Ch.8 – แก่นอบิลิตี้

Translator : Muntra / Author

โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.8 – แก่นอบิลิตี้
ฉินเฟิงคลานออกจากช่องเล็กๆ กระโดดลงไปในน้ำเสียที่เต็มไปด้วยสารพิษ ตามผิวหนังเริ่มสัมผัสได้ถึงความเจ็บแสบอีกครั้ง

 

แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจเกี่ยวกับมัน เจ้าตัวเพียงแหวกว่ายไปตามทาง สุดท้ายมุดออกมาจากท่อ มุ่งหน้าสู่ต้นน้ำ ระหว่างทางก็สังหารมนุษย์กบที่เจอไปพลางๆ

 

เมื่อมาถึงต้นน้ำ สารพิษจากห้องปฏิบัติการทดลองก็มาไม่ถึงอีกต่อไป ดังนั้นน้ำตรงส่วนนี้จึงสะอาด

ตั้งแต่ที่เกิดรอยแยกมิติ มนุษย์ก็กลับมาอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร โรงงานส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง ในช่วงเวลาสั้นๆเพียงร้อยปี โลกบริเวณในส่วนที่มนุษย์มิได้อาศัย จึงถูกปกคลุมไปด้วยพืชพรรณมากมาย มลพิษทางอากาศลดลงอย่างมหาศาล

 

บางที … นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับโลกก็ได้!

ฉินเฟิงล้างมือ ใบหน้า และลำคอของเขา ส่วนร่างกายเนื่องจากใส่ชุดต่อสู้T3 มันจึงไม่มีปัญหาใดๆ ก็หากชุดมันไม่มีข้อดีตรงส่วนนี้ เขาคงเสียใจกับราคาของมันที่ซื้อมา

หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็เปิดกระเป๋าสะพายหลัง หยิบเอารก ถุงนอน และสิ่งของเล็กๆน้อยๆออกมา

 

บางทีพอได้ออกมาจากช่องว่างมิติ พลังของเจ้าตัวน้อยก็เลยค่อยๆเริ่มฟื้นฟูกลับมา

 

มองผ่านเข้าไปในรกที่โปร่งใส ฉินเฟิงสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าพุงของเจ้าตัวเล็กกำลังขยับยุบๆพองๆ มันสูดหายใจ ขณะเดียวกันรกก็เริ่มแห้งลง คล้ายกับว่าถูกดูดกลืนพลังงานโดยเจ้าตัวเล็กไปอย่างต่อเนื่อง

 

แบบนี้ คาดว่าภายในชั่วโมงมันก็น่าจะฟักออกมา

 

ฉินเฟิงก้มลงมองเวลา ตอนนี้มันก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มแล้ว ไม่มีรถศึกจอดตามสถานีในทุ่งล่าอีกต่อไป

 

นี่หมายความว่าเขาต้องอาศัยอยู่ในทุ่งล่าเป็นเวลาหนึ่งคืน

 

ฉินเฟิงหาสถานที่ใต้ลม จากนั้นก็เริ่มเทผงขับไล่ฝูงสัตว์ ซึ่งกลิ่นฉุนของมัน สามารถป้องกันสิ่งมีชีวิตระดับต่ำไม่ให้เข้ามาใกล้ได้

 

สำหรับในเรื่องของรอยแยกมิติ ที่กล่าวกันว่ามันมักจะปรากฏขึ้นเป็นบางครั้งบางคราวในทุ่งล่า ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่ว่าไม่ได้สูงอะไรนัก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏ มักจะเกิดความเสียหายร้ายแรงตามมา

 

ในห้วงความทรงจำจากชีวิตก่อนหน้าของฉินเฟิง ช่วงดึกหลังจากที่เขารอดมาจากความตาย ตนเองก็มิได้พบเจอกับรอยแยกมิติหรืออันตรายใดๆ

 

เมื่อเป็นแบบนั้น ในชีวิตนี้ มันก็น่าจะเป็นกรณีเดียวกัน เขาสมควรที่จะสามารถอาศัยอยู่ในทุ่งล่าข้ามคืนได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ

 

หลังจากที่กินบิสกิตแท่ง ฉินเฟิงก็นั่งขาขวาทับซ้าย ค่อยๆสงบจิต ทำสมาธิเข้าสู่โลกภายใน

 

ลมหายใจของฉินเฟิงค่อยๆชะลอลง ทั้งคนทั้งร่างคล้ายกับว่าไม่ได้อยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป

 

ในจิตสำนึกของฉินเฟิง สัมผัสได้ถึงก้อนกล้มๆคล้ายหลุมดำทมิฬ ต่อมา ก็ปรากฏเพชรโปร่งใสขึ้นในการรับรู้ของเขา

 

เพชรที่ว่านี้ มองจากระยะไกล มันมีขนาดเล็กเป็นอย่างมาก

 

ทว่าเมื่อฉินเฟิงเพียงคิดว่าอยากจะเข้าไปใกล้มัน ตัวเพชรก็คล้ายกับรับรู้ มันเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

 

เวลานี้ เหมือนกับว่าฉินเฟิงกำลังอยู่ท่ามกลางอวกาศนอกโลก คล้ายกับมองเห็นแสงดาวสว่างไสว มันขยายขึ้นอย่างต่อเนื่องในสายตาของเขา

 

มันเหมือนกับดาวเคราะห์ที่ทำมาจากเพชรจริงๆ ใหญ่จนไม่อยากจะเชื่อ รอบดวงดาวฟุ้งไปด้วยวงแหวนหมอกที่ดูคลุมเครือ แลคล้ายกับมีรัศมีคอยปกคลุมรอบดาวเคราะห์ ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์เพชรก็คอยโคจร หมุนรอบตัวเองไปเรื่อยๆ

“นี่มันแก่นอบิลิตี้!”

 

ในหัวใจของฉินเฟิงสั่นสะท้าน

 

ในชีวิตก่อนหน้า พลังพิเศษของเขาถูกย่ำยีจนไม่สมประกอบ ส่งผลให้ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร ก็ไม่อาจรู้สึกได้ถึงแก่นอบิลิตี้ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผู้ใช้อบิลิตี้ได้เลย

 

ที่แท้ดาวเคราะห์เพชรดวงนี้ ก็คือแก่นอบิลิตี้ที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขานั่นเอง

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินเฟิงได้เห็นถึงแก่นอบิลิตี้ของเขาในสภาพสมบูรณ์ ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ

 

มันช่างทรงอำนาจ ลอยอยู่เงียบๆ คอยสาดแสงสดใสท่ามกลางความมืดมิด

 

ฉินเฟิงระงับห้วงอารมณ์ที่ตื่นเต้น และเริ่มที่จะใช้จิตสำนึกสัมผัสมันอย่างระมัดระวัง

 

ดาวเคราะห์เพชรมิได้โปร่งใสไปซะทีเดียว ในส่วนใจกลางของมัน มีแสงสีดำมืดมิดกำลังไหลวนอยู่ คล้ายกับว่าสามารถดูดกลืนพลังงานใดๆเข้าไปได้ตลอดเวลา

 

“หลุมดำนั่น แน่นอนว่าต้องเป็นพลังพิเศษดูดกลืนของฉัน มันช่างทรงพลังจริงๆ!”

 

ฉินเฟิงพยายามรับรู้ถึงพลัง และย้อนคิดไปว่าก่อนที่จะเกิดใหม่ แม้แก่นอบิลิตี้จะถูกทำลายลงไปแล้วก็ตาม แต่หลุมดำมืดมิดที่อยู่ใจกลาง เกรงว่ายังคงปลอดภัยดี ดังนั้น ส่งผลให้แม้เขาจะไม่สามารถกลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ได้ แต่ก็ยังคงมีพลังพิเศษดูดกลืนเอาไว้ในครอบครอง

 

ในอดีต เขาเลยทำได้เพียงแค่ใช้พลังดูดกลืน เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง กลายเป็นอาชีพผู้ใช้วรยุทธโบราณเท่านั้น*

 

(ในชีวิตก่อนหน้า ฉินเฟิงเดิมทีถูกฉีดยากระตุ้นจนได้กลายเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ แต่ต่อมา ถูกนำตัวไปทดลอง แก่นอบิลิตี้พัง แต่ยังมีพลังเสริมแกร่งให้ร่างกายอย่างดูดกลืนอยู่ เลยต้องผันอาชีพไปเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เน้นพละกำลังแทน)

 

“แต่การที่พลังพิเศษของฉันเป็นสีดำ มันไม่ใช่หมายความว่าฉันเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ธาตุมืดหรอกหรอ!”

จนถึงตอนนี้ มีผู้ใช้อบิลิตี้เพียงสิบธาตุเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็น ในทั้งสิบ มีทั้งที่แข็งแกร่งและอ่อนแอ พลังยิ่งแกร่ง ก็ยิ่งพบได้ยากกว่า ตามลำดับดังต่อไปนี้ เริ่มจาก ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ที่หาได้ง่าย พิเศษขึ้นมาก็จะเป็น ลม สายฟ้า น้ำแข็ง และหาได้ยากที่สุดคือ แสง และความมืด

 

แต่ฉินเฟิงไม่คาดคิดเลย ว่าอบิลิตี้ของตนจะเป็นธาตุมืด

 

ฉินเฟิงกลายเป็นฟุ้งซ่าน สมาธิของเขาเกือบจะหลุดลอยไป ดังนั้นดาวเคราะห์ที่เคยมาหยุดอยู่ใกล้ๆ จึงค่อยๆลอยไกลห่างออกไป หลุมดำที่อยู่ใจกลางเอง เวลานี้ก็เห็นแค่เพียงจุดดำเล็กๆเท่า

 

ฉินเฟิงส่ายหัว เรียกสติกลับคืน  ทว่าหลุมดำได้หายไปแล้ว ตัวเขาหลุดออกจากห้วงจิตสำนึก จิตวิญญาณอ่อนล้าแสนสาหัส

“พลังสมาธิของฉันยังคงอ่อนแอเกินไป!” ฉินเฟิงขมวดคิ้วมุ่น

พลังสมาธิ คือหัวใจสำคัญในการควบคุมพลังพิเศษของตน แม้แต่ผู้ใช้วรยุทธก็ยังต้องใช้สมาธิในการควบคุมกำลังภายใน

 

หากต้องการให้ตนมีสมาธิที่ดี เขาก็จำต้องฝึกฝนมันด้วยตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีทางลัดอื่น

“แอ๊!”

เสียงที่ทั้งเล็กและอ่อนแอดังขึ้น ฉินเฟิงชะงักวูบ ต่อมาจึงค่อยตระหนักได้ว่ามันคืออะไร เขารีบหันไปยังทิศทางของถุงนอนอย่างรวดเร็ว

 

เขาเปิดถุงนอนออก และพบว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ผ้าห่มบางๆ ได้เปิดเผยตัวออกมาแล้ว

 

มันคือสัตว์ตัวน้อยที่ฉินเฟิงได้ให้ความช่วยเหลือไว้นั่นเอง

ในตอนนี้ สัตว์ตัวน้อยได้กัดกินรกของตนเองจนเกือบหมด แม้จะยังหลงเหลือบางส่วนอยู่ที่ขาหลังอีกเล็กน้อย แต่ก็คงจะหมดลงในไม่ช้า

“แอ๊!”

 

สัตว์ตัวน้อยร้องอีกครั้ง มันเปิดปาก ทั้งๆที่ยังคงปิดตาอยู่ แสดงท่าทีคล้ายกำลังต้องการของกิน

ฉินเฟิงดึงเอาหลอดบรรจุสารอาหารเหลวคล้ายกับเยลลี่ออกมา มันมีพลังฟื้นฟูที่สูงมาก เดิมทีเขาเตรียมมันมาให้เจ้าสัตว์ใหญ่ เพื่อให้มันสามารถฟื้นฟูพลังกายได้สักเล็กน้อย

แต่ตอนนี้ เขาได้มอบมันให้กับเจ้าตัวเล็กแทน

 

สัตว์น้อยกอดหลอดพลาสติก และเริ่มดูดมันโดยไม่รู้ตัว

 

ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย เวลาเฝ้ามองดูสิ่งอ่อนแอ ผู้คนก็มักจะคลายความระมัดระวังเสมอ ในหัวใจของฉินเฟิงเองก็พลอยรู้สึกอบอุ่นไปด้วย

 

เขานำผ้าขนหนูจุ่มลงในน้ำ อุ่นมันให้เท่ากับอุณหภมูิร่างกาย แล้วค่อยๆเช็ดทำความสะอาดตามตัวเจ้าสัตว์น้อย ซึ่งในชีวิตก่อนหน้า แม้ตนจะมีสหายทั้งชายหญิง แต่ฉินเฟิงก็ไม่เคยทำอะไรที่มันอ่อนโยนแบบนี้กับพวกเขาเลย

 

แต่นั่นก็เพราะคนทั้งหมดที่ว่ามา ล้วนแข็งแกร่งจนไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้!

 

เมื่อร่างกายแห้งลง ขนของมันที่สัมผัสกับอากาศก็เริ่มเผยสีดั้งเดิมออกมา -เป็นขนสีขาวที่แห้งสนิท

“ในเมื่อแกมีขนสีขาว ถ้าอย่างงั้นฉันจะเรียกแกว่าเสี่ยวไป๋(ขาวน้อย)ก็แล้วกัน!”

 

ก็ในเมื่อชื่อมันเป็นแค่สิ่งไร้ประโยชน์ ฉะนั้นฉินเฟิงจึงไม่มามัวเสียเวลาคิดใดๆ เห็นเจ้าสัตว์น้อยเป็นแบบไหน เขาก็ตั้งชื่อตามนั้นไปเลย!

 

สัตว์น้อยเพิ่งเกิดมา ดังนั้นมันไม่มีสิทธิ์ที่จะโต้แย้ง เพียงร้องแอ๊ๆสองครั้ง แล้วผล็อยหลับไปจากกินอิ่ม

 

ฉินเฟิงเองก็มุดเข้าไปในถุงนอนบ้าง เขาอุ้มสัตว์น้อยวางไว้ตรงหน้าอก ป้องกันไม่ให้เบียดเสียดกันมากจนเกินไป แล้วค่อยหลับตานอน

 

อย่างไรก็ตาม ใน 10 ส่วน เขาแบ่งสมาธิไปกับการนอนแค่ 3 ส่วนเท่านั้น อีก 7 ส่วนยังคงตื่นตัวตลอดเวลา -นี่เป็นสามัญสำนึกของคนที่ต้องเอาชีวิตรอดในทุ่งล่า

 

หลับไปเพียงครึ่งตื่น เสียงประหลาดที่ไม่ช่างไม่เหมาะสมเลยกับยามค่ำคืนก็ดังขึ้น ฉินเฟิงเปิดตาของเขาทันที

เจ้าตัวผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ยัดเสี่ยวไป๋ลงในกระเป๋าเสื้อ ถุงนอนเก็บเข้าเป้สะพายหลัง ทุกอย่างเสร็จสิ้นในเวลาเพียง 10 วินาที

 

ในระยะไกลออกไป แว่วเสียงเห่าหอนของหมาป่า พร้อมกับร่างของคนหลายคนที่กำลังวิ่งพล่าน