ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็อึ้งไป วัดนี้ของเขาไม่กล้าพูดเรื่องอื่น แต่เรื่องขอลูกน่าจะสัมฤทธิผลสิ ทำไมถึงไม่สัมฤทธิผลล่ะ?
ฟางเจิ้งพอรู้จักหวงเกาหลันอยู่บ้าง ถึงยังไงญาติโยมส่วนใหญ่ที่มาวัดก็เป็นคนจากหมู่บ้านใกล้เคียง ตอนเด็กยังเคยไปเล่นในหมู่บ้านพวกนั้นบ่อยๆ ย่อมไม่รู้สึกแปลกตาหวงเกาหลัน ทั้งยังรู้ชื่อแซ่เธอด้วย ตอนแรกหวงเกาหลันมาอย่างรีบร้อน ใช้ธูปชั้นดี วางเงินสองร้อยหยวน โขกศีรษะแล้วจากไป ตอนนั้นฟางเจิ้งยังคิดว่าเธอมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า…ตอนนี้มานึกดูแล้ว แปดส่วนคงเป็นเพราะนิสัยนี่เอง
“ระบบ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ฟางเจิ้งถาม
แต่ระบบไม่สนใจเขาเลย
ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว มองหวงเกาหลันที่ทำหน้าตาน่ากลัว หลายคนข้างหลังก็ไม่ต่างกัน แต่ละคนแววตาราวกับหมาป่าหิวโหย ถ้าไม่ใช่เพราะหมาป่าเดียวดายคุมเชิงไว้ ไม่แน่ว่าคนพวกนี้อาจจะทุบตีเขาจริงๆ หรือไม่ก็พังวัดไปแล้ว ฟางเจิ้งประนมสองมือกล่าวว่า “อมิตาพุทธ อาตมาไม่เคยพูดเลยว่าขออะไรก็ได้ อาตมาบอกแค่ว่าเพียงมีความจริงใจก็จะสัมฤทธิผล”
“จริงใจ? ฉันยังไม่จริงใจพออีกเหรอ จุดธูปที่ดีที่สุดก็แล้ว จะเอายังไงอีก? ไอ้คนที่จุดธูปธรรมดาท้อง แต่ฉันกลับไม่ท้อง? ถ้าวันนี้ไม่อธิบายมานะ บอกเลยว่าแกอย่าได้คิดจะเปิดวัดอีกเลย ฉันจะนั่งอยู่หน้าประตูนี่ ดูซิว่าใครจะกล้าเข้าไปจุดธูป!” หวงเกาหลันตะโกนเสียงดัง
อีกสี่คนพูดสนับสนุน เอ่ยข่มขู่พร้อมกัน “ถ้าไม่อธิบายพวกเรามา วันนี้จะไม่มีใครได้เข้าวัดทั้งนั้น!”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าบอก “จริงใจหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่จุดธูปอะไร แต่อยู่ที่สีกาขออย่างจริงใจหรือเปล่า”
“ฉันอายุสี่สิบกว่าแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีลูกสักคน แกว่าฉันขอไม่จริงใจเหรอ ฉันไม่จริงใจแล้วจะมาวัดพังๆ ของแกทำไม?” ดวงตาหวงเกาหลันมีไฟลุกโชน ตะคอกต่อว่า
ฟางเจิ้งกังวลในใจจริงๆ แล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ขออย่างจริงใจคงไม่มาก่อเรื่องที่นี่ ดูแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ในใจเขาเกิดความคิด เนตรปัญญาเปิดออก!
ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้งทันที เห็นว่าบนตัวหวงเกาหลันมีควันดำวนเวียนอยู่ นี่คือผลจากแรงกรรมที่พัวพันร่าง ผู้หญิงคนนี้จะต้องทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมมาแน่นอน! คนที่มีแรงกรรมพัวพันร่างราวผีร้ายแบบนี้ พระโพธิสัตว์ที่ไหนจะปกป้อง จะให้ลูกแก่เธอ?
ฟางเจิ้งรู้ ในโลกนี้การให้บุตรไม่ใช่หน้าที่ของเทพเจ้า ดังนั้นที่ไม่ตั้งครรภ์ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผลจากกรรมเสมอไป แต่ทำความชั่วแล้วกลับไม่สำนึก ใช้บุญกุศลชดเชยแรงกรรม คนแบบนี้ขอเทพเยอะแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
คิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้งก็ทำหน้าเย็นชา “สีกา แค่มองฟ้า”
หวงเกาหลันเงยหน้ามองฟ้า ถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ฟ้ามันทำไม?”
“คนกระทำ สวรรค์กำลังมอง ไม่ใช่ไม่ตอบรับ แต่ยังไม่ถึงเวลา อมิตาพุทธ…ถ้าพวกโยมอยากรอที่หน้าประตูวัดก็เชิญเถอะ”
พูดจบฟางเจิ้งปิดประตูวัดเอกดรรชนี ขี้เกียจจะสนใจพวกเขา คนดีได้ดี คนชั่วก็อยากได้ดีเหมือนกัน บนโลกมีเรื่องดีๆ แบบนี้ซะที่ไหน?
ปัง!
ประตูใหญ่ปิดลง ห้าคนหน้าประตูตะลึงค้าง
หวงเกาหลันตะคอก “ไอ้ลาหัวล้าน แก…ได้ วันนี้ฉันจะไม่ไปไหน จะขวางอยู่ตรงนี้แหละ ดูซิว่าแกจะทำยังไง!” หวงเกาหลันโกรธจริงๆ แล้ว เท่าที่เธอรู้มาในแปดหมู่บ้านสิบลี้ คนที่มาขอลูกได้กันเกือบทั้งหมด มีเพียงเธอที่ไม่ได้ ถึงไม่รู้ว่าคนอื่นพูดกันยังไง แต่เธอมักจะรู้สึกว่ามีคนคอยชี้นำอยู่เบื้องหลัง
ทว่าเธอกลับไม่รู้ เรื่องนี้เธอวัวสันหลังหวะเอง เพราะขุดเรื่องราวเมื่อปีนั้นออกมาจากก้นบึ้งความทรงจำ เกิดความหวาดผวาในใจ ไม่มีที่ระบายความโกรธ จึงมาหาฟางเจิ้งที่นี่ เพียงแต่ไม่นึกเลยว่าฟางเจิ้งจะพูดในสิ่งที่มีแค่เธอที่เข้าใจ พริบตาเดียวก็ฉีกผ้าที่บดบังความอัปยศชั้นสุดท้ายของเธอออก ทำให้อับอายจนโมโห
เหตุที่หวงเกาหลันมาก่อเรื่องไม่ใช่เพราะขอลูกไม่สำเร็จแล้ว แต่อยากรู้ว่าหลวงจีนนี่รู้มากแค่ไหนกันแน่! ยิ่งคิดยิ่งกลัว ยิ่งตระหนก ซ้ำยังเริ่มด่าทอร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆ…
หวงเกาผิงพี่ชายคนโตของหวงเกาหลัน หวงเกาอวี่น้องชาย พี่สะใภ้ติงเชี่ยน และญาติผู้พี่เถียนเหยี่ยเห็นหวงเกาหลันมีท่าทีแบบนี้ก็งงนิดๆ ไหนคุยกันแล้วว่าจะมาข่มขู่หลวงจีน ให้เขาอธิบาย แก้ปัญญาเรื่องไม่ท้อง แต่ทำไมกลายเป็นด่ากราดไปทั่วล่ะ?
หวงเกาผิงมองต่อไปไม่ไหว ดึงหวงเกาหลันไว้ “น้องพี่ พอแล้ว อย่าด่าเลย ยืนชี้นู่นชี้นี่ด่ากราดไปทั่วแบบนี้ เธอคิดจะทำอะไรฮะ? พระพุทธองค์โกรธเข้าเธออย่าหวังจะได้มีลูกเลย”
หวงเกาหลันขมวดคิ้วเอ่ย “พี่ พี่ก็เห็นนี่ ฉันไม่ได้โวยวายสักหน่อย แต่หลวงจีนนี่รังแกกันเกินไป! พอเกิดเรื่องก็หนีไปเลย ทำกันเกินไปแล้ว”
“พี่ หยุดด่าเถอะ พวกเราขวางหน้าประตูไม่ให้ใครไปจุดธูป ดูซิว่าใครจะทนกว่ากัน” หวงเกาอวี่กล่าว
“ใช่แล้ว ด่าแบบนี้ไม่เข้าท่าหรอก” ติงเชี่ยนพูด
หวงเกาหลันด่าจนเหนื่อยแล้วเหมือนกัน แต่พอไม่ด่าเธอก็เริ่มร้อนใจ เดินไปเดินมานั่งไม่ติด…
ผลคือรอมาวันหนึ่ง สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้กลัดกลุ้มที่สุดคือไม่รู้ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ไม่มีญาติโยมมาไหว้พระสักคน! พวกเขาขวางอยู่หน้าประตูมาหนึ่งวัน เหมือนจะไม่มีผลอะไรกับวัดนี้เลย! เห็นดวงตะวันลาดเอียงไปทางตะวันตก อุณหภูมิลดต่ำลง คนเหล่านี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว
หวงเกาหลันพูด “รอนานไม่ใช่ปัญญาหรอก แต่ทุกคนหิวแล้วนี่สิ ลงเขาไปกินข้าวกันก่อนไป กินเสร็จแล้วมาเปลี่ยนกับฉัน”
พวกเขาหิวแล้วจริงๆ ทนอยู่อย่างนี้ไม่มีประโยชน์ ใครก็คาดไม่ถึงว่าการมาหาเรื่องด้วยความโมโหครั้งนี้จะถูกปิดประตูใส่ไม่ต้อนรับ
หวงเกาผิงกล่าว “ได้ ให้เสี่ยวอวี่อยู่เป็นเพื่อนเธอนะ พวกเราจะลงไปก่อน”
“ไม่ต้อง ภูเขาลูกเดียวกับหลวงจีนคนเดียวจะทำอะไรฉันได้? เสี่ยวอวี่ก็น่าจะหิวแย่แล้ว ลงไปด้วยกันนี่แหละ” หวงเกาหลันพูด
พวกหวงเกาผิงพูดต่ออีกสองสามครั้ง เห็นว่าโน้มน้าวหวงเกาหลันไม่ได้จึงได้แต่ลงเขาไป
หวงเกาหลันพลันยืนขึ้น ยกมือจะทุบประตู
ตอนนี้เอง ประตูใหญ่เปิดออกดังแอ๊ด หวงเกาหลันตาเปล่งประกาย ไม่ได้ชักมือที่ยกขึ้นกลับ แต่ทุบลงไปเลย ด้วยอยากจะสั่งสอนเณรสารเลวนี่สักหน่อย
กลับกลายเป็นว่าหลวงจีนยืนอยู่ไม่ไกล เป็นหมาป่าที่ออกมาก่อน ทำเอาหวงเกาหลันตกใจจนถอยไป ร้องโวยลั่น “ฟางเจิ้ง แกจะทำอะไร? จะปล่อยหมาป่ามากัดคนอื่นเหรอ?”
ฟางเจิ้งชำเลืองมองหวงเกาหลันแวบหนึ่ง เลิกคิ้วขึ้น ตะโกนว่า “หวงเกาหลัน สีการู้สำนึกรึยัง?!”
เดิมทีในใจหวงเกาหลันก็กลัวอยู่แล้ว พอประตูใหญ่เปิดออก หมาป่าเดียวดายเดินอยู่ข้างหน้า ยิ่งทำให้เธอตกใจจนขวัญหาย ฟางเจิ้งยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ สวมจีวรขาวดั่งพระพุทธรูปยิ่งใหญ่ ใบหน้าเคร่งขรึมและเข้มงวด ราวกับพระพุทธองค์ตัวจริง! ตะโกนเสียงดังครั้งหนึ่งเหมือนลงมาเยือนจากสวรรค์!
หวงเกาหลันขาอ่อน คุกเข่าลงกับพื้น แต่เธอรู้สึกว่านี่ไม่ถูกต้อง จึงคิดจะลุกขึ้นยืน
ตอนแรกฟางเจิ้งแค่จะหยั่งเชิงดุ แต่ไม่นึกเลยว่าจะทำสำเร็จ รู้ว่าบนตัวหวงเกาหลันมีปัญหาตามคาด จึงแค่นเสียงหึ “หวงเกาหลัน สีการู้ไหมว่าทำไมตัวเองถึงไม่ตั้งครรภ์?”
ตอนที่ฟางเจิ้งบอกว่าคนกระทำสวรรค์กำลังมองนั้น เธอคาดเดาได้เล็กน้อยแล้ว แต่ก็ยังคิดว่านั่นเป็นคำพูดไร้สาระ โลกนี้จะมีเทพจริงๆ ที่ไหน? เธอคิดว่าคนที่มาขอลูกได้เหล่านั้นกินสูตรยาลับที่ฟางเจิ้งให้ก็เท่านั้น หลักๆ ที่มาหาเรื่องครั้งนี้ก็เพื่อสูตรยาลับ แต่ต่อมากลับเปลี่ยนไป เธออยากรู้ว่าหลวงจีนนี่รู้เรื่องเกี่ยวกับเธอมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงแค่ขู่ขวัญเธอเท่านั้น