จำเป็นต้องถามความคิดเห็นจากเขา เวลานี้ โจวเจ๋อเห็นได้ชัดว่ามีความป่าเถื่อนมาก เขาจับเด็กทารกมาจากศพผีสาว และจากนั้นก็โยนเข้าไปในกรอบสี่เหลี่ยมที่ดำทะมึนโดยตรง

หลังจากนั้น กรอบสี่เหลี่ยมก็ค่อยๆ จางหายไป กลิ่นเหม็นไหม้จางๆ ลอยคลุ้งอยู่กลางอากาศ

ศพผีสาวแลบลิ้นออกมา ไม่พูดอะไร

โจวเจ๋อกลับเหม่อลอยเล็กน้อย จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ตัวเองส่งวิญญาณกลับไปในนรก แต่กับสุภาพสตรีที่หวังว่าจะอยู่เป็นเพื่อนลูกชายของเธอครั้งที่แล้ว โจวเจ๋อกลับไม่ได้ทำอะไร

“นรกน่ะ คุณเคยไปไหม” โจวเจ๋อถาม

“ไม่เคย” ศพผีสาวตอบตามตรง “และข้าก็ลงไปไม่ได้”

ศพผีสาวไม่มีดวงจิตเป็นของตนเอง

ผีดิบไม่เข้าองค์ประกอบธาตุทั้งห้า ไม่เวียนว่ายตายเกิด

ยามที่ได้ฟังรู้สึกว่ายอดเยี่ยมมาก แต่ประโยคที่เติมมาข้างหลังนี่

คนแค้นผีชัง สวรรค์ยังทอดทิ้ง!

หมายความว่าถ้าหากศพผีสาวไม่มีอะไรทำแล้วออกไปเดินเล่น มีความเป็นไปได้ที่จะโดนฟ้าผ่าตอนกลางวัน จากนั้นนางก็จะหายวับไปกับตา

โลกใบนี้ สำหรับนางแล้วไม่เป็นมิตรเลยสักนิด

โลกมนุษย์

โลกวิญญาณ

สิ่งที่มีตัวตนที่ไม่เข้าพวกกับทั้งสองอย่างก็คือพวกนอกรีต

โจวเจ๋อกลับไปนั่งที่ด้านหลังเคาน์เตอร์ของตัวเอง เขาไม่ได้รู้สึกดีใจ แต่รู้สึกเหงาและเบื่อเท่านั้น

ถ้าหากจะพูดว่าเปรียบโลกมนุษย์เป็นเหมือนสายการผลิต เช่นนั้นสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ อย่างมากก็คือการนำของเสียโยนทิ้งใส่เตาเผาแล้วหลอมแล้วสร้างใหม่

“เถ้าแก่ ที่นี่มีปึกอันนี้เจ้าค่ะ”

ศพผีสาวหยิบเงินกระดาษสองสามใบขึ้นมา แล้วยื่นให้โจวเจ๋อ

โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมีค่าตอบแทน

“คนเป็นหัวหน้าคุยง่าย ลูกน้องตัวเล็กตัวน้อยคุยยาก” ศพผีสาวพูดประโยคนี้จบรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ยังบากหน้าพูดต่อ “ยมทูตส่งคนตายไปนรก สิ้นสุดการเดินทางที่ทรมาน นี่คือความหมายที่พึงมีอยู่ในหัวข้อนี้ สงสัยว่า แม่ของเขาจะน่าเผาเงินให้เขากระมัง”

โจวเจ๋อพยักหน้า พลางเก็บเงินกระดาษ แล้วจึงนำไปใส่ในลิ้นชักหลังเคาน์เตอร์ของตัวเอง ที่ยังมีเงินกระดาษเหลือจากครั้งที่แล้ว ถึงแม้จะเพิ่มมาสองสามใบ แต่ก็ยังน้อยอยู่ดี

“คุณรู้จักเพื่อนไหม ช่วยแนะนำคนมาบ้าง เป็นคน…อ้อไม่ เป็นผีก็ต้องอ่านหนังสือ ถึงจะยิ่งพัฒนา”

“เถ้าแก่ ข้ารู้จักเพียงวิญญาณเร่ร่อนไร้ญาติขาดมิตรอยู่บ้าง พวกเขาก็ไม่มีคนจุดธูปเซ่นไหว้มานานแล้ว จึงไม่มีเงินอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาก็ไม่กล้ามาอยู่ตรงหน้าท่าน ถ้าหากถูกท่านจับได้ ก็เท่ากับทำผลงานให้ท่านฟรีไม่ใช่หรือ”

“ผลงานอะไร” โจวเจ๋อเพิ่งได้ยินอันนี้เป็นครั้งแรก “เป็นยมทูตก็ต้องมีผลงานเหมือนกันเรอะ”

“หรือว่าไม่มีเจ้าคะ” ศพผีสาวถามอย่างสงสัยใคร่รู้

“ผมไม่รู้” โจวเจ๋อยักไหล่ เขาไม่รู้จริงๆ เพราะสาวน้อยโลลิบอกตัวเขาเองแค่ประโยคเดียวว่า ‘เจ้าคือคนที่รู้จักประมาณตนมากที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ’ จากนั้นก็หายวับ

แล้วก็ลงนรกไป

หนำซ้ำไม่ได้ทิ้งหนังสือ ‘หลักจรรยาบรรณของยมทูต’ หรือ ‘ยมทูตที่ดีมีอุดมคติ เก่งการต่อสู้ และรู้สึกแสวงหาต้องทำอย่างไร’ ไว้ให้ตัวเองสักเล่มเดียว

“แต่คิดว่า น่าจะมีอยู่นะเจ้าคะ” ศพผีสาวพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “ก็เหมือนกับนายหญิงของข้า ที่อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ถึงสองร้อยปี ปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน สุขุมรอบคอบและมีความระมัดระวัง ไม่มีอะไรมากไปกว่าหลังจากกลับไปที่นรกแล้ว อยากจะไถ่โทษความผิดที่อยู่ในโลกมนุษย์ในคราวก่อนขณะเดียวกันยังสามารถขอตำแหน่งข้าราชการได้หนึ่งตำแหน่ง ถ้าหากศาลเจ้าของนางไม่ถูกทำลายในตอนแรก และยังมีการกราบไหว้บูชาอยู่ล่ะก็ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้”

“คุณยังรู้จักยมทูตคนอื่นอีกใช่ไหม” โจวเจ๋อถาม

“ข้าจะรู้จักยมทูตคนอื่นได้ยังไงเจ้าคะ”

“อ้อ” โจวเจ๋อพยักหน้า สงสัยหลังจากนี้จะต้องไปถามผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ดู

เวลานี้เอง เสียงรถจักรยานไฟฟ้าดังมาจากด้านนอก สวี่ชิงหล่างกลับมาแล้ว

“โอ้โหแม่งเอ๊ย เหนื่อยผมจริงๆ”

สวี่ชิงหล่างเดินเข้าไปในร้านหนังสือ แล้วโยนบุหรี่หนึ่งมวนให้โจวเจ๋อ

“ไหนบอกว่าไปสั่งทำป้ายยังไงล่ะ” โจวเจ๋อถาม

“อันนั้นสั่งเสร็จแล้ว จากนั้นผมก็เลยไปสั่งสินค้าล็อตหนึ่ง ช่วงนี้ที่ท่าเรือหว่านไจ๋ลดราคาพิเศษ ผมเลยตุนไว้เยอะหน่อย ทำเอาผมเหนื่อยเลย”

“เกี๊ยวของนายไม่ได้ทำสดๆ เหรอ”

“ฮิๆ โคล่าในร้านอาหารจานด่วนยังไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตข้างๆ แล้วค่อยขาย แล้วผมจะมีเวลาว่างที่ไหนห่อเกี๊ยวที่บ้านทุกวัน”

“ท่าเรือหว่านไจ๋เหมาะกับนายมาก”

“อ้อใช่ ผมก็ชอบรสชาตินั้นนะ…เฮ้ย ไม่คุยแล้ว ผมเอากลับไปใส่ตู้เย็นก่อน” สวี่ชิงหล่างโบกมือให้โจวเจ๋อ แล้วจึงกลับไปที่ร้านของตัวเอง

หลังจากสวี่ชิงหล่างกลับไป ศพผีสาวก็หลุดหัวเราะออกมาในทันที

โจวเจ๋อแปลกใจเล็กน้อย “คุณเข้าใจเหรอ”

ศพผีสาวหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เขาหน้าตาดีจริงๆ ผู้ชายส่วนใหญ่เวลาอยู่กับเขาคงจะชอบไม้ป่าเดียวกันไปหมดใช่ไหมเจ้าคะ

ดังนั้นนะ…ท่าเรือหว่านไจ๋”

…………………………………………………………………………

[1] เซซามี ประตูจงเปิด มาจากเรื่องอาละดินตอนที่จะเปิดประตูถ้ำ