เล่ม 1 ตอนที่ 209 หนุ่มน้อยผู้ล้ำเลิศ

สลับชะตา ชายามือสังหาร

เป่ยกงถังเห็นเสี่ยวถูร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจถึงเพียงนั้นจึงมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างลำบากใจอยู่บ้างแล้วพูดว่า “ไม่อย่างนั้นพวกเราก็พาเขาไปด้วยเถิด”

“เจ้านี่… พอได้พบเขาก็จบเห่เลยนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองเป่ยกงถังอย่างไม่เห็นด้วยแล้วพูดว่า “เรื่องนี้พวกเราจะคุยกันแค่สองคนไม่ได้หรอกนะ ต้องไปหารือกับพวกเขาด้วย”

เมื่อเทียบกับชะตาชีวิตที่ไม่รู้อนาคตแล้ว การอยู่ที่นี่ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

เป่ยกงถังเรียกพวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนมาแล้วพูดเรื่องเสี่ยวถูให้ฟัง ทั้งสามคนก็ออกจะไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง

“ที่แท้แล้วตระกูลซือหม่าแห่งอาณาจักรอู๋กลางมีสถานการณ์เป็นเช่นไรพวกเราก็ยังไม่รู้เลย ถ้าหากดีก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าหากอีกฝ่ายพูดไม่รู้เรื่อง พอถึงตอนนั้นหากเขาไปกับพวกเราด้วยจะเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งหรอกหรือ” เว่ยจือฉีพูด

“ข้าเห็นด้วยกับจือฉีนะ” โอวหยางเฟยพูด

“แต่เสี่ยวถูไม่อยากอยู่ที่นี่ เช่นนั้นหากเขาอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีความสุขนักหรอก” เจ้าอ้วนชวีพูด “หลังจากที่พวกเราไปถึงอาณาจักรอู๋กลางแล้วก็จัดการเขาให้ดีก่อน หลังจากนั้นค่อยไปช่วยพวกท่านปู่ก็ได้นี่”

ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้าก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าจะได้อยู่ดี มีปัจจัยที่พวกเราไม่รู้อยู่มากเกินไป”

“พี่สาว พี่ชาย พวกท่านไม่ต้องสนใจข้าหรอก พวกท่านไปทำธุระ ส่วนข้าก็รอพวกท่านอยู่แถวนั้นก็พอแล้ว หากพวกท่านจะวิ่งหนีเมื่อไหร่ ข้าก็แค่วิ่งหนีไปกับพวกท่านด้วย” เสี่ยวถูพูด

เมื่อเห็นเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว พวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็มิอาจทิ้งเขาไว้โดยไม่สนใจ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามองออกว่าเป่ยกงถังก็มิอาจตัดใจจากเขาได้

“เฮ้อ” ซือหม่าโยวเย่ว์ทอดถอนใจแล้วพูดว่า “เสี่ยวถู ถ้าหากพวกเราตายไปหมด เจ้าก็คงได้แต่กลายเป็นเด็กเร่ร่อนอีกครั้งนะ!”

“ไม่มีทางหรอก!” เสี่ยวถูพูดอย่างจริงใจ

“เพราะเหตุใดเล่า” เจ้าอ้วนชวีถาม

เสี่ยวถูมองเจ้าอ้วนชวีพลางเอ่ยว่า “หากพวกท่านตายกันหมด ข้าก็ต้องตายไปด้วยเช่นกัน ไม่มีทางกลายเป็นเด็กเร่ร่อนหรอก!”

หัวใจทุกคนสั่นสะท้าน เขาคิดจะร่วมเป็นร่วมตายกับพวกตนแล้วอย่างนั้นหรือ

“ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็เอาอย่างนี้แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “อย่างแย่ที่สุดตอนเกิดเรื่องก็พาเขาไปไว้ในที่แห่งนั้นแล้วกันนะ”

เสี่ยวถูไม่รู้จักที่แห่งนั้น แต่ทุกคนล้วนเข้าใจดีว่าคือภายในเจดีย์วิญญาณนั่นเอง

เมื่อตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พากันออกไปไม่วุ่นวายต่ออีก เหลือไว้เพียงแค่ซือหม่าโยวเย่ว์กับเสี่ยวถูสองคนเท่านั้น

ซือหม่าโยวเย่ว์ให้เสี่ยวถูกินยาวิเศษน้ำแข็งยะเยือกสองเม็ด เม็ดหนึ่งเธอใช้พลังวิญญาณเร่งปฏิกิริยา ส่วนอีกเม็ดนั้นเธอใช้พลังวิญญาณห่อหุ้มเอาไว้ให้คงอยู่ภายในร่างกายของเขา

เธอค้นพบว่าระยะนี้พลังจิตของตนก้าวหน้าขึ้นไม่น้อย จึงคิดเอาไว้ว่าถ้าหากเสี่ยวถูทนรับได้ไหว หลังจากที่เธอทลายเปิดเส้นลมปราณทั้งสิบสองเส้นแล้วก็จะทลายเปิดชีพจรเสริมเหล่านั้นไปด้วยเลย

เส้นลมปราณสามเส้นที่เหลือก็ถูกอุดกั้นอย่างสมบูรณ์เหมือนกับเส้นลมปราณเส้นอื่นๆ ก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าสิ่งปฏิกูลเหล่านั้นคืออะไรจึงได้แข็งทนทานถึงเพียงนั้น นอกจากนี้ยังอุดกั้นอยู่ในเส้นลมปราณได้ทุกเส้นอีกด้วย

เพราะมีความเชี่ยวชาญในการควบคุมเปลวเพลิงของเพลิงชาดมากยิ่งขึ้น คราวนี้เธอจึงทลายเปิดเส้นลมปราณได้รวดเร็วขึ้นไม่น้อย พอทลายเปิดเส้นลมปราณอีกสามเส้นที่เหลือจนหมดแล้วเธอจึงค่อยละลายยาวิเศษน้ำแข็งยะเยือกอีกเม็ดที่เหลือเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายของเสี่ยวถูลงอีกครั้ง แล้วตนจึงเคลื่อนเปลวเพลิงไปยังชีพจรเสริมของเขา

ถึงแม้ว่าชีพจรเสริมเหล่านั้นจะมิได้ถูกอุดสนิทเหมือนกับเส้นลมปราณ แต่ก็มีสิ่งปฏิกูลอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่ยังดีที่พวกมันมิได้แข็งเหมือนกับในชีพจรหลัก ทั้งยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นเธอจึงทำให้สะอาดหมดจดได้ในคราวเดียว

หลังจากที่เธอถอนเปลวเพลิงออกจากร่างกายของเสี่ยวถูแล้ว เขาก็หมดสติไปดังเช่นก่อนหน้านี้ แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับมิได้หมดสิ้นเรี่ยวแรงเหมือนเมื่อก่อน

เป่ยกงถังเข้ามา เห็นซือหม่าโยวเย่ว์สีหน้าไม่เลว จึงเอ่ยถามว่า “เสร็จสิ้นแล้วหรือ”

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าก่อนจะยืนขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เรื่องที่ข้าพอทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว ต่อไปเรื่องการสอนเขาฝึกยุทธ์ก็ยกให้พวกเจ้าแล้วละนะ! ข้าไม่มีความอดทนพอที่จะเป็นอาจารย์ได้หรอก”

เป่ยกงถังกลอกตาใส่เธอทีหนึ่ง “ไม่มีความอดทน เช่นนั้นใครเป็นผู้สอนข้ากับโอวหยางหลอมยาวิเศษกันเล่า”

“พวกเจ้าศึกษากันเองต่างหาก” ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบยาวิเศษเม็ดหนึ่งออกมากินแล้วพูดว่า “พอเขาฟื้นขึ้นมา เจ้าก็สอนเขาดูดซับปราณวิญญาณเข้าสู่ร่างกายแล้วกัน ก่อนหน้านี้เขาพอจะรับสัมผัสปราณวิญญาณได้บ้างแล้ว คิดว่าการดูดซับเข้าสู่ร่างกายก็คงจะไม่ยากมากนักหรอก”

“ได้สิ เจ้าไปพักผ่อนเถิด” เป่ยกงถังพูด

ก่อนซือหม่าโยวเย่ว์จะจากไปก็มองเสี่ยวถูปราดหนึ่ง ในใจบอกว่าเจ้าเด็กผู้นี้ได้มาพบกับตนช่างเป็นโชคดีอย่างแท้จริง ส่วนตนก็โชคดีเช่นเดียวกัน

ถ้าหากตอนนั้นเส้นลมปราณของเธอมิได้ถูกปิดตายเพราะถูกพิษ หากแต่ถูกสิ่งปฏิกูลที่แข็งราวกับเหล็กอุดกั้นเหมือนกับเสี่ยวถู เกรงว่าตนคงได้แต่เป็นคนไร้ค่าไปชั่วชีวิตจริงๆ เสียแล้ว

และถ้าหากเสี่ยวถูมิได้พานพบกับตน เกรงว่าก็คงต้องเป็นคนไร้ค่าไปชั่วชีวิตเช่นกัน

ช่างเป็นพรหมลิขิตโดยแท้! เธออุทานอยู่ในใจประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นจึงกลับไปพักผ่อน

เสี่ยวถูนอนหลับอยู่วันหนึ่งก็ฟื้นแล้ว พอลืมตาขึ้นมาเห็นห้องอันว่างเปล่า เขาจึงกระโดดลงมาจากเตียงในทันใดแล้วพุ่งตัวออกไปด้านนอกด้วยเท้าเปล่า ก่อนจะตะโกนอย่างตื่นตระหนกว่า “พี่ชาย พี่สาว!”

เป่ยกงถังที่กำลังหลอมยาอยู่ห้องข้างๆ คิดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเขาจึงตกใจจนเกือบจะทำให้เครื่องยาในเตาเสียหาย

เว่ยจือฉีเปิดประตูออกมาเห็นเสี่ยวถูเท้าเปล่า จึงถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ เสี่ยวถู”

เสี่ยวถูเห็นเว่ยจือฉีแล้วจึงค่อยคลายใจลง เขาพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของเว่ยจือฉีแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าพวกท่านโยนเสี่ยวถูทิ้งเอาไว้แล้วจากไปน่ะสิ”

เว่ยจือฉีตบศีรษะเสี่ยวถูเบาๆ พลางอมยิ้มเอ่ยว่า “ในเมื่อรับปากเจ้าเอาไว้แล้วก็ไม่มีทางทิ้งเจ้าเอาไว้หรอกน่า”

“อื้ม” เสี่ยวถูพยักหน้า

“สถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง” เว่ยจือฉีถาม “ฝึกยุทธ์ได้แล้วหรือยังเล่า”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน พอข้าฟื้นแล้วก็วิ่งออกมาเลยขอรับ” เสี่ยวถูพูดอย่างขอโทษขอโพย

เว่ยจือฉีมองเท้าเปล่าเปลือยของเขาแล้วจึงยิ้มอย่างเข้าใจ ก่อนจะเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราเข้าไปในห้องของเจ้ากัน แล้วข้าจะสอนเจ้าฝึกยุทธ์เอง”

“อื้ม ได้เลย!” เสี่ยวถูยิ้มอย่างเบิกบานใจ

เป่ยกงถังได้ฟังคำพูดของเว่ยจือฉีแล้วจึงค่อยคลายใจลง ก่อนจะหลอมยาวิเศษในมือต่อไป

เสี่ยวถูที่กลับมาถึงห้องแล้วปีนขึ้นไปบนเตียง ก่อนจะจัดท่านั่งขัดสมาธิในท่าทางของการบำเพ็ญ หลังจากนั้นเว่ยจือฉีก็เริ่มบอกให้เขาหลับตาตั้งสมาธิ รับสัมผัสปราณวิญญาณ ทั้งยังบอกเขาด้วยว่าปราณวิญญาณธาตุใด ก็จะเป็นจุดแสงสีนั้น

“พี่จือฉี ข้ารับสัมผัสปราณวิญญาณได้นานแล้วล่ะ” เสี่ยวถูพูด

“รับสัมผัสได้นานแล้วอย่างนั้นหรือ” เว่ยจือฉีพูดอย่างตกใจ

ยังไม่อาจบำเพ็ญได้ ก็รับสัมผัสได้อย่างนั้นหรือ

“อื้ม หลังจากที่พี่โยวเย่ว์ทลายเปิดเส้นลมปราณครั้งแรกให้กับข้า ข้าก็รับสัมผัสปราณวิญญาณได้แล้ว” เสี่ยวถูตอบ

“เช่นนั้นเจ้ารับสัมผัสปราณวิญญาณธาตุใดได้เล่า” เว่ยจือฉีนึกถึงสายโลหิตสัตว์อสูรวิเศษในตัวเขาขึ้นมา คาดว่าการเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นคงเป็นเรื่องปกติ

“ข้าลองดูก่อนนะ” เสี่ยวถูพูดจบแล้วก็หลับตาลง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นแล้วพูดว่า “มีธาตุน้ำ ธาตุน้ำแข็ง อ้อ ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคือสิ่งใดด้วย”

“สีอะไรหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“สีขาว” เสี่ยวถูพูด “แต่ค่อนข้างจะน้อยนะ”

สีขาวหรือ

เว่ยจือฉียังไม่เคยพบเจอพลังวิญญาณสีขาวมาก่อนเลย เขาระลึกถึงความรู้เกี่ยวกับการแบ่งธาตุของปราณวิญญาณ ก็นึกถึงที่เฟิงจือสิงเคยบอกในตอนนั้นว่ามีธาตุที่หายากยิ่งกว่าธาตุน้ำแข็ง ธาตุหิมะ และธาตุลมอยู่ นั่นก็คือธาตุแสงสว่างและธาตุความมืด และจุดแสงที่ผู้มีธาตุแสงสว่างรับสัมผัสได้ก็คือสีขาวนั่นเอง

คิดไม่ถึงว่านอกจากเสี่ยวถูจะมีธาตุน้ำแข็งอันหาได้ยากแล้ว ยังมีธาตุแสงสว่างที่พบเจอได้ยากยิ่งกว่าอยู่อีกด้วย ซึ่งในปรมาจารย์วิญญาณแสนคนจะพบเจอได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้นเอง!