ตอนที่ 238 พบกันอีกครั้ง

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

น้ำชาหนึ่งกา ของว่างสี่ห้าอย่าง รวมกับผลไม้สดอีกสามสี่อย่าง ถูกจัดเตรียมเพื่อต้อนรับแขกอย่างสบายๆ ที่ศาลาริมน้ำของเรือนสดับวายุ ลมเย็นหอบพัดเอากลิ่นหอมสดชื่นของบัวสายขึ้นมา คลายความร้อนของวันนี้ไปเสียสิ้น เพียงแต่ผู้ที่อยู่ในฐานะแขกอย่างซย่าจื่อชิงกลับนั่งไม่ติดที่อยู่บ้าง มักจะรู้สึกว่าบนพื้นราวกับมีตะปูเต็มไปหมด ทิ่มแทงเขาจนนั่งไม่สบาย

ซั่งกวนเจวี๋ยก็ไม่พูดอันใด เอาแต่ดื่มชาในถ้วยอย่างเพลิดเพลินใจ ชาหลงจิ่งในวันนี้ดื่มแล้วคล้ายกับมีกลิ่นหอมเป็นพิเศษ ทว่าในใจกลับครุ่นคิดว่า เด็กสองคนนั้นจะมาเมื่อใดกัน?

คืนวันนั้นที่ซย่าจื่อชิงเป็นฝ่ายรุกไปหาเขา เขาก็เรียกเด็กทั้งสองคนมาถามความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวทันที จึงรู้ว่าไม่ได้มีเพียงแต่ซย่าจื่อชิงที่หลังจากพบจิงอิ๋งแล้วก็คะนึงหาฝังจิตฝังใจ แต่จิงอิ๋งก็ชอบทำราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่น กัน จากนั้นก็ถูกพิงถิงมองออกอยู่บ้าง จึงหลอกล่อและชักจูงให้แต่งกายเป็นสาวใช้ เข้าไปสืบหาความจริงด้วยตัวเอง จะพูดไปแล้วก็บังเอิญเช่นกัน ไปเจอกับซย่าจื่อชิงที่กำลังคุยกับสหายสนิทว่าจิงอิ๋งนั้นดีอย่างไรอยู่พอดี และเรื่องที่น่าขบขันยิ่งกว่าคือไม่รู้ว่าซย่าจื่อชิงหุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่ หรืออย่างไร คาดไม่ถึงว่าจะกล้าถามพวกสาวใช้ตรงๆ อย่างไม่สนใจอันใดว่ารู้จักฐานะของจิงอิ๋งหรือไม่ พิงถิงที่ลอบหัวเราะนั้นจึงบอกฐานะของจิงอิ๋งออกมาอย่างไม่ลังเล ซย่าจื่อชิงจึงตกใจจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง และสหายที่ชื่อหลินไต้เจี๋ยคนนั้นของเขากลับน่าสนใจยิ่งกว่า นึกไม่ถึงว่าจะใช้เงินยี่สิบตำลึงเพื่อปิดปากพิงถิง

หลังจากซั่งกวนเจวี๋ยรู้ถึงเรื่องนี้ ความประทับใจต่อซย่าจื่อชิงจึงเพิ่มขึ้นมา และก็ตัดสินใจให้โอกาสทั้งสองคนได้พบกันครั้งหนึ่ง…ส่วนสวีปิ่งฮุย ผู้ที่พิงถิงถูกใจนั้น ซั่งกวนเจวี๋ยก็ให้คนไปสืบหานิสัยใจคอและความประพฤติของเขาอย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องที่เขามีความสัมพันธ์ลับๆ กับหญิงสาวคนใดหรือไม่ ยิ่งต้องสืบหาอย่างกระจ่าง วันสองวันผลก็คงจะมาอยู่ในมือเขาแล้ว

“พี่ใหญ่ซั่งกวน…” ในที่สุดซย่าจื่อชิงก็อดเอ่ยปากเรียกขึ้นมาไม่ได้ ซั่งกวนเจวี๋ยพูดเพียงว่าอยากพบหน้าเขา แต่จางอี๋หยางที่พบกับซั่งกวนเจวี๋ยเพียงลำพังก่อนหน้า หลังจากกลับไปก็มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก หรือที่เขาแยกตัวเองมาพบทั้งสองคนก็เพียงเพื่อไม่อยากให้เสียหน้าพร้อมกันเท่านั้น ให้เขาทั้งสองทิ้งความเพ้อฝันที่มีต่อคุณหนูซั่งกวนไปเสีย

ซั่งกวนเจวี๋ยเลิกคิ้ว ในข้อมูลที่ได้รับมากล่าวว่าซย่าจื่อชิงนั้นมีนิสัยหนักแน่น สุขุมเยือกเย็น เหตุใดเพิ่งดื่มชาถ้วยที่สอง ก็อดทนรอไม่ได้เสียแล้ว

“คือว่า…ไม่ทราบว่าคุณหนูรองจะ…เอ่อ…” ซย่าจื่อชิงรู้สึกว่าแววตาของซั่งกวนเจวี๋ยคมกริบยิ่งนัก ทิ่มแทงเขาจนไม่สบายไปทั้งตัว คำพูดที่ออกจากปาก จู่ๆ ก็ติดอ่างขึ้นมา

“คุณชายใหญ่ พวกคุณหนูมาแล้วเจ้าค่ะ!” คำพูดของสาวใช้ด้านข้างทำให้ซย่าจื่อชิงราวกับยกภูเขาออกจากอก นั่งอย่างสงบนิ่งทันที กระนั้นกลับไม่กล้าจะมองออกไป…ซั่งกวนเจวี๋ยตั้งใจเชิญเขานั่งในตำแหน่งที่หันหลังให้คนที่มาอย่างพอดี เขาจะเห็นคนที่เข้ามาว่าเป็นคนงามที่ทำให้เขาสติไม่อยู่กับร่องกับรอยมาสองวันนี้หรือไม่ย่อมเป็นไปไม่ได้

“พี่ใหญ่!” พิงถิงทักทายซั่งกวนเจวี๋ยด้วนรอยยิ้มที่เบิกบาน ด้านจิงอิ๋งที่สดใสคึกคักมาโดยตลอดนั้นกลับเงียบขรึมราวกับเป็นคนละคน หรืออาจจะพูดได้ว่าไม่ใช่เงียบขรึม แต่เป็นเขินอายอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไร ดังนั้นจึงปิดปากเงียบให้รู้แล้วรู้รอดไป

ใบหน้าของซย่าจื่อชิงปรากฏความผิดหวังอย่างเลือนรางทันที…เสียงนี้ช่างไม่คุ้นหู ไม่ใช่เสียงคุณหนูที่ทำให้เขาคิดคะนึงหาผู้นั้น หรือคุณหนูผู้นั้นจะไม่ใช่คนของตระกูลซั่งกวน?

ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นมองออกอย่างชัดเจน แย้มยิ้มเล็กน้อย “พิงถิง เข้ามานั่งกับพี่ด้านนี้เถิด!”

“อื้อ!” พิงถิงหัวสมองแล่นวาบ ดึงจิงอิ๋งบอกเป็นนัยให้นางยืนตรงนี้อย่าได้ขยับไปไหน แต่ตัวเองกลับก้าวเข้าไปนั่งลงข้างๆ ซั่งกวนเจวี๋ยอย่างสบายๆ มองซย่าจื่อชิงอย่างเป็นธรรมชาติไปหนึ่งที ก่อนจะคลี่ยิ้มบาง “พี่ใหญ่เรียกน้องเข้ามามีอะไรจะกำชับหรือ?”

เด็กคนนี้ในยามนี้ก็หลักแหลมเสียจริง! ซั่งกวนเจวี๋ยเหลือบมองพิงถิงไปที ในดวงตาล้วนมีแต่ความชื่นชม “ผู้นี้คือซย่า จื่อชิงของตระกูลซย่าแห่งหยวนโจว กล่าวว่าเมื่อวานซืนได้มีชะตาพบน้องโดยบังเอิญ จึงมาหาข้า ร้องขอที่จะพบเจ้าสักครั้ง!”

“เมื่อวานซืนได้พบกันครั้งหนึ่งที่ทะเลสาบโม่โฉว เวลานั้นข้าอยู่ด้วยกันกับพี่น้องหวงฝู่!” พิงถิงครุ่นคิดในหัว กล่าวอย่างยิ้มๆ “ยามนั้นได้ยินพี่อิ๋งแนะนำ แต่เพราะอยู่บนเรือ ทุกคนต่างก็เล่นสนุกจนมีสภาพทุลักทุเลไปบ้าง จึงไม่ได้ทำความรู้จักกับพี่ซย่าอย่างเป็นทางการ”

“จื่อชิงกล่าวว่าตกหลุมรักน้องตั้งแต่แรกเห็น อยากจะพบกับน้องสักครั้ง เช่นนั้นก็คงต้องดูที่น้องแล้ว!” ในยามที่ซั่งกวนเจวี๋ยพูดประโยคนี้ก็มองซย่าจื่อชิง (หรือบางทีควรจะพูดว่ามองจิงอิ๋งที่อยู่ด้านหลังซย่าจื่อชิง) ด้านซย่าจื่อชิงนั้นเผยสีหน้าซีดเผือด ฉวยโอกาสก่อนที่พิงถิงจะพูดลุกขึ้นยืนก่อน ประสานมือให้กับคนทั้งสอง “พี่ใหญ่ซั่งกวน คุณหนูซั่งกวน เรื่องนี้เป็นจื่อ ชิงที่หุนหันพลันแล่นไป! จื่อชิงไม่แน่ใจในฐานะของคุณหนูที่พบในวันนั้น ก็มาขอร้องพี่ใหญ่ซั่งกวนอย่างไร้เหตุผล วันนี้ได้พบ คุณหนูซั่งกวนเป็นคุณหนูคนหนึ่งที่ได้พบในวันนั้นจริงๆ แต่ว่า คนที่ทำให้จื่อชิงหลงรักในแรกพบนั้นกลับไม่ใช่คุณหนูซั่งกวน”

“ไม่ใช่?” ใบหน้าของพิงถิงแฝงมาด้วยท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง กล่าวอย่างโมโหเล็กน้อย “เช่นนั้นความหมายของเจ้าก็คือพี่ใหญ่ของข้าใช้งานคนมากมายเพื่อเชิญเจ้ามา ทั้งยังตั้งใจให้พวกเราเข้ามาพบกับเจ้า ก็เพียงเพราะเจ้าหุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่เท่านั้นหรือ?”

หรือคุณหนูซั่งกวนจะมีความรู้สึกดีต่อตัวเอง? ซย่าจื่อชิงเผยสีหน้าขมขื่น เวลานี้จึงรู้สึกเสียใจกับความหุนหันพลันแล่นของตัวเองจริงๆ เขาโค้งคำนับให้ทั้งสองคน กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “เรื่องนี้เป็นจื่อชิงที่ใจร้อนไม่คิดหน้าคิดหลัง คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้!”

แม้เขาจะรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างเลือนราง แต่สถานการณ์ในยามนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เขาได้คิดมากเท่าใด เขาจึงทำได้เพียงกล่าวขอโทษไปก่อนเท่านั้น

“จิงอิ๋ง เรื่องนี้เจ้าคิดว่าควรจะจัดการอย่างไร” เวลานี้ซั่งกวนเจวี๋ยนั้นวางใจต่อซย่าจื่อชิงแล้ว พิงถิงร่วมมือกับเขาพูดมาจนถึงขั้นนี้ หากว่าเขาปรารถนาในชื่อเสียงลาภยศของตระกูลซั่งกวน ก็คงจะพูดตามน้ำไปแล้ว แต่ท่าทีตอบกลับของเขา แม้ว่าจะเหนือความคาดหมายของซั่งกวนเจวี๋ย แต่ก็ยังนับว่าพอใจอยู่มาก

“พี่ใหญ่…” จิงอิ๋งในยามนี้รู้สึกขัดแย้งในใจ ทั้งอยากตำหนิคนนิสัยเสียที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย อีกด้านก็รู้สึกวาบหวามในใจ ได้ยินคำถามของซั่งกวนเจวี๋ยจึงร้องเรียกออกมา

“อา…เจ้า…” ซย่าจื่อชิงเวียนหัวอยู่บ้าง พอหันศีรษะไปเห็นใบหน้างามที่ตนเองคะนึงหาทุกเช้าเย็น ทั้งมองซั่งกวนเจวี๋ยและพิงถิงที่นั่งตรงข้ามอีกครั้ง ชั่วขณะก็ดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่บ้าง และยามนี้ จู่ๆ เขาก็ประคองสติกลับมา เมื่อครู่ที่พิงถิง พูดว่า ‘ให้พวกเราเข้ามา’ ไฉนเขาจึงฟังไม่ออกกันนะ?

“ข้าว่าจิงอิ๋งก็คงไม่รู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรดี!” พิงถิงหัวเราะอย่างเริงร่า “เพียงแค่พบกันครั้งเดียวก็เกิดรักแรกพบอะไรกันแล้ว ข้าว่าไว้ใจไม่ได้ พี่ใหญ่ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

“คุณหนู ข้า…” ซย่าจื่อชิงถูกพิงถิงกล่าวเหน็บแนมก็หน้าขึ้นสีเล็กน้อย แต่ก็ยังหน้าหนาโค้งคำนับให้แก่จิงอิ๋ง “หลายวันมานี้ข้านั้นไม่อาจลืมรอยยิ้มและภาพของคุณหนูได้จริงๆ ดังนั้นจึงได้หุนหันพลันแล่นร้องขอที่จะพบคุณหนู หากคุณหนูไม่ปฏิเสธคัดค้านอันใด ข้าจะรีบเดินทางกลับหยวนโจว ให้ท่านพ่อมาสู่ขอถึงประตูทันที!”

พิงถิงหัวเราะจนตัวสั่น คาดไม่ถึงว่าซย่าจื่อชิงจะกล้าพูดเช่นนี้ กระนั้นกลับอิจฉาจิงอิ๋งขึ้นมาเล็กน้อย…หากคนที่ตัวเองชอบกล้าพูดกับตัวเองตรงๆ เช่นนี้ก็คงจะดี!

“เจ้า…” จิงอิ๋งเขินจนใบหน้าแดงก่ำ มีที่ไหนกันเจอครั้งที่สองก็พูดตรงๆ เช่นนี้แล้ว กระทืบเท้าเบาๆ กล่าวตำหนิ “เรื่องแบบนี้เจ้ามาถามข้าได้อย่างไรกัน? พี่ใหญ่ ข้าจะกลับแล้ว!”

เห็นจิงอิ๋งหนีกระเจิดกระเจิงดั่งมวลเมฆที่เคลื่อนหลบแสงอาทิตย์ในยามเช้า ซั่งกวนเจวี๋ยก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ ดูท่าจิงอิ๋งจะเต็มอกเต็มใจในเรื่องนี้เช่นกัน แต่ว่าถูกเจ้าเด็กทึ่มทำให้เขินอาย จึงทำได้เพียงหลบไปก่อนค่อยว่ากัน

“ไอหยา พี่ใหญ่ ข้าไปดูจิงอิ๋งก่อนล่ะ!” พิงถิงคิดว่าเวลาที่เหลืออยู่นั้นตัวเองไม่ควรจะอยู่ต่อ จึงรีบตามออกไปทันที จึงเหลือที่ว่างและเวลาให้แก่ซั่งกวนเจวี๋ยและซย่าจื่อชิงเท่านั้น

“พี่ใหญ่ซั่งกวน คือว่า…ข้าเสียมารยาทแล้ว!” เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื่อชิงพบคนที่ตนเองชอบ ไหนเลยจะจำได้ว่าอันใดคือมารยาท รอจนจิงอิ๋งหนีไปด้วยความขวยเขิน ทั้งพิงถิงก็ตามหลังไป เขาจึงค่อยพบว่าตัวเองใจร้อนเกินไปจริงๆ เป็นไปได้ว่าจะทำให้คนงามตกใจเสียแล้ว

“คนหนุ่มสาวมีความกระตือรืนร้นนั้นเป็นเรื่องธรรมดา!” ซั่งกวนเจวี๋ยยิ้มทั้งสั่นศีรษะ เขากลับรู้สึกชื่นชมการกระทำเช่นนี้ของซย่าจื่อชิง แม้ว่าจะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง เสียมารยาทไปบ้าง แต่เดิมทีจิงอิ๋งก็มีความรู้สึกดีกับเขา นั่นก็นับเป็นความกระตือรือร้นแล้ว คนเช่นนี้สามารถให้กำลังใจได้

“คือว่า…” ซย่าจื่อชิงทำตัวไม่ถูกขึ้นมาอยู่บ้าง จู่ๆ เขาก็โค้งต่ำให้ซั่งกวนเจวี๋ย “จื่อชิงไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ขอพี่ใหญ่แนะนำด้วย!”

เจ้าเด็กคนนี้รู้จักเล่นตามน้ำเช่นกันนี่นา! ซั่งกวนเจวี๋ยผงกศีรษะ กล่าวยิ้มๆ “เจ้ากับจิงอิ๋งเพียงเพิ่งพบเจอกันครั้งสองครั้ง หากจะตัดสินใจเรื่องสำคัญของชีวิตเช่นนี้เลย ย่อมไม่รอบคอบอยู่บ้าง หากมีเวลา หลังจากงานชมดอกบัว จื่อชิงสามารถมาเป็นแขกที่ตระกูลซั่งกวนสักระยะได้ หลังจากทำความรู้จัก เข้าใจซึ่งกันและกันก็ค่อยตัดสินใจ เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”

“จื่อชิงว่าตามที่พี่ใหญ่แนะนำ!” ซย่าจื่อชิงดีใจเป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าซั่งกวนเจวี๋ยจะไม่ผลักไสตนเอง ทั้งถึงขนาดอาจจะมีความรู้สึกดีอยู่บ้าง และคุณหนูจิงอิ๋งผู้นั้น ก็เหมือนกับชื่อของนาง กระจ่างสดใส ไม่อาจจะซ่อนเร้นอะไรภายในใจได้ มีความรู้สึกดีกับตัวเองเช่นกัน เขาก็ย่อมต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ ไม่อาจจะพลาดเรื่องใหญ่ในชีวิตที่สำคัญกับตัวเองเช่นนี้ไปได้

“แต่ว่า…” ซั่งกวนเจวี๋ยมองเขาอย่างเรียบนิ่ง “จางอี๋หยางคล้ายกับกำลังหาโอกาสพบหน้าจิงอิ๋งและพิงถิงอยู่ ความคิดของเขาข้ากระจ่างใจดี ทั้งยังรู้มามาก ดังนั้นเรื่องที่เจ้ารั้งอยู่ที่ลี่โจว ทางที่ดีปิดบังเขาไว้ดีกว่า ข้าไม่อยากให้มีเรื่องไม่ดีอันใดต่อน้องสาวถูกเผยแพร่ออกไป”

“พี่ใหญ่วางใจ น้องย่อมจะระมัดระวังอย่างถึงที่สุด” ซย่าจื่อชิงพยักหน้า ควรจะพูดคุยกับหลินไต้เจี๋ยให้ชัดเจนสักครั้งแล้ว ย่อมต้องรักษาระยะห่างกับจางอี๋หยางที่น่ารังเกียจคนนั้นอย่างจริงจังเสียที

“อื้ม!” ซั่งกวนเจวี๋ยพยักหน้า พูดมาจนถึงตรงนี้ก็นับว่ามากพอแล้ว กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็ไม่รั้งจื่อชิงแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด! เรื่องที่ใจเอาแต่กังวลในที่สุดก็ผ่อนคลายลงแล้ว จื่อชิงก็ควรนอนหลับอย่างสบายๆ ได้แล้ว”

ซย่าจื่อชิงหน้าแดงแปร๊ด รีบกล่าวลากับซั่งกวนเจวี๋ยทันที ค่อยๆ รับลมเย็นที่พัดขึ้นมาจากผิวทะเลสาบ สงบจิตใจที่ว้าวุ่นของตัวเอง ทั้งคิดว่าควรจะรับมืออย่างไรกับจางอี๋หยางที่ต้องมาเค้นถามตนอย่างแน่นอน…คนผู้นั้นกับเรื่องของตัวเองแล้วกลับอมไว้แน่น แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนไม่เปิดเผยสักเล็กน้อย กระนั้นกลับชอบสืบสาวราวเรื่องของผู้อื่นอย่างอ้อมๆ เป็นที่สุด จะพูดว่าเกลียดก็เกลียด จะกล่าวว่าตนจำคนผิดหรือกล่าวว่าตนถูกปฏิเสธดี? หรือไม่ต้องพูดอะไรเลย แล้วทำเหมือนอย่างที่จางอี๋ หยางทำกลับไป หน้าดำทะมึน ไม่พูดพร่ำอันใดก็ล้มนอนบนเตียง ไม่ว่าพวกเขาจะถามอะไรก็ไม่ต้องสนใจไปเลยอย่างนั้นหรือ?