ตอนที่ 398 สถานการณ์ไม่สงบ โดย ProjectZyphon
ตระกูลหลินแห่งธารประจิม
หลินเทียนหลงเยื้องย่างแช่มช้าโดยลำพัง คิ้วเขาขมวดมุ่น ท่าทางมีเรื่องหนักใจ เหม่อลอยเป็นครั้งคราว
ตั้งแต่ที่ได้รู้ว่าหลินสวินกลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณเมื่อหลายวันก่อน เขาก็กินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอด ไม่เคยได้หยุดขมวดคิ้ว
หลินสวินผงาดรวดเร็วเกินไปแล้ว!
รวดเร็วจนเขาตั้งรับไม่ทัน ยามรับรู้ได้ว่าปัญหารุนแรง ทุกอย่างก็เริ่มไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว
อย่างแรก นครต้องห้ามเวลานี้ใครๆ ต่างรู้ว่าพวกเขาตระกูลหลินสายรองทั้งสาม ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุกับหลินสวินนั้นเหมือนน้ำกับไฟ ต่างเป็นศัตรูของอีกฝ่าย
อำนาจของหลินสวินที่รุ่งเรืองขึ้น สำหรับพวกเขาสามสายตระกูลรองแล้วย่อมส่งผลกระทบหนักหน่วงหาใดเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย พาให้สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่สู้ดีนัก
หากมีเพียงเท่านี้ก็คงไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญคือ ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้กิจการที่อยู่ใต้การควบคุมของพวกเขาสามสายตระกูลรองก็ได้รับผลกระทบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทุกเดือนเสียหายไปอย่างน้อยหลายล้านเหรียญเหรียญทอง!
ความเสียหายเลวร้ายหนักหน่วงนี้เริ่มทำให้พวกเขาเจ็บเนื้อเจ็บตัวแล้ว สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก มีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ!
แต่ถึงกระนั้นไม่ว่าหลินเทียนหลงจะพยายามอย่างไร กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ความรู้สึกนั้นเหมือนนั่งรอความตาย ทรมานเสียจนหลินเทียนหลงใกล้แหลกสลาย
หัวหน้าตระกูลหลินแห่งธารประจิมที่เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะเช่นเขา ในตอนนี้กลับถูกบีบคั้นถึงจุดนี้ ช่าอเนจอนาถยิ่ง
แต่หลินเทียนหลงก็อับจนหนทาง
บนภูเขาชำระจิต ข้างกายหลินสวินมีจูเหล่าซานและหลินจงคุ้มครอง มีการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร คิดจะสังหารหลินสวินก็มีแต่ต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนอย่างหนักหาใดเทียบ ไม่เช่นนั้นหากเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามย่อมเสียหายขึ้นถึงสองเท่า
ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจที่หลินสวินมีก็ไม่ได้ธรรมดาเช่นนั้น ข้างกายเขายังมีความช่วยเหลือจากมหาอำนาจอย่างอัครการค้า ตระกูลหนิงกองทัพเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออกอีก
ในสถานการณ์เช่นนี้จะให้หลินเทียนหลงกล้าเคลื่อนไหวอย่างมุทะลุได้อย่างไร
ที่ต้องรู้ก็คือ หลินสวินเกือบสังหารฮวาอู๋โยวได้ อีกทั้งยังให้จูเหล่าซานทำร้ายฮวาเชียนเฉิงจนบาดเจ็บสาหัส และยังล่วงเกินฮวาชิงหลินอย่างถึงที่สุด แต่สุดท้ายตระกูลฮวาก็ยังไม่กล้าสังหารหลินสวินทันทีมิใช่หรือ
ขนาดลูกหลานสองคนจากตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลซ่งถูกหลินสวินเล่นงานที่หอสรวลทรัพย์ จนถึงท้ายที่สุดก็ไม่มีการสะสางเรื่องราว
ตระกูลฮวาและตระกูลซ่งเป็นถึงสองตระกูลที่อยู่ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด! อำนาจคับฟ้าแค่ไหน เบื้องหลังใหญ่โตเพียงใด
ขนาดพวกเขายังเลือกรามือชั่วขณะ แล้วหลินเทียนหลงจะกล้าเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามได้อย่างไร
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หลายวันก่อนเขาส่งมารเฒ่าฉวี่ไปภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ เดิมวางแผนจะร่วมมือกับลิ่งหูซิว คว้าโอกาสควบคุมหลินสวินให้อยู่หมัด
ใครจะคิดว่า สุดท้ายแล้วหลินสวินไม่เพียงไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด กลับปลุกปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้จนสะเทือนทั่วนครต้องห้าม กลายเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงผู้หนึ่ง ชื่อเสียงรุ่งโรจน์ราวอาทิตย์เที่ยงวัน
ส่วนลิ่งหูซิวกลับพลันตัดสัมพันธ์กับตระกูลหลินสายรองทั้งสามอย่างหมดเยื่อใย แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพที่เคยมีมานั้นสิ้นสุดลง ไม่ไปมาหาสู่อีก
ส่วนมารเฒ่าฉวี่ที่ถูกฝากความหวังใหญ่โตนั้นก็หายตัวไปเลย หาร่องรอยไม่พบอีก ต่อให้หลินเทียนหลงโง่เขลากว่านี้ก็รู้ว่ามารเฒ่าฉวี่นั้นกลัวเข้าแล้ว! หนีไปแล้ว!
เรื่องราวที่เกิดขึ้นติดต่อกันนี้ช่างเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด โจมตีหลินเทียนหลงจนรับมือไม่ทัน สับสนวุ่นวาย จะมีใจไปประมือกับภูเขาชำระจิตอีกได้อย่างไร
ไม่เพียงหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซานจากคานเมฆา หลินผิงตู้จากยอดวายุต่างอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับหลินเทียนหลงเลย
ในที่สุดหลังจากทั้งสามละล้าละลังอยู่นาน ก็ตัดสินใจว่าจะ ‘เจรจา’ กับหลินสวินดู!
ขอเพียงหลินสวินยินยอมให้พวกเขากลับไปยังภูเขาชำระจิตอีกครั้ง และควบคุมอำนาจตระกูลส่วนหนึ่ง พวกเขาย่อมนำคนในตระกูลกลับไป
การตัดสินใจนี้น่าอับอายโดยไม่ต้องสงสัย!
ให้พวกเขาผู้มีปราณระดับหยั่งสัจจะก้มหัวให้เด็กหนุ่มวัยสิบกว่าปีย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายดาย หากแพร่งพรายออกไป น่ากลัวจะกลายเป็นเรื่องน่าขันอย่างมาก
แต่ทำอย่างไรได้ สถานการณ์ไม่อาจควบคุมได้ พวกเขาไม่ควรคำนึงถึงแค่ตนเองเท่านั้น ยังต้องคิดถึงคนในตระกูลด้วย แม้จะอดสูกว่านี้ก็ต้องยอมรับ
“ก็ดูว่า…เด็กคนนี้จะตัดสินใจอย่างไรก็แล้วกัน…”
หลินเทียนหลงถอนหายใจยาวอยู่ในใจยามเยื้องย่างในคฤหาสน์ใหญ่โตของตระกูล
หลายวันมานี้เพราะกิจการที่อยู่ใต้การควบคุมถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียหายใหญ่หลวง ยังผลให้หลินเทียนหลงไม่อาจไม่สั่งการให้ประหยัดกินประหยัดใช้ ลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง ทั้งไล่ข้ารับใช้และผู้ดูแลต่างสกุลออกไปหลายคน
ก็เหมือนตอนนี้ หลินเทียนหลงเดินเยื้องย่างไปทั่วทุกที่ ในคฤหาสน์ใหญ่โตไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อนแล้ว ถึงกับเห็นเงาร่างของข้ารับใช้ชายหญิงได้น้อย ดูแล้วเหน็บหนาวไร้ชีวิตชีวา
“เฮ้อ ชีวิตแบบนี้อยู่ไม่ได้เลย ข้าไม่ได้ไปเพลิดเพลินที่หอสรวลทรัพย์มาสามเดือนแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงได้อึดอัดตายแน่”
“ให้ตายสิ พูดไปก็ไม่ชินเลย แต่ก่อนยามข้าออกจากบ้าน ข้ารับใช้มากมายราวผืนเมฆ ปรนนิบัติล้อมหน้าล้อมหลังขึ้นเกี้ยววิจิตร นั่งรถลากงดงาม ไปมายังสถานที่หรูหราชั้นสูง ครั้นเรียกเพื่อนฝูงมา ก็มารวมตัวกันแน่นขนัด แต่ตอนนี้…เฮ้อ อย่าพูดเลยดีกว่า”
เสียงคับแค้นใจดังขึ้นจากที่ไกลๆ
หลินเทียนหลงในใจรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วยมีดอย่างโหดเหี้ยม สีหน้าเหยเก
ในที่สุดเขาก็สูดหายใจลึก หันกายออกมาแล้วเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง
ในหลายวันนี้เขาได้ยินเสียงคับแค้นใจลักษณะนี้ไม่เพียงครั้งเดียว ส่วนใหญ่เป็นพวกลูกหลานวัยเยาว์ในตระกูล เมื่อก่อนเคยชินกับชีวิตหรูหรามีกินมีใช้ บัดนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเป็นลำบาก จะไม่ให้จิตใจหม่นหมอง ระบายความรู้สึกไม่พอใจก็เป็นเรื่องยาก
แต่หลินเทียนหลงคิดจะหลีกหนี กลับไม่สามารถทำได้ตามหวังเอาเสียเลย ไม่นานนักก็มีเสียงคับแค้นใจดังขึ้นอีก
“ชิชะ เจ้าหลินสวินนั่นมันเก่งกาจเสียจริง เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่อายุไม่ถึงสิบหกปี ได้ยินว่าขนาดเฟิงชิงโยวยังถูกเขากำราบ”
“แค่นี้เสียที่ไหนกัน ตอนนี้กลุ่มอำนาจใหญ่อย่างภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณ สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ และสำนักศึกษามฤคมรกตยังสู้กันเพื่อแย่งตัวหลินสวินเข้าสำนักเลยนะ!”
“เป็นแบบนี้ ภูเขาชำระจิตนั่นคงเจริญขึ้นในเร็ววันแน่ ด้วยความสามารถของหลินสวินในตอนนี้ ย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเงินใช้แล้ว!”
“เฮ่อ ถ้า…ข้าพูดว่าถ้านะ ถ้าพวกเราตระกูลหลินสายธารประจิมเอาอย่างสายแสงอุดร กลับไปยังภูเขาชำระจิตเสียแต่เนิ่นๆ สถานการณ์ของพวกเราจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
สีหน้าหลินเทียนหลงเขียวขึ้นอย่างหาใดเปรียบ เสียงคับแค้นใจเหล่านี้ล้วนมาจากผู้โดดเด่นในหมู่คนในตระกูลรุ่นเยาว์ แต่ตอนนี้พวกเขากลับสรรเสริญและอิจฉาหลินสวินแห่งภูเขาชำระจิต!
นี่มันช่าง…
ช่างเป็นการตบหน้าเขาหลินเทียนหลง!
แต่ท้ายที่สุดหลินเทียนหลงก็สูดหายใจลึก ฝืนตนระงับโทสะในใจ สะบัดแขนเสื้อแล้วหันร่างจากมา ไม่เดินไปเรื่อยอีก
ช่วยไม่ได้ เขากังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนคงโกรธจนกระอักเลือดออกมาแน่!
เมื่อกลับมายังโถงใหญ่ของตระกูล หลินเทียนหลงก็นั่งอยู่บนเก้าอี้โดยลำพัง นิ่งงันเหม่อลอย
ความร้ายแรงของสถานการณ์ในตระกูลมาถึงจุดอันตรายในขั้นที่ใกล้ล่มสลายแล้ว ใจคนเริ่มแตกกระสานซ่านเซ็น หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือ ธารประจิมก็ล่มสลายเองได้!
และทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเภทภัยที่หลินสวินชักนำมาให้
ที่ทำให้หลินเทียนหลงกังวลใจที่สุดนั้นก็คือ นับตั้งแต่วันที่หลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม เพิ่งผ่านไปครึ่งปีเท่านั้น ในช่วงเวลาอันสั้นนี้หลินสวินสามารถทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อยจะทำได้ถึงขนาดไหน
หลินเทียนหลงพลันนึกขึ้นได้ เมื่อตอนแรกหลินสวินเคยสัญญาไว้ว่าจะให้เวลาสามตระกูลสายรอง ธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุได้พิจารณาสามปี
ขณะนั้นพวกเขายังดูถูกอย่างยิ่ง คิดว่าหลินสวินลำพองเกินไปแล้ว แต่ตอนนี้…
หลินเทียนหลงไม่อาจไม่ยอมรับว่า ไม่ใช่หลินสวินที่ลำพอง แต่เป็นพวกเขาเสียเองที่ผิดพลาดใหญ่โต ประเมินศักยภาพอันน่ากลัวที่หลินสวินมีต่ำเกินไปมาโดยตลอด!
นี่ยังไม่ถึงหนึ่งปีก็ทำให้อำนาจของพวกเขาสามตระกูลตกอยู่ในสภาวะวุ่นวาย จิตใจผู้คนกระสานซ่านเซ็น เห็นเช่นนี้แล้ว ไม่ต้องใช้เวลาถึงสามปีพวกเขาก็ล่มสลายได้โดยสิ้นเชิง
“ท่านหัวหน้าตระกูล มีข่าวจากภูเขาชำระจิตขอรับ!”
ทันใดนั้นนอกโถงใหญ่ก็มีเสียงดังขึ้น ปลุกให้หลินเทียนหลงที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดตื่นขึ้นมา
ใจเขากระตุกไหว ถามอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “ว่าอย่างไร”
บ่าวที่มารายงานนั้นมีสีหน้าแปลกไป ลังเลไม่หยุด ราวกับไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร
ใจหลินเทียนหลงพลันเกิดความรู้สึกไม่ดี พูดเสียงขรึมว่า “พูดมา”
“หลินสวินผู้นั้นกล่าวว่า จะให้พวกเรากลับไปยังภูเขาชำระจิตนั้นย่อมได้ แต่ต้องรับปากมาสองข้อ”
บ่าวรับใช้สูดหายใจลึก เอ่ยขึ้นช้าๆ
หลินเทียนหลงร้องอืม “เงื่อนไขอะไร”
“ข้อแรก ส่งคืนสมบัติทั้งหมดที่นำออกไปจากภูเขาชำระจิตในตอนนั้น ขาดไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว”
บ่าวมีน้ำเสียงวิตก
หลินเทียนหลงหรี่ตาลง ฝืนควบคุมโทสะในใจตนไว้แล้วกล่าวว่า “เงื่อนไขนี้แม้จะเกินไปหน่อยแต่ไม่ถึงกับรับปากไม่ได้ แล้วเงื่อนไขข้อที่สองคืออะไร”
“ส่งตัว…โจร…ที่ตอนนั้นร่วมมือกับอำนาจภายนอกสมคบคิด…สมคบคิดกันเข้ามาแบ่งฮุบสมบัติของตระกูลหลิน…มาฆ่าให้หมดขอรับ!”
เสียงนี้เหมือนมีพลังราวพันจิน เมื่อพูดออกมา หน้าผากของบ่าวก็ชโลมไปด้วยเหงื่อเย็น
โครม!
ในชั่วพริบตาเท่านั้น โทสะและความแค้นที่หลินเทียนหลงเก็บอยู่ในใจมานานก็ปะทุขึ้นราวภูเขาไฟระเบิด อดกลั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป ฝ่ามือของเขาตบลงไปบนโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง
เศษไม้ลอยกระจาย สลายกลายเป็นผงระเบิดออก!
ส่วนสีหน้าของหลินเทียนหลงนั้นเขียวบูดเบี้ยวถึงที่สุดแล้ว เขากัดฟันพูดว่า “รังแกกันมากไปแล้ว รังแกกันเกินไปแล้ว! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อย่างมาว่าพวกข้าไม่ปราณีก็แล้วกัน! ไป ไปเชิญหัวหน้าตระกูลสายคานเมฆาและยอดวายุมา!”
เสียงพูดเพิ่งเงียบลง ก็พบว่านอกโถงมีเงาร่างสองร่างเดินเข้ามา ที่แท้ก็เป็นหลินเนี่ยนซานกับหลินผิงตู้ ชัดเจนว่าพวกเขารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้วจึงรีบมา
“เทียนหลง หลังจากเหตุนองเลือดนั้น ที่นำกิจการกับสมบัติออกไปจากภูเขาชำระจิตไม่ได้มีแค่พวกเราสามตระกูล แต่ตอนนี้พวกเราสามบ้านกลับมีภัยร้ายมาเยือน ก็ถึงเวลาที่จะให้กลุ่มอำนาจพวกนั้นมาออกหน้ากันบ้าง!”
ทันทีที่เข้ามา หลินเนี่ยนซานก็พูดขึ้นอย่างขรึมเคร่ง
“นี่…”
หลินเทียนหลงยังลังเล เขารู้ดีว่าเมื่อตัดสินใจออกไป ก็เท่ากับยืนอยู่ฝั่งเดียวกับกลุ่มอำนาจเหล่านั้นโดยสมบูรณ์ ไม่มีทางย้อนกลับ!
“ไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินนี่เห็นชัดว่าหมายจะสังหารให้ราบคาบ ในเมื่อเขาไร้ความปรานีเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าพวกเราไร้คุณธรรมก็แล้วกัน!”
หลินผิงตู้เอ่ยปาก น้ำเสียงแน่วแน่
“เรื่องนี้ จะปรึกษากับพวกผู้อาวุโสเสียหน่อยหรือไม่”
หลินเทียนหลงขมวดคิ้วแน่น ในใจขัดแย้งกัน
“ไม่ได้เด็ดขาด!”
ทั้งสองคนที่เหลือเอ่ยปากพร้อมกัน พวกเขารู้ว่า หากถูกพวกผู้อาวุโสล่วงรู้เข้า ย่อมไม่ยินยอมให้ทำเช่นนี้โดยเด็ดขาด
“เช่นนั้น…”
สีหน้าหลินเทียนหลงแปลกไป ครู่ใหญ่จึงพูดพลางกัดฟันกรอดว่า “เช่นนั้นก็ทำอย่างนี้ก็แล้วกัน!”
……………..