ตอนที่ 219 เจ๊หร่านลงมือ เฉิงมู่พยายามเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่ง

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ในบรรดาคนเหล่านี้ เฉิงมู่เป็นคนเดียวที่รู้ว่าฉินหร่านเก่งคอมพิวเตอร์ขนาดไหน

 

 

เมื่อได้ยินเฉิงหั่วพูดถึงการเข้าพอร์ตภายใน เขาก็นึกถึงฉินหร่านขึ้นมา——

 

 

คืนนั้นขณะที่ฉินหร่านกำลังเล่นคอมพิวเตอร์อยู่

 

 

เธอยังพูดถึงเรื่องย่างเนื้อระหว่างทางเป็นคนแรก

 

 

เฉิงมู่เคยทำงานร่วมกับผู้บัญชาการเฉียน หลังจากเทียบกันแล้วถึงได้รู้ว่าความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ของฉินหร่านนั้นแข็งแกร่งเพียงใด

 

 

แต่ก็แปลกไปหน่อย ตามที่เฉิงหั่วพูดมา ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ของฉินหร่าน…ยังเก่งกว่าเฉิงหั่ว?

 

 

เฉิงมู่ไม่พบคำตอบสำหรับคำถามนี้ชั่วคราว

 

 

เฉิงหั่วก้มตัวลงท่ามกลางการสนทนา หยิบท่อนไม้ที่เฉิงมู่เผลอทำร่วงขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นให้เขาพลางยิ้ม “เฉิงมู่ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน นายเจอฉันถึงกับตกใจเลยเหรอ?”

 

 

เฉิงมู่เหลือบมองเฉิงหั่วโดยไม่พูดอะไร แค่รับท่อนไม้นั้นมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“จริงสิ ฉันลืมไปเรื่องนึง” เฉิงสุ่ยเห็นเฉิงมู่ก็นึกอะไรขึ้นได้ เขาหยิบอุปกรณ์สื่อสารออกมาจากกระเป๋าแล้วโยนให้เฉิงมู่ “นี่คืออุปกรณ์สื่อสารของหน่วยยุติธรรม”

 

 

เมื่อเห็นเฉิงสุ่ยยื่นอุปกรณ์สื่อสารให้เฉิงมู่ สายตาของคนจำนวนมากในห้องโถงก็เปลี่ยนไป

 

 

ภายในคฤหาสน์มีระบบเข้มงวด เฉพาะหัวหน้าของแต่ละหน่วยและหัวหน้าทีมเท่านั้นที่มีสิทธิ์ใช้อุปกรณ์สื่อสารในการเรียกประชุมได้ สมาชิกทั่วไปใช้ได้แค่เครื่องส่งสัญญาณเสียง

 

 

“ฉันไปสนามฝึกซ้อมก่อนนะ” คนส่วนใหญ่ในห้องประชุมต่างก็มองไปที่เฉิงมู่จนเฉิงมู่ทนไม่ไหวกับสายตาแบบนี้

 

 

เขากระซิบบอกเฉิงสุ่ย

 

 

เฉิงสุ่ยพยักหน้าโดยไม่ได้รั้งตัวเขาไว้

 

 

จนกระทั่งเฉิงมู่ออกไป เฉิงหั่วถึงได้มองแผ่นหลังเขาพร้อมกับพูดด้วยความประหลาดใจ “เฉิงมู่เป็นอะไรไป?”

 

 

“ไม่มีอะไร” เนื่องจากคนเยอะ เฉิงสุ่ยจึงไม่ได้อธิบาย เขาได้แต่มองเฉิงหั่วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เมื่อกี้นายเดาว่าแฮ็กเกอร์ของบุคคลที่สามคือคนของแมทธิว?”

 

 

“ใช่” เฉิงหั่วละสายตา เขามองหน้าเฉิงสุ่ยพรางขมวดคิ้ว “พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทำไมแมทธิวถึงพุ่งเป้ามาที่เรา? เบื้องหลังเขามีแฮ็กเกอร์อยู่คนนึง การที่จะเข้ามาแทรกแซงคฤหาสน์เราดูจะยุ่งยากไปหน่อย”

 

 

“ฉันจะลองให้คนไปเช็กข่าวดูแล้วค่อยไปพบนายท่าน” เฉิงสุ่ยพยักหน้าและไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ เพียงแต่มองไปที่สาวลูกครึ่งผมบลอนด์ที่อยู่ข้างๆ เฉิงหั่ว “นี่คือ…”

 

 

“เกือบลืมไปเลย นี่เป็นช่างเทคนิคที่มาใหม่ ชื่อจีนชื่อถังชิง เดือนหน้าพวกเราจะมีการประเมินไม่ใช่เหรอ ฉันเลยชวนรุ่นน้องมาสมัครหน่วยข่าวกรองของเราด้วย ความสามารถด้านการแฮ็ก…” เฉิงหั่วหันไปด้านข้างและแนะนำสาวลูกครึ่งผมบลอนด์ให้ทุกคนได้รู้จัก พอพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักเล็กน้อยแล้วยิ้ม “เธอเคยแฮ็กตึกไทรแองเกิลแล้วถอนตัวได้ทัน”

 

 

เฉิงหั่วมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง แม้ฝีมือจะไม่เท่าเฉิงสุ่ย แต่สมาชิกทุกคนก็ยำเกรงเขาไม่แพ้เฉิงสุ่ย

 

 

อันที่จริง…ไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินแฮ็กเกอร์หรอก จริงไหม? และยังเป็นคนของสมาคมแฮ็กเกอร์

 

 

ไม่แน่ว่าตื่นขึ้นมาวันไหน อาจจะโดนเขาเปลี่ยนสัญชาติไปเลยก็ได้

 

 

โดยเฉพาะช่างเทคนิคในหน่วยข่าวกรอง แม้ฝีมือของแต่ละคนจะไม่เท่าคนของหน่วยยุติธรรม แต่ก็ใช่ว่าจะมองข้ามได้

 

 

เมื่อได้ยินเฉิงหั่วแนะนำถังชิงแบบนี้แล้ว ทุกคนต่างก็มองถังชิงด้วยสายตาชื่นชม

 

 

แฮ็กเกอร์หญิงมีน้อยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะแฮ็กเกอร์หญิงเก่งๆ ที่กล้าโจมตีตึกไทรแองเกิล…

 

 

**

 

 

อีกด้าน มีคนพารุ่ยจินเดินไปที่ห้องหนังสือของเฉิงเจวี้ยน

 

 

“คุณL” รุ่ยจินก้มหน้าและโค้งคำนับด้วยความเคารพ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นใบหน้าที่ดูเด็กมาก 

 

 

มือรุ่ยจินชะงักเล็กน้อย แม้จะไม่ได้แสดงออกผ่านทางสีหน้า แต่ในใจราวกับมีคลื่นซัด

 

 

บอสใหญ่ไดม่อน มีไม่กี่คนบนท้องถนนที่รู้ข้อมูลของบอสใหญ่ท่านนี้ แม้แต่แมทธิวเองก็มีแค่รูปถ่ายด้านหลังเพียงใบเดียวเท่านั้น น้อยมากที่เขาจะปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน 

 

 

บางคนก็สงสัยว่าเขาเป็นชาวยิว บางคนก็สงสัยว่าเขาเป็นคนรัฐ M โดยกำเนิด

 

 

สรุปคือนอกจากคนในคฤหาสน์แห่งนี้ น้อยมากที่จะมีคนเคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา

 

 

ก่อนหน้านั้น รุ่ยจินได้คาดเดาไว้มากมาย สิ่งเดียวที่เขาคิดไม่ถึงคืออีกฝ่ายยังเด็กมาก!

 

 

“ที่คุณตามหาผมก็เพราะข้อมูลสนามมวย?” เฉิงเจวี้ยนชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆ “นั่งสิ”

 

 

รุ่ยจินนั่งด้วยความผวา ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องการจัดการสนามมวย เขารีบปรับอารมณ์ “ไม่ผิด คุณL เรามีข้อมูลวีไอพีอยู่บางส่วน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์การเข้าถึงหรือรูปบุคคล ถ้าคุณต้องการดู…”

 

 

มือเฉิงเจวี้ยนที่วางบนโต๊ะชะงักไปชั่วขณะ เขาหลุบตาลง ดวงตาดำขลับมองไม่เห็นท่าทีใดๆ “ขอบคุณ ถ้ามีความจำเป็น ผมจะให้คนไปหาคุณ”

 

 

รุ่ยจินไม่ได้พูดอะไรมาก ตระกูลมาสต้องการส่วนแบ่งผลประโยชน์ ถ้าการผูกสัมพันธ์อยู่ภายใต้เงื่อนไข ตระกูลมาสก็ไม่รังเกียจที่จะมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งเพิ่ม

 

 

รุ่ยจินส่งต่อความปรารถนาดีของผู้นำตระกูลมาสให้เฉิงเจวี้ยน จากนั้นก็ลุกขึ้นกล่าวลา

 

 

คนรับใช้หน้าประตูส่งรุ่ยจินออกไป

 

 

คนต่างชาติค่อนข้างดูมีอายุ รุ่ยจินอายุราวๆ สี่สิบถึงห้าสิบปี บนศีรษะของเขามีผมหงอกแล้ว เขาเป็นคนรูปร่างกำยำและใช้ชีวิตอยู่ในเวทีมวยตลอดทั้งปี หน้าตาคมเข้มจนคนรับใช้ที่นำทางไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ

 

 

พอเดินมาถึงบันไดก็เจอกับใครคนหนึ่ง

 

 

คนรับใช้จำได้ จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวและทักทายด้วยความเคารพ “คุณหนูฉิน”

 

 

ฉินหร่านถือเสื้อคลุมที่มือซ้ายโดยที่มือขวาห้อยอยู่อย่างนั้น เมื่อได้ยินคนรับใช้เรียก เธอก็หรี่ตาลงเหลือบไปด้านข้างเล็กน้อย “อืม” และไม่ได้พูดอะไรต่อ

 

 

หลังจากคนรับใช้ทักทายเสร็จ ก็นำทางรุ่ยจินเดินลงไปที่ประตูชั้นล่างต่อ

 

 

ตอนที่รุ่ยจินเดินตามหลังคนรับใช้ลงมาข้างล่าง เขายังหันกลับไปมองฉินหร่านด้วยความสงสัย

 

 

หลังจากทั้งสองลงไปแล้ว ฉินหร่านก็ยังคงยืนอยู่ตรงหน้าบันไดโดยไม่ขยับไปไหน

 

 

ผ่านไปได้สักพักใหญ่ๆ ตอนที่เฉิงเจวี้ยนเดินออกมา เธอก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น หลุบตา ขนตาสั่นไหว มีเงาพาดทับหน้าตาสวยๆ ของเธอ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

“มีอะไร? ซือลี่หมิงล่ะ?” เฉิงเจวี้ยนเดินมา เมื่อเห็นเธอสวมแค่เสื้อเชิ้ตก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปจับมือขวาของเธอมา——

 

 

ทันทีที่สัมผัสก็รู้สึกเหมือนก้อนน้ำแข็ง

 

 

ในปราสาทอุณหภูมิไม่ต่ำ แต่อุณหภูมิบริเวณทางเดินไม่สูงเท่าในห้อง

 

 

มือของเธอเย็นจนเฉิงเจวี้ยนขมวดคิ้ว เขายื่นมือไปหยิบเสื้อคลุมของฉินหร่านมาคลุมบนตัวเธอ จากนั้นก็ลากมือขวาเธอขึ้นไปยังห้องหนังสือ

 

 

อุณหภูมิในห้องหนังสืออยู่ที่ยี่สิบสี่องศา เขาหยิบรีโมทคอนโทรลมาเพิ่มอุณหภูมิขึ้นอีก

 

 

อุณหภูมิเพิ่มขึ้น กลิ่นหอมเย็นๆ ที่คุ้นเคยติดอยู่ที่ปลายจมูก ฉินหร่านเพิ่งจะกลับมาได้สติ เธอเงยหน้ามองมาทางเฉิงเจวี้ยนด้วยท่าทางมึนๆ

 

 

แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้องหนังสือ เธอสบตาดำขลับของเฉิงเจวี้ยนภายใต้แสงแดด

 

 

เหมือนจะเพิ่งรู้ตัว

 

 

เก้าอี้ข้างๆ ยังมีเสื้อคลุมของเขาแขวนเอาไว้ เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นมันก็ปล่อยมือฉินหร่านเพื่อจะไปหยิบเสื้อคลุมของตัวเอง “คุณหนูฉิน คุณนี่จริงๆ เลย ออกมาข้างนอกทำไมไม่สวมเสื้อคลุมดีๆ…”

 

 

ผมเขายุ่งไปหน่อยเพราะไม่ได้นอนเต็มอิ่มมาหลายวัน ดวงตาพร่ามัวเล็กน้อยและก็ไม่ได้สวมเสื้อคลุม แต่สวมแค่เสื้อสเวตเตอร์สีขาว ซึ่งทำให้ใบหน้าที่สง่างามของเขาดูนุ่มนวล

 

 

หน้าตาดูไม่ได้เข้าถึงยากเหมือนอยู่ข้างนอก ในความเอื่อยเฉื่อยดูละเมียดละไมอยู่หน่อยๆ

 

 

เขากำลังจะไปหยิบเสื้อคลุม แต่ฉินหร่านกลับจับมือเขาไว้

 

 

เฉิงเจวี้ยนผงะไปสักพักและหันกลับมา ฉินหร่านคล้ายกับได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา จากนั้นเขาก็เอื้อมมือมากอดเธอแน่นเอาดื้อๆ

 

 

ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก้มหน้าลง เสียงเข้มพูดอย่างช้าๆ “คิดถึงยาย?”

 

 

ในหัวฉินหร่านโล่งอยู่นานก็ส่ายหน้า เงยหน้าขึ้น “ซือลี่หมิงกำลังรออยู่ข้างล่าง ฉันจะไปหาเขา”

 

 

หลังจากฉินหร่านเดินออกไป สีหน้าที่อ่อนโยนของเฉิงเจวี้ยนก็หายไป เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง ส่วนฉินหร่านกำลังคุยกับซือลี่หมิงที่ชั้นล่าง เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาเฉิงสุ่ย หลุบตาลงพูดเสียงเข้ม “เอากล้องวงจรปิดช่วงบ่ายสองโมงถึงสองโมงครึ่งตรงทางเดินห้องหนังสือมาให้ฉันด้วย”

 

 

**

 

 

ชั้นล่าง ช่วงเช้าซือลี่หมิงพักผ่อนมาเต็มที่แล้ว หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จก็ปฏิบัติตามคำสั่งเฉิงสุ่ยต่อ เขาอ่านไกด์บุ๊กเพื่อหาสถานที่ท่องเที่ยวในรัฐ M มาแล้วหนึ่งรอบ

 

 

“คุณหนูฉิน แถวนี้มีเมืองใต้ดินใหญ่ๆ อยู่ที่นึง มารัฐ M แล้วต้องไป คุณอยากไปไหม?” ซือลี่หมิงพลิกดูไกด์บุ๊ก จากนั้นก็เปิดเมืองใต้ดินให้ฉินหร่านดู

 

 

“เดี๋ยวค่อยว่ากัน” ฉินหร่านมองไปรอบๆ พลางดึงหมวกขึ้น เธอยังไม่เจอเฉิงมู่ “เฉิงมู่ล่ะ?”

 

 

“ไปสนามฝึกซ้อม” ซือลี่หมิงเก็บไกด์บุ๊กและพาฉินหร่านเดินไปที่สนามฝึกซ้อม พูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม “เฉิงมู่ขยันมากเลย”

 

 

ทั้งสองเดินไปที่สนามฝึกซ้อม

 

 

เฉิงมู่ยังอยู่ในมุมมุมหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้ซ้อมคนเดียว เขากำลังสู้กับชายหนุ่มคนหนึ่ง

 

 

“โครม——” เฉิงมู่ร่วงลงไปกับพื้น

 

 

เกิดเป็นชั้นฝุ่น

 

 

เขายันมือกับพื้นเพื่อจะลุกขึ้น

 

 

ชายที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะปัดมืออย่างสบายอารมณ์ จากนั้นก็ยิ้มให้เฉิงมู่ หยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่อยู่อีกด้านขึ้นมาพลางหัวเราะคิกคักกับกลุ่มของตัวเองแล้วเดินออกไปอย่างสบายอกสบายใจ

 

 

ฉินหร่านไม่ได้เดินเข้าไป เธอยืนอยู่ข้างราวจับ

 

 

ตอนที่ชายหนุ่มเดินผ่านฉินหร่านกับซือลี่หมิง เขาชะงักเล็กน้อย “คุณหนูฉิน”

 

 

แม้จะเรียกคุณหนูฉิน แต่น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเคารพ

 

 

คนอื่นก็เรียกคุณหนูฉิน

 

 

ซือลี่หมิงกระซิบอยู่ข้างๆ ฉินหร่าน “นั่นคือเจอร์รี่ เป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ลูกน้องคุณเฉิงหั่ว”

 

 

ฉินหร่านยังคงวางมือไว้ที่ท้ายทอย เธอเหลือบมองพวกเขาพลางก้มหน้าตัวเองที่เป็นจุดสนใจแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

 

มุมปากหยักขึ้นอย่างเฉยชา

 

 

กลุ่มของเจอร์รี่เดินไปไกลแล้ว มีบางคนหันกลับมามองพวกฉินหร่าน “เห็นหรือยัง ซือลี่หมิงกำลังถือไกด์บุ๊กอยู่ มันจะเป็นหมารับใช้ไปจริงๆ แล้ว โชคดีที่ตอนแรกคุณเฉิงสุ่ยไม่ได้ให้ฉัน…”

 

 

คนในกลุ่มนั้นกำลังหัวเราะคิกคัก

 

 

แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ถ้าตั้งใจฟังก็ได้ยิน

 

 

ฉินหร่านมองเฉิงมู่ที่กำลังลุกขึ้นมาอย่างเงียบๆ เธอยิ้มแล้วมองไปทางซือลี่หมิง เลิกคิ้วที่ทั้งเย็นชาและดูเจ้าเล่ห์ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้คนแข็งแกร่งขึ้นมาภายในเวลาอันรวดเร็ว?”