บทที่ 233 งานชุมนุม (5)
เช้าวันต่อมา คนจากสำนักพากันเดินออกจากโรงเตี๊ยม ก่อนขึ้นรถม้าและรถเทียมวัวที่เช่ามา ไปยังด้านนอกเมือง
ขบวนรถของสำนักที่เข้าแถวต่อกันกลายเป็นทิวทัศน์ประหลาดของเมืองกระดิ่งขาวอยู่ชั่วขณะ
คนธรรมดาจำนวนมากที่ไม่ทราบสาเหตุออกมาชมความคึกครื้น คนเฒ่าคนแก่ที่อายุมากส่วนหนึ่งทราบเบื้องหลัง รู้ว่าขุมกำลังสำนักที่สูงส่งเหล่านั้นกำลังจัดงานชุมนุมอะไรอยู่
ลู่เซิ่งกับเหอเซียนจื่อนั่งบนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังสถานที่ชุมนุมพร้อมกับสตรีกางร่ม
รถม้าของพวกเขาเป็นสีดำ ด้านบนมีสัญลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด เป็นรูปใบหน้าคนสีม่วงที่กำลังลุกไหม้
สัญลักษณ์หน้าคนยึดครองพื้นที่แทบทั้งหมดของตัวรถ มองไกลๆ ดูเด่นเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งนั่งในรถ ทางหนึ่งเก็บกลิ่นอาย ทางหนึ่งมองไปนอกหน้าต่าง
บนสองฟากของถนนด้านนอกมีเด็กน้อยมาชมความคึกคักไม่น้อย บิดามารดาและคนในครอบครัวอยู่ข้างๆ พวกเขา ดวงตาของพวกเขาบริสุทธิ์และอยากรู้อยากเห็นเป็นพิเศษ ไม่รู้เลยว่าใครนั่งอยู่ในรถ มีแต่ในดวงตาบิดามารดาของพวกเขาที่เห็นได้ถึงความยำเกรงและความระวังตัว
พวกเขาจับตัวบุตรของตนไว้แน่น ด้วยเกรงว่าพวกเด็กๆ จะพุ่งไปชนใส่ขบวนรถ
“เมืองเก้ากระดิ่งนี้แม้แต่คนธรรมดาก็ยังรู้จักตระกูลขุนนางกับสำนักหรือ” ลู่เซิ่งถามลอยๆ
เหอเซียงจื่อนั่งตรงข้ามเขา มือประคองชาใสจอกหนึ่ง น้ำชาเย็นชืดแล้วแต่ยังไม่ดื่ม ไม่ทราบคิดอะไรอยู่
พอได้ยินลู่เซิ่งถาม นางก็รู้สึกตัว
“ในสายตาของพวกเขา พวกเราเป็นชนชั้นสูง นอกจากกินดื่มขับถ่ายแล้ว พวกเราไม่ใกล้เคียงกับพวกเขา ดังนั้นยามที่คนธรรมดาเห็นเรา ส่วนใหญ่จะเห็นระดับชั้นอีกแบบหนึ่งที่แยกตัวไปโดยสมบูรณ์” เหอเซียนจื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะตอบ
“ไม่ผิดนัก…สำนักไม่มีทางรับสมัครคนธรรมดา เมื่อไม่มีสายเลือด ย่อมไม่มีศักยภาพใดๆ ดังนั้นสำหรับคนธรรมดาแล้ว ต่อให้สำนักแข็งแกร่งอย่างไร ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา เหมือนกับกำลังมองดูโลกอีกใบหนึ่ง” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ความจริงยังดี ที่นี่มีค่ายพรรคมนุษย์ธรรมดา เพียงแต่ไม่ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ และเพื่อความสะดวกในการจัดการคนธรรมดาของตระกูลขุนนางกับสำนัก ค่ายพรรคกับที่ว่าการของราชวงศ์จึงทำงานร่วมกัน คนธรรมดาส่วนใหญ่หลังจากฝึกฝนวรยุทธ์ก็จะสมัครเข้าพรรค”
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งกระจ่างแจ้ง
ทั้งสองชมทิวทัศน์นอกหน้าต่างอีกสักพัก รถที่โดยสารอยู่คอยติดตามขบวนของสำนักสวนโปร่งใสที่อยู่ด้านหน้า ภายใต้การบังคับของสารถี ไม่ต้องกลัวว่าจะหลง
“จะว่าไป ที่ที่เราจะไปคือเทือกเขาไร้เสียง สถานที่ชุมนุมในครั้งนี้อยู่ในสถานที่สามแห่งกลางเทือกเขาไร้เสียง ได้แก่ตำหนักเสียงสะท้อน หุบเขาสำเนียงหมึก และตำหนักจิตหยก พวกเราเป็นระดับสามขั้นล่าง อยู่ในอันดับหกสิบสี่ ตรงกับตำหนักจิตหยกที่อยู่ในระดับสามขั้นล่างเหมือนกัน ได้ยินว่าตำหนักจิตหยกเป็นตำหนักเต๋าซึ่งพรรคใหญ่ระดับสุดยอดในราชวงศ์ก่อนทิ้งไว้ ทว่าภายหลังถูกเผาในสงครามจนเสียหาย ต่อมาค่อยก่อสร้างขึ้นใหม่ สถานที่ใหญ่โตมาก” เหอเซียงจื่อพูดเบาๆ
“ท่านรู้จักคู่ต่อสู้ของพวกเราหรือไม่” ลู่เซิ่งถามอย่างราบเรียบ
“หลังจากไปถึงคงประกาศรายชื่อกระมัง” เหอเซียงจื่อไม่แน่ใจ
“พวกเราอยู่ในอันดับหกสิบสี่ เช่นนั้นร้อยเส้นสายมี่กี่อันดับ” ลู่เซิ่งพลันนึกถึงเรื่องนี้
“…ทั้งหมดหกสิบสี่อันดับ…”
“…งั้นหรือ” ลู่เซิ่งไร้คำพูดโต้ตอบ มิน่าสำนักมารกำเนิดจึงตกต่ำถึงขั้นนี้ เพราะหล่นถึงอันดับสุดท้ายแล้ว
ขบวนรถของสำนักเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงด้านหน้าเทือกเขาที่เชื่อมต่อกันไม่ขาดสาย ทุกคนลงจากหลังม้า แล้วพากันเดินขึ้นบันไดสีเทาที่เป็นระเบียบไปยังด้านในภูเขา
คนของแต่ละสำนักมีการเคลื่อนไหวเฉพาะตัว
พลังของสายเลือดที่มาจากอาวุธเทพศัสตรามาร เพิ่มความแข็งแกรงให้แก่พลังฟื้นฟูอย่างใหญ่หลวง ทั้งยังทำให้แต่ละคนได้รับวิชาลับทางสายเลือดที่แตกต่างกันด้วย
ในวิชาลับย่อมมีของที่เอาไว้ใช้เคลื่อนไหวโดยเฉพาะอยู่ด้วย
วิชาลับของสำนักสู้ตระกูลขุนนางไม่ได้ ต่อให้ใช้รูปแบบเดียวกัน แต่เป็นเพราะระดับความเข้ากันของสายเลือดตัวเองและวิชาลับ รวมถึงเงื่อนไขด้านอื่นๆ ทำให้พลังฝึกปรือแตกต่างตามไปด้วย
พวกลู่เซิ่งลงจากรถม้าของสำนักมารกำเนิด เห็นขบวนสำนักตรงหน้าแสดงความสามารถของตัวเอง
บางคนกระโดดเข้าไปกลางป่าอย่างพลิ้วไหวเหมือนกับจอมยุทธ์
บางคนเดินเข้าป่าทีละก้าวๆ อย่างไม่รีบร้อน ท่าเท้าเหมือนช้า แต่กลับฉับไว ไม่ทันไรก็หายไปในภูเขา
บางสำนักจูงกวางขาวหลายตัว หลังจากลงรถม้า ก็ขี่กวางเข้าป่าไป
แน่นอนว่านี่ยังเป็นส่วนน้อย ลู่เซิ่งมองไป ขบวนสำนักส่วนใหญ่ล้วนก้าวเดิน
ตอนนี้สำนักสวนดโปร่งใสที่อยู่ด้านหน้า ส่งศิษย์คนหนึ่งเข้ามาหา
“ศิษย์พี่เหอเซียงจื่อ ศิษย์พี่ลู่ ศิษย์พี่จ่านให้ข้าน้อยแจ้งว่าพวกเขาจะลงไปด้านล่างตำหนักจิตหยกก่อน รอพวกเขาผ่านไปแล้วค่อยรวมตัวกัน”
“ได้” ลู่เซิ่งพยักหน้า
ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำ นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้ประกาศ เพื่อทำให้คนอื่นรับมือไม่ทัน ดังนั้นการตัดสินใจระหว่างทางเหมือนเหอเซียงจื่อกำหนดกลยุทธ์ แต่ความจริงเป็นเขาต่างหาก
วิธีการนี้เป็นวิธีที่เหอเซียงจื่อคิดได้ แม้ลู่เซิ่งจะไม่เห็นว่ามีประโยชน์ แต่ครั้นเห็นเหอเซียงจื่อแน่วแน่ขนาดนั้นก็ไม่อยากปฏิเสธ
หลังศิษย์จากสำนักสวนโปร่งใสผละไป สารถีวัยกลางคนที่ขับรถม้าก็ลงมา เดินมาถึงหน้าคนทั้งสอง
“ทั้งสองท่าน ถ้าหาสถานที่ไม่เจอ ข้าน้อยนำทางให้ได้ เพียงต้องการเงินดำหนึ่งเหรียญเท่านั้น”
“ไม่ต้องหรอก พวกเราหาเองได้” เหอเซียงจื่อลูบถุงเงิน ก่อนจะส่ายหน้ากล่าวออกไป
สำนักมารกำเนิดเดิมก็ไม่มีแหล่งรายได้อยู่แล้ว นับตั้งแต่ทรัพยากรถูกชิงไป ถึงขั้นแม้แต่ค่าใช้จ่ายสำหรับฝึกฝนก็มีไม่พอ เงินดำยิ่งใช้ก็ยิ่งน้อยลง
“เช่นนั้นก็ได้ ขออวยพรให้สำนักท่านกางธงแล้วได้ชัย” สารถีกลับไปบนรถอย่างผิดหวัง ก่อนจะเลี้ยวจากไป
รถคันนี้ไม่ใช่ของสำนักมารกำเนิด แต่เป็นพาหนะรับส่งที่สำนักระดับสามขั้นบนของร้อยเส้นสายจัดให้โดยเฉพาะ สารถีก็ไม่ใช่คนทั่วไป เป็นศิษย์จากในสำนักที่ออกมาปฏิบัติภารกิจ
ระดับสามขั้นบนทั้งหมดเป็นสำนักใหญ่ มีลูกศิษย์มากมาย ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนสำนักมารกำเนิด
ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อยืนอยู่บนพื้นหญ้า ขบวนรถรอบๆ เริ่มหันกลับแล้ว ศิษย์สำนักจำนวนไม่น้อยที่เหลืออยู่ต่างก็เดินไปยังบันไดหินด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน
“พวกเราไปกันได้แล้ว” ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบๆ แล้วกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“อื้อ อาจารย์รอพวกเราอยู่ที่ด้านใน” เหอเซียงจื่อพยักหน้า
ทั้งสองคนติดตามอยู่ท้ายขบวน เริ่มเดินทางเข้าไปในภูเขา
ป่าเขาเขียวชอุ่ม ใบไม้สีเขียวเข้มถูกลมพัดจนส่ายไปมา บันไดทอดออกไป ทุกๆ ระยะหนึ่งไม่ไกลจะมีคนเฝ้าอยู่
“ยังดีที่พวกเราไม่ได้จ่ายเงินไป” เหอเซียงจื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกโชคดี “เงินดำตั้งหนึ่งเหรียญ มีคนเฝ้าอยู่มากขนาดนี้ ต่อให้หลงทางก็ถามพวกเขาได้ ไม่ถึงกับหาสถานที่ไม่เจอ”
“บางทีอาจแค่อยากหากำไรค่าเหนื่อยเล็กๆ น้อยๆ กระมัง” ลู่เซิ่งยิ้ม
เดินไปได้ไม่นาน ตรงหน้าก็เป็นที่ว่างโล่งกว้าง
หอตำหนักสีขาวตั้งตระหง่านอยู่บนที่ว่าง ประตูใหญ่ด้านหน้าหอมีป้ายสูงใหญ่ป้ายหนึ่งตั้งอยู่ เขียนไว้ว่าตำหนักจิตหยก
มีคนชราสองสามคนนั่งขัดสมาธิที่ประตูตำหนัก ต่างมีผมขาวโพลน เครายาว สวมชุดนักพรต สภาวะคุกคามคน
สำนักที่ล่วงหน้ามาก่อนส่งมอบอะไรบางอย่างตรงหน้าคนชรา
“ตำหนักจิตหยกเป็นอาณาเขตของสำนักบัวสวรรค์ในสำนักระดับสามขั้นบน คนพวกนี้น่าจะเป็นคนของสำนักบัวสวรรค์ที่รับผิดชอบเรื่องราวในงานชุมนุม” เหอเซียงจื่อพูดขึ้นเบาๆ ด้านข้างลู่เซิ่ง
พอทั้งสองมาถึง ก็มีนักพรตคนหนึ่งเข้ามาหาทันที
“สหายสำนักมารกำเนิดทั้งสอง โปรดส่งหนังสือเอกสารให้ผู้อาวุโสทางด้านนั้น จากนั้นก็ไปบำเพ็ญรออยู่ที่จุดพักผ่อน การต่อสู้ภายในของงานชุมนุมจะเริ่มอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ วันนี้อีกเดี๋ยวจะจัดพิธีใหญ่”
มีนักพรตส่งป้ายชื่อที่สลักคำว่าสำนักมารกำเนิดชุดหนึ่งให้ลู่เซิ่งกับเหอเซียงจื่อ
นักพรตผู้นี้ยังอายุน้อย มองด้านหลังคนทั้งสอง พบว่ามีแต่พวกเขาสองคนเข้ามา ก็ถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง “เอ่อ…ขอเสียมารยาทสอบถาม คนอื่นๆ ของสำนักท่านจะมาตอนไหนหรือ”
“พวกเราเข้าร่วมแค่สองคน” ลู่เซิ่งตอบอย่างสงบ
เหอเซียงจื่อที่อยู่ด้านข้างกลับอยากปิดหน้าวิ่งหนี สำนักหนึ่งมีคนแค่สองคนเข้าร่วมงานชุมนุม…ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์…
“มีแค่สองคนหรือ” นักพรตผู้นั้นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาไม่แปลกใจเลย ในสำนักมีคนหลากหลาย เขาจึงไม่อยู่ข้างฝ่ายใด
เขาไม่ใช่คนในสำนัก แต่เป็นสมาชิกของขุมกำลังบริวาร สมาชิกสำนักคนใดก็ตามที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่คนที่เขาจะล่วงเกินได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคงรักษาท่าทีนอบน้อมไว้
“เช่นนั้นนี่เป็นป้ายคำสั่งของสำนักมารกำเนิด โปรดเก็บไว้ให้ดี มันบอกว่าระดับที่พวกท่านทั้งสองคนเข้าร่วมเป็นระดับไหน ไม่เหมือนกับป้ายชื่อ”
“เหอเซียง ทางนี้!” เฉินอวิ๋นเซียงกับศิษย์น้องสองคนที่อยู่ไม่ไกล เดินออกประตูตำหนักออกไปพร้อมโบกมือมาทางนี้
พวกลู่เซิ่งพอรับส่งเอกสารเสร็จ ก็เดินไปหาเฉินอวิ๋นเซียงทันที
“เหตุใดจึงเพิ่งมา ที่พักของพวกเจ้าอยู่ไหน สำนักหยกกังวานของพวกเรามีเส้นสายอยู่บ้าง สามารถจัดให้พักด้วยกันได้” เฉินอวิ๋นเซียงตั้งใจจะดูแลสหาย จึงถามเสียงแผ่วต่ำ
“ยังไม่ได้วางแผนเลย” เหอเซียงจื่อตอบอย่างจนปัญญา “เพิ่งมาถึงก็ถูกเจ้าเรียกมานี่แหละ”
ในฐานะสำนักอันดับสุดท้าย ใกล้จะหลุดจากร้อยเส้นสาย นอกจากสำนักที่สนิทสนมกันสองสามแห่ง ก็ไม่มีใครสนใจสำนักมารกำเนิด
ลู่เซิ่งสงสัยอยู่บ้างว่าตัวเองเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมขนาดใหญ่จริงๆ หรือไม่ ระหว่างทางมารู้สึกเหมือนกับเล่นคอมพิวเตอร์ที่ไม่เชื่อมอินเทอร์เน็ต แทบทุกสำนักอยู่ด้านหน้า มีแต่สำนักมารกำเนิดอยู่รั้งท้าย
“ศิษย์น้องอวิ๋นเซียง มาๆๆ ข้าขอแนะนำสหายคนใหม่ให้เจ้ารู้จัก!”
เฉินอวิ๋นเซียงยังคิดจะพูดอะไร แต่ก็ถูกสตรีอีกสำนักหนึ่งฉุดลากไป รอบๆ มีคนรู้จักไม่น้อยเข้ามาหา
คนอื่นๆ ทักทายนาง เฉินอวิ๋นเซิงก็จำเป็นต้องคารวะตอบ ระหว่างนั้น เหอเซียงจื่อกับลู่เซิ่งก็ได้แต่ถูกทิ้งไว้ด้านข้าง
“ช่างเถอะ พวกเราไปลงทะเบียนกันก่อน” เหอเซียงจื่อหน่ายใจอยู่บ้าง
ลู่เซิ่งพยักหน้า กวาดตามองรอบๆ นอกจากนักพรตที่คอยจัดการที่พักแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีคนธรรมดาอีก ทั้งหมดเป็นคนในสำนักที่กลิ่นอายบนร่างเข้มข้น
“สำนักมารกำเนิด…”
ทั้งสองเดินมาถึงด้านหน้าชายชราที่รับลงทะเบียน ก่อนจะรายงานชื่อสำนักของตัวเอง
ชายชราก้มหน้าลงพลิกดูสมุดรายชื่อ
“สำนักมารกำเนิดอยู่ในลำดับยี่สิบเจ็ดสนามที่สาม อย่างนั้นที่อยู่ของพวกท่านอยู่ในเขตที่ห้า ในสวนกล้วยไม้ ถีเซิงเจ้าพาทั้งสองท่านไป”
“ขอรับ” นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างรีบเข้ามา
ตอนนี้สำนักที่เหลือลงทะเบียนกันหมดแล้ว สำนักมารกำเนิดเป็นสำนักสุดท้าย
“รู้สึกโดดเดี่ยวบ้างหรือไม่” เหอเซียงจื่อยิ้มฝาดเฝื่อนให้ลู่เซิ่ง
“ยังดีอยู่” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“นอกจากสหายแล้ว ก็ไม่มีสำนักใดอยากคบค้าสมาคมกับพวกเราอีก เป็นเพราะพวกเขาคิดว่าอย่างไรพวกเราก็จะหลุดออกจากร้อยเส้นสายอยู่แล้ว ผูกมิตรหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์” เหอเซียงจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้มหนักใจ
ลู่เซิ่งเองก็ไร้คำพูดเช่นกัน สำนักมารกำเนิดตกต่ำถึงขั้นนี้ เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างจริงๆ
……………………………………….