บทที่ 335 พ่อแม่ฉันอยู่ไม่ชิน / บทที่ 336 หลานสาวคุณคนนี้เก่งกาจ โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 335 พ่อแม่ฉันอยู่ไม่ชิน
ตอนนี้ แขกเหรื่อรอบๆ ต่างตกใจอีกครั้ง
เกรงว่าคำว่าหน้าด้านก็ยังไม่พอที่จะใช้บรรยายแม่ลูกคู่นี้…
“น้าหญิงอย่าเพิ่งโมโหเลยค่ะ” เยี่ยหวันหวั่นยิ้มมุมปากพลางกล่าว “อันที่จริง ตอนนี้ดูไปแล้วบ้านที่พ่อแม่ของหนูยกให้พวกคุณก็ไม่ได้ใหญ่โตจริงๆ ต่อให้พวกคุณย้ายออกไป สำหรับครอบครัวเราสี่คนแล้วก็ยังค่อนข้างเล็กอยู่มาก ถ้าเช่นนี้…หนูขอเป็นตัวแทนของพ่อกับแม่ ยกบ้านหลังนี้ให้พวกคุณเลย”
พูดจบ เยี่ยหวันหวั่นก็มองไปทางเยี่ยเส่าถิงและเหลียงหวั่นจวิน เอ่ยว่า “พ่อคะ แม่คะ…ครอบครัวน้าหญิงมีกันสามคน เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หากผลักไสไล่ส่งพวกเขาจริงๆ กลัวว่าจะไม่มีที่ไป จะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน หาว่าพวกเราแล้งน้ำใจ…”
เยี่ยหวันหวั่นถือกุญแจพวงหนึ่งอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
“พ่อคะ แม่คะ…”
เยี่ยหวันหวั่นวางกุญแจลงเบาๆ ตรงหน้าของพวกเขา
กุญแจสีม่วงเข้ม ความยาวประมาณหนึ่งนิ้ว มีเครื่องหมาย ‘จินโตวปี้ไห่’ ด้วย
“บ้านที่จินโตวปี้ไห่?!”
ได้เห็นกุญแจพวงนั้น ฟางซิ่วหมิ่นและเหลียงซือหานพลันตกตะลึงทันตา
จินโตวปี้ไห่เป็นหนึ่งในเขตคฤหาสน์ที่หรูหราที่สุดของเมืองหลวง ปัจจุบันนี้ ต่อให้มีเงินก็ยากจะซื้อมาได้
“นี่…เป็นไปได้อย่างไร!”
ฟางซิ่วหมิ่นมีสีหน้าไม่อาจเชื่อได้ บ้านที่จินโตวไห่ของเยี่ยเส่าถิงไม่ได้เอาไปจำนองต่อศาลตั้งนานแล้วเหรอ?
ต่อให้จะซื้อคืนมา ก็เป็นราคาสูงเสียดฟ้าเลยทีเดียว เยี่ยหวันหวั่นมีดีอะไร?
เหลียงหวั่นจวินรับกุญแจมาอย่างงงๆ มองหน้าสบตากันกับสามี ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก แม้แต่เยี่ยมู่ฝานนัยน์ตายังเปี่ยมไปด้วยแววตาของความประหลาดใจ
เยี่ยหวันหวั่นผมยาวปล่อยสยายทิ้งตัวอยู่ข้างหลัง กวาดสายตาไปทางครอบครัวของเหลียงซือหาน คล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ดังนั้น บ้านหลังนั้นก็ให้น้าชายกับน้าหญิงเก็บไว้เองเถอะ พ่อกับแม่หนูคงไม่ชินที่จะอยู่ที่นั่น”
บอกเป็นนัยยะว่าบ้านหลังนั้นที่พวกเขาเห็นเป็นของรักของหวง ไม่คู่ควรที่พ่อกับแม่ของเธอจะมาอยู่ บ้านหลังนั้นก็แค่ของที่พวกเธอไม่เอาแล้วทิ้งให้พวกเขาก็เท่านั้น
ฟางซิ่วหมิ่นขบฟันด้วยความโมโห ทว่าก็พูดอะไรไม่ออกสักคำ
และในเวลานี้เยี่ยเส่าถิงมองเยี่ยหวันหวั่นด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสับสน คนตรงหน้าคือลูกสาวที่เย่อหยิ่งโอหังในความทรงจำของเขาจริงงั้นหรือ…
ในสมองส่วนลึกของเยี่ยเส่าถิง เงาร่างของคนทั้งสองตั้งแต่ต้นจนสุดท้ายไม่อาจทับซ้อนกันได้เลย ถึงขั้นที่แตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน ไม่ว่าจะท่าทางนับจากวันนี้ หรือจะเป็นบุคลิกอุปนิสัย อีกทั้งพฤติกรรมการพูดจา
“เยี่ยหวันหวั่น ต่อให้เธอจะมีคฤหาสน์ของจินโตวปี้ไห่แล้วยังไง ใครๆ ก็รู้ว่าเธอได้บ้านหลังนั้นมายังไง! อายุน้อยแค่นี้ ไม่มีการไม่มีงาน ถูกโรงเรียนไล่ออกเรียนไม่จบมัธยมปลาย ต่อไปก็จะกลายเป็นเสนียดสังคม!” เหลียงซือหานลุกขึ้นยืน ชี้หน้าเยี่ยหวันหวั่นกล่าววาจาเย้ยหยัน
เธอรู้ข่าวนี้มานานแล้วว่าชิงเหอต้องการไล่เยี่ยหวันหวั่นออก ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ว่าไปใช้ชีวิตเหลวแหลกอยู่ข้างนอกอย่างไรบ้าง
เยี่ยหวันหวั่นกลับไม่ชายตามองเหลียงซือหานเลยสักนิด ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกอยากจะสนทนาด้วย
“ซือหาน ลูกกำลังจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนิเทศน์เมืองหลวง จบไปก็จะได้เป็นเสาหลักของสังคม อย่าไปเถียงกับคนไม่มีหลักแหล่งเป็นกากเดนของสังคมพันธ์นั้นเลย!” ฟางซิ่วหมิ่นได้ยินเช่นนี้จึงเอ่ยกระทบด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“มหาวิทยาลัยนิเทศน์เมืองหลวง? ยอดพีระมิดของวงการสื่อ…เป็นติ่งสูงสุด…”
บรรดาแขกเหรื่อในงานมีสีหน้าแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองเหลียงซือหานอยู่หลายครา
“สอบเข้ามหาวิทยาลัยนิเทศน์เมืองหลวงได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ อนาคตไปไกลแน่นอน”
“ปรมาจารย์ด้านสื่อหลายคนอยากจะเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยนิเทศน์เมืองหลวงก็ยังทำไม่ได้!”
มหาวิทยาลัยนิเทศน์เมืองหลวงเป็นที่รู้จักในฐานะสถาบันการศึกษาที่คัดเลือกนักศึกษาเข้มงวดที่สุดในเมืองหลวง จำนวนนักศึกษาแต่ละรุ่นแม้จะมีไม่มาก แต่เมื่อจบออกมาล้วนเป็นสุดยอดของวงการสื่อทั้งนั้น
ได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนแล้ว ฟางซิ่วหมิ่นพลันกวาดความหม่นหมองทิ้งไปได้ ใบหน้าเผยสีหน้าแห่งความภาคภูมิใจ สายตาที่กวาดมองไปทางเยี่ยหวันหวั่นเหมือนกับว่าฉันอยู่เหนือกว่า
…………………………………
บทที่ 336 หลานสาวคุณคนนี้เก่งกาจ
“ซือหาน ไป พวกเราไปอวยพรคุณปู่กัน!”
คิดว่าลูกสาวสอบเข้ามหาวิทยาลัยการสื่อสารมวลชนได้ ฟางซิ่วหมิ่นกลับมาภาคภูมิใจอีกครั้ง ลุกขึ้นพาเหลียงซือหานเดินไปทางโต๊ะหลักด้านหน้าสุด
เมื่อเหลียงซือหานมาพร้อมกับฟางซิ่วหมิ่น เหล่าผู้อาวุโสที่โต๊ะต่างหันมามองพวกเขาสองคน
“คุณปู่ ขอให้คุณปู่อายุยืนยาว อยู่ไปถึงสามพันปีเลยค่ะ!” เหลียงซือหานมองไปทางผู้อาวุโสด้านข้าง พูดยิ้มแย้มอย่างว่านอนสอนง่าย
เยี่ยหงเหวยไม่ขยับเลย นิ่งขรึมมาก ถึงแม้ใบหน้าจะดูแก่ชรา แต่กลับดูมีอำนาจดั่งสิงโต
ผ่านไปนาน เยี่ยหงเหวยพยักหน้า ถือว่ารับรู้แล้ว
“ซือหาน” ฟางซิ่วหมิ่นชี้ไปยังผู้อาวุโสอีกคนที่ผมขาวเต็มศีรษะ ใส่แว่นสายตาข้างเยี่ยหงเหวยแล้วพูด “ท่านนี้คือศาสตราจารย์รับเชิญจากมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวง ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย รีบทักทายเร็วเข้า!”
หลังจากนี้ไม่นาน เหลียงซือหานก็จะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงแล้ว ฟางซิ่วหมิ่นย่อมคิดจะใช้โอกาสนี้ สร้างความสัมพันธ์กับศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย
“คุณปู่หลี่ สวัสดีค่ะ!” เหลียงซือหานพูดเสียงอ่อนหวาน
พอได้ยิน หลี่เยวี่ยยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด “เหลียงซือหานใช่ไหม นักเรียนรุ่นพวกเธอ ฉันแทบจะจำได้หมด อายุอย่างพวกเธอ สอบเข้ามหาวิทยาลัยนิเทศเมืองหลวงได้ ไม่เลวเลย อีกหน่อยต้องขยันมากขึ้นอีกนะ”
“ขอบคุณคุณปู่หลี่ที่ชมค่ะ ซือหานจะขยันแน่นอนค่ะ” เหลียงซือหานพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
ฟางซิ่วหมิ่นกำลังคิดจะพูดอะไร แต่กลับมีเสียงอ่อนหวานจากด้านหลังดังขึ้นมา
“คุณปู่ สุขสันต์วันเกิดค่ะ”
เยี่ยหวันหวั่นที่มาพร้อมชุดราตรี บุคลิกท่วงท่าสง่างาม
เห็นเยี่ยหวันหวั่น เยี่ยหงเหวยก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
กับหลานสาวคนนี้ เยี่ยหงเหวยแทบไม่มีความประทับใจอะไรเลย หลายปีก่อน เยี่ยหวันหวั่นเข้ามาบ้านใหญ่ตระกูลเยี่ยก็ก่อเรื่องใหญ่มาหลายครั้ง ทุกครั้ง จะทำให้ความประทับใจของเยี่ยหงเหวยที่มีต่อหลานสาวคนนี้ลดลงทุกที จนถึงตอนนี้เขาไม่อยากจะเจอเธออีกแล้ว
“อืม”
ในน้ำเสียงของเยี่ยหงเหวย แสดงออกถึงความเย็นชาชัดเจน
รู้ถึงท่าทีที่ผู้อาวุโสมีต่อเยี่ยหวันหวั่น เหลียงซือหานเลยไม่สนใจ เหลือบมองเยี่ยหวันหวั่นแวบหนึ่ง “ฉันกับแม่ยังมีเรื่องจะปรึกษาคุณปู่กับศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย รบกวนเธอช่วยออกไปก่อน”
ยังไม่ทันทีเยี่ยหวันหวั่นจะพูด ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยรีบลุกขึ้นยืนทันที หรี่ตาสองข้าง ใช้ปลายนิ้วประคองกรอบแว่น พิจารณาเยี่ยหวันหวั่นอย่างละเอียด
“เธอจบมาจากโรงเรียนไหน?” ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยพูด
“คุณปู่หลี่ พูดไปแล้วก็กลัวท่านจะหัวเราะเยาะ เยี่ยหวันหวั่นเรียนม.ปลายไม่จบก็โดนโรงเรียนไล่ออกแล้ว ยังเรียนไม่จบเลย” ฟางซิ่วหมิ่นหรี่ตามองเยี่ยหวันหวั่น ไม่รอให้เยี่ยหวันหวั่นตอบก็ยิ้มแล้วพูดอย่างเย็นชา
“เยี่ยหวันหวั่น?” ตอนนี้ สีหน้าศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยอึ้งไป พูดขึ้นมาด้วยแววตาสงสัย “เธอเป็นนักเรียนของชิงเหอ!”
เห็นท่าทางของศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย สีหน้าเยี่ยหงเหวยก็ดูไม่ค่อยดี บนโต๊ะนี้เป็นแขกคนสำคัญของเขา หรือว่า เยี่ยหวันหวั่นนี่ไปทำเรื่องน่าอายจนไปถึงศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยแล้ว…
คิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าที่เยี่ยหงเหวยมองเยี่ยหวันหวั่น ก็ยิ่งเย็นชาขึ้นมาอีก
เยี่ยหวันหวั่นมองศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ค่ะ”
“ฉันก็ว่าทำไมถึงคุ้นหน้าเธอ” สีหน้าศาสตราจาย์หลี่เยวี่ยดูตื่นเต้นขึ้นมา แววตาดูกระตือรือร้น
ศาสตราจารย์หลี่เยวี่ยมองสีหน้าที่เย็นชาของเยี่ยหงเหวย ใบหน้าแสดงความดีใจแล้วพูด
“ผู้อาวุโสเยี่ย หลานสาวสุดที่รักคุณคนนี้เก่งกาจมาก!”
ได้ยินคำพูดนี้ของศาสตราจารย์หลี่เยวี่ย ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง ไม่ค่อยเข้าใจ
ฟางซิ่วหมิ่นและเหลียงซือหานสองแม่ลูกมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เยี่ยหงเหวยก็อึ้งไปเช่นกัน แล้วพูดด้วยความสงสัย “หมายความว่ายังไง?”
……………………………………….