บทที่ 223: ดวงตาแห่งคำสาป (3)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 223: ดวงตาแห่งคำสาป (3)

“จับให้มั่น อย่าถูกดึงเข้าไป” เมื่อเอ่ยจบ อาร์ทิสก็เริ่มทำมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่างอย่างรวดเร็ว

มือของนางรวดเร็วจนมันกลายเป็นเหมือนภาพติดตาขณะที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทั้งห้องสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นคลื่นพลังหยินหนาแน่นเริ่มพุ่งออกมาจากใจกลางเศษชิ้นส่วนของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสี และพวกมันก็เริ่มหมุนไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ

มันเริ่มสั่นเล็กน้อย และไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงของเหรียญทองแดงตกกระทบกับพื้นก็ดังขึ้นให้ได้ยิน

กริ๊ง…

ฟึ่บ ! ทันใดนั้นเอง พายุพลังหยินก็เริ่มหมุนไปรอบ ๆ เศษชิ้นส่วนของถ้วย ส่งผลให้เสื้อผ้าของอาร์ทิสและฉินเย่กระพืออย่างแรง กลุ่มก้อนพลังหยินเริ่มรวมตัวกับชั้นบรรยากาศโดยรอบและเพิ่มความรุนแรงของพายุ ทันใดนั้น เสี้ยววินาทีต่อมา ดวงตาสีแดงเข้มก็ปรากฏขึ้นที่ฐานของถ้วย !

ฉินเย่อ้าปากอย่างตกตะลึง กลุ่มก้อนพลังหยินที่หนาแน่นได้ก่อตัวรวมกันที่ด้านล่างของถ้วย และดวงตาดังกล่าวก็ปรากฏอยู่ตรงกลางของมัน มันแดงก่ำคล้ายกับสีเลือดและดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเมื่อมันจ้องมองมายังแดนมนุษย์

โอดะโนบูนางะเหรอ ? ฉินเย่รับรู้ได้ทันทีว่าใครคือเจ้าของของดวงตาคู่นี้

มันเป็นเพียงดวงตาในกลุ่มก้อนพลังหยิน ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความเย็นชา นอกจากนี้ความเย็นชาที่ว่าก็ไม่เหมือนกับความเย็นชาที่ฉินเย่แสดงออกกับผู้คนที่อยู่รอบ ๆ  กลับกัน มันคือสิ่งที่เย็นยะเยือกยิ่งกว่า แทบจะเหมือนกับว่ามันเห็นชีวิตของมนุษย์เป็นเพียงต้นหญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น มันเป็นความเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นจากวิญญาณที่สาบานว่าจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้สำเร็จ ! ฉินเย่รู้สึกขัดแย้งในใจเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นว่าดวงตาดังกล่าวกวาดตาผ่านเขาไปโดยไม่หยุดลงเลยแม้แต่น้อย

เพราะท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังมีความแตกต่างระหว่างปีศาจร้ายกับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อยู่

ทว่าทันใดนั้นเอง พรึ่บ ! ดวงตาอีกหลายคู่ปรากฏขึ้นที่ฐานของถ้วยในเวลาพร้อมกัน โดยแต่ละดวงจะปรากฏอยู่บนลายจุดของถ้วย ภายในไม่กี่พริบตา ทั้งถ้วยถูกปกคลุมไปด้วยดวงตาสีแดงก่ำ มองดูแดนมนุษย์ในเวลา 400 ปีต่อมาด้วยความคับแค้นและขุ่นเคืองใจ

เลือดเย็น เย็นยะเยือก โลภโมโทสัน และอาฆาตแค้น สายตาพวกนี้ไม่มีความรู้สึกดี ๆ อยู่เลยสักนิด มันเหมือนกับว่าพวกมันก่อตัวขึ้นมาจากภูเขาแห่งความรู้สึกลบไม่มีผิด

ตู้ม !!

ดั่งเช่นดอกปี่อั้นที่เบ่งบาน ด้วยคลื่นพลังหยินมากมายที่ปะทุออกมา ทุกอย่างโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องที่โหยหวน เสียงลุกไหม้ของเปลวไฟและไม้ที่ถูกเผา เสียงที่น่าสยดสยองของคมมีดที่กรีดผ่านเนื้อของมนุษย์ แทบจะเหมือนกับว่ามันคือบทเพลงแห่งโลกใต้พิภพไม่มีผิด

“แต่ละกลุ่มก้อนของพลังหยินแสดงถึงวิญญาณแต่ละตน เจ้าลองมองดูเอาเองเถิดว่ามันได้กักเก็บดวงวิญญาณไว้มากเท่าเพียงใด…” อาร์ทิสเอ่ยขึ้นในที่สุด

มากขนาดนี้เลยหรือ ?

ฉินเย่ตกตะลึง

เป็นไปได้อย่างไร ? ไม่ใช่ว่าถ้วยใบนี้เป็นสมบัติของตระกูลโอดะอย่างนั้นหรือ ? แล้ววิญญาณอื่น ๆ พวกนี้มาจากที่ใดกัน ?

โดยไม่สนใจอาการตกตะลึงของฉินเย่ อาร์ทิสยังคงไม่สะทกสะท้านอะไรกับคลื่นพลังหยินที่น่ากลัวตรงหน้าขณะที่นางเอ่ยต่อ “อันที่จริง มันค่อนข้างไม่ถูกต้องหากจะบอกว่ายุครณรัฐของญี่ปุ่นนั้นเป็นเหมือนกับสงครามระหว่างหมู่บ้าน เพราะอย่างไรแล้ว สถานที่ซึ่งถูกเรียกว่า ‘หมู่บ้าน’ พวกนี้มีกำลังทหารมากกว่า 1 แสนนาย ในตะวันออก นอกจากจีนแล้ว กองกำลังขนาดนี้สามารถขึ้นเป็นหนึ่งในอันดับต้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย มันก็แค่ไม่สามารถทนต่อข้อเท็จจริงที่ว่าหนึ่งในแม่ทัพของพวกเขา มิยาโมโตะ มูซาชินั้นเก่งกาจกว่าจูล่งก็เท่านั้น”

นั่นเป็นการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหันอีกแล้ว… ฉินเย่เงียบไปประมาณสามวินาทีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านเล่นเกมโรแมนติกสามก๊กอยู่อย่างนั้นหรือ ?”

อาร์ทิสหันไปมองฉินเย่ราวกับว่าเขาเพียงเอ่ยพึมพำกับตัวเองก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้าลองนึกดู มันเป็นเรื่องที่ตลกมากที่พวกเขาเรียกมิยาโมโตะ มูซาชิว่าเจ้าแห่งดาบทั้ง ๆ ที่เขาเป็นเพียงแค่นายร้อยเท่านั้น เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จในการพิชิตอันยิ่งใหญ่ใด ๆ แต่กลับได้รับตำแหน่งเจ้าแห่งดาบไป และเมื่อคิดว่าว่าเขายังถูกเรียกว่าเป็นเพชฌฆาตร้อยศพ… แม้แต่เจ้าแห่งดาบคามิอิสึมิ โนบุสึนะ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนการต่อสู้ชินคาเงะริวที่ทำได้ไม่แพ้กันก็ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเพียงนักฆ่าสิบศพเท่านั้น แล้วพวกเขาจะสู้กับราชันย์วิญญาณทั้งหกของเราได้อย่างไร ? น่าขำสิ้นดี”

“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุครณรัฐของญี่ปุ่นนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฮนดะ ทาดากัตสึ หรือที่รู้จักกันในนามฮนดะ เฮฮาจิโร่ เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้หลายสิบครั้งที่เขาเคยเข้าร่วมเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นล่ะคือสิ่งที่ข้าเรียกว่าพรสวรรค์ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถแย่งชิงวิญญาณของเขากลับมาที่ได้แม้ว่าจะระดมกำลังพลขนนกทมิฬระดับสูงจำนวนมากก็ตาม… ส่วนตอนนี้ แต่ละกลุ่มก้อนพลังหยินที่เจ้าเห็น…” ดวงตาของนางเป็นประกายขึ้นขณะที่นางเลียริมฝีปากของตัวเอง “วิญญาณแต่ละตน… แข็งแกร่งกว่าเจ้ามิยาโมโตะ มูซาชินั่นเสียอีก !”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตาเป็นประกาย สิ่งที่อาร์ทิสต้องการจะบอกก็คือหากเขาสามารถนำอีกชิ้นส่วนหนึ่งของถ้วยมาได้ เขาจะไม่ได้เพียงแต่แย่งดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะและครอบครัวมาเท่านั้น แต่เขายังจะได้นักรบระดับชั้นแนวหน้าในยุคนั้นอีกอย่างน้อยสิบกว่าตนมาด้วย !?

“นี่คือ…”

“ผู้คุ้มกัน” อาร์ทิสตอบ “ไดเมียวของญี่ปุ่นคนหนึ่งจะมีผู้คุ้มกันส่วนตัวอย่างน้อยหนึ่งคน หากเป็นศัพท์ของยุคสมัยนี้มันก็คงจะเทียบได้กับกองกำลังพิเศษ พวกเขาคือหัวกะทิในหมู่หัวกะทิด้วยกัน ถูกคัดเลือกมาจากทหารนับพัน และเหตุผลเดียวที่พวกเขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักก็เพราะว่าหน้าที่ของพวกเขาคือรักษาความปลอดภัยให้ไดเมียว และไม่มีใครได้เข้าร่วมในสนามรบเลยสักครั้ง”

“ในความเป็นจริง ข้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มขนนกทมิฬที่ถูกส่งไปเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณของโอดะโนบูนางะในครั้งนั้นเช่นกัน และข้าก็จำได้ว่าตัวเองได้ประลองดาบกับผู้คุ้มกันของเขาอยู่หลายครั้ง ข้าต้องขอยอมรับเลยว่าฝีมือของพวกเขาค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว”

ทันใดนั้นเองถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีก็สั่นไหว และกลุ่มก้อนพลังหยินที่แข็งแกร่งกว่ากลุ่มก้อนพลังหยินทั้งหมดก็พุ่งออกมาจากถ้วย

กลุ่มก้อนพลังหยินอื่น ๆ ภายในห้องเริ่มเคลื่อนไหวไปมาอย่างบ้าคลั่งราวกับเฉลิมฉลองการมาถึงของราชาของพวกเขา กลุ่มก้อนพลังหยินทั้งหมดเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ ราวกับหนวดสีดำในขณะที่ไฟทั้งอาคารดับลง

“มาแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยเสียงนิ่งพร้อมกับปล่อยให้พลังหยินในตัวของนางแผ่ออกมา “โอดะโนบูนางะ… ช่างเป็นชื่อที่ชวนให้คิดถึงเสียจริง…”

ฟึ่บ !

พลังหยินตรงหน้ารวมตัวเข้าด้วยกันและเกิดเป็นร่างขนาดจริงของมนุษย์คนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นกลางห้อง

แต่มันไม่ใช่มนุษย์… มันคือชุดเกราะขนาดจริงที่ถูกสวมโดยนักรบญี่ปุ่นโบราณ

เช่นเดียวกับภาพที่ปรากฏขึ้นในภาพยนตร์และอนิเมะเรื่องต่าง ๆ  หน้ากากโอนิพร้อมด้วยเขี้ยวยาวที่ยื่นออกมาคล้ายกับเขี้ยวเสือ ส่วนอื่น ๆ ของเกราะถูกเคลือบด้วยแผ่นโลหะสีดำสนิท กลุ่มก้อนพลังหยินที่เคลื่อนไหวไปมารอบ ๆ ก่อนหน้านี้รีบพุ่งเข้าไปในชุดเกราะทันทีที่มันปรากฏขึ้นก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นเปลวไฟนรกสีเขียวหยกที่ลุกโชติช่วงมาจากด้านใน

มันดูเหมือนจริงและลวงตาในเวลาเดียวกัน มันปรากฏอยู่ไกลออกไปทว่ากลับให้ความรู้สึกที่ใกล้เหลือเกิน

ฟึ่บ… พลังหยินภายในห้องพุ่งเข้าไปในเกราะ และเปลวไฟสีแดงสองดวงพลันปรากฏขึ้นในจุดที่ควรจะเป็นตำแหน่งของดวงตา พลังหยินภายในห้องหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเงียบและความรู้สึกเย็นยะเยือกภายในชั่วพริบตา

มันแทบจะเหมือนกับว่าพวกเขาได้ก้าวเข้าไปในหุบเหวน้ำแข็ง ถูกล้อมรอบโดยดินแดนร้างที่เต็มไปด้วยโครงกระดูกสีขาวซีด บรรยากาศโดยรอบบีบคั้นและกดดันอย่างไม่น่าเชื่อ

ขั้นยมทูตขาวดำระดับสูง… ฉินเย่อ้าปากค้าง อีกฝ่ายอยู่ห่างจากขั้นตุลาการนรกเพียงแค่ขั้นเดียว… พลังของวิญญาณตรงหน้าจะต้องสูงกว่าเขาอย่างแน่นอน ! แต่เขาก็รู้สึกว่านั่นเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพราะอย่างไรแล้วโนบูนางะก็คือหนึ่งในไดเมียวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคสมัยนั้น ชายผู้ซึ่งเกือบจะสามารถรวมญี่ปุ่นให้เป็นหนึ่ง คนระดับนี้… เขาจะสามารถทำให้มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและรับมาอยู่ใต้ปีกของเขาได้จริง ๆ น่ะหรือ ?

อาร์ทิสค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ร่างในชุดเกราะตรงหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ นางเดินไปด้วยท่าทางสูงศักดิ์ราวกับขุนนางผู้ยิ่งใหญ่และเอ่ยว่า “โอดะ โนบูนางะ… จงลืมตาขึ้นและดู เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ?”

ไร้ซึ่งเสียงตอบ

ทุกอย่างเงียบดังเช่นที่เป็นมา ทว่าความตึงเครียดที่น่าสะพรึงกลัวกลับเข้าปกคลุม สามวินาทีต่อมา เสียงคำรามที่น่าตกใจก็ดังขึ้น !

โฮกกกกกก !!!

เปลวไฟนรกที่อยู่ภายในชุดเกราะปะทุขึ้นจนมีความสูงกว่าสามเมตร ! จากนั้นใบหน้าไม่พอใจของชายวัยกลางคนพลันปรากฏขึ้นที่ใจกลางของเปลวไฟ

“แค้น ข้าแค้น แค้นใจยิ่งนัก ! เกลียด… เกลียด เกลียด ! เกลียดเหลือเกิน ! เกลียดเหลือเกิน !!!”

“อีกเพียงก้าวเดียว… อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น !”

“ทำไม… เหตุใดอาเกจิ มิตสึฮิเดะจึงทรยศข้า ?! ข้าจะตายไม่ได้… ความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ของข้า ! ความทะเยอทะยานของข้ายังไม่ได้รับการเติมเต็ม !”

ฟึ่บ… เปลวไฟนรกวูบไหวอย่างบ้าคลั่ง และใบหน้าสีเขียวหยกที่ใจกลางเปลวไฟก็น่ากลัวและบิดเบี้ยวขึ้นขณะที่กัดฟันกรอดและคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น แม้แต่ฉินเย่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความแค้นที่แผ่ออกมาจากแก่นวิญญาณของอีกฝ่าย

นี่คือวิญญาณอาฆาตอย่างแท้จริง ระดับของมันแตกต่างจากวิญญาณตนอื่น ๆ ที่เขาเคยเผชิญหน้ามาในเหตุการณ์ของชู้รักคนนั้นหรือหลี่เจียนคังอย่างสิ้นเชิง

ความแตกต่างเชิงคุณภาพ !

“โฮกกกกกกก !!!!” ขณะที่เขาคำราม ร่างเงาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหลังก็ดูเหมือนจะโยกไปมา ราวกับว่ากำลังร้องเพลงสรรเสริญให้กับราชาของพวกตน อาร์ทิสพยักหน้า “เป็นอย่างที่คิด เจ้ายังไม่ได้ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์… แต่อย่างไรเจ้าก็ยังเป็นถึงแม่ทัพ อย่ากระทำสิ่งใดให้ตัวเองดูน่าสมเพชนัก”

สิ้นสุดเสียงพูด เสียงร้องโหยหวนของโอดะก็หยุดลง ราวกับเพิ่งตระหนักถึงการมีอยู่ของคนนอกอีกสองคน คอของเขาหมุนราวกับเคลื่องจักรที่ขาดน้ำมันหล่อลื่น และดวงตาที่เป็นเปลวไฟสีแดงก็จ้องไปที่อาร์ทิสเขม็งก่อนที่จะเปล่งเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นออกมา “โฮกกกกกก !!!!”

โชคดีที่อาร์ทิสได้สร้างอาณาเขตเวทครอบคลุมห้องของฉินเย่เอาไว้แล้ว แต่ถึงกระนั้นประตูและหน้าต่างห้องก็ยังส่งเสียงดังราวกับมีพายุเข้า หลังเศษชิ้นส่วนของถ้วยพระเนตรสวรรค์ที่อยู่กลางห้องเปลี่ยนสี เตียง ผ้าห่ม หนังสือและของใช้อื่น ๆ ภายในห้องพลันกระเด็นออกไปหลายเมตรและกระแทกเข้ากับผนังห้องทันที

แม้แต่ฉินเย่เองก็กระเด็นออกมากว่าสองเมตรเพราะเสียงคำรามดังกล่าว

“ให้ตายเถอะ…” ฉินเย่ยกแขนไขว้กันเป็นรูปกากบาทเพื่อป้องกันและครางออกมาราวกับเห็นผี

นี่มัน… ไม่แข็งแกร่งไปหน่อยหรือไง ?

เขาหมายถึง… ทั้งเขาและอีกฝ่ายต่างก็อยู่ขั้นยมทูตขาวดำ แล้วทำไมวิญญาณตรงหน้าถึงดูแตกต่างกับตัวเองราวกับคนละระดับแบบนี้ ?

อาร์ทิสไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย อันที่จริง ใบหน้าของนางในเวลานี้กลับปรากฏรอยยิ้มบาง ๆ ด้วยซ้ำ และในวินาทีต่อมา ลำคอที่ทำจากยางของนางก็ยื่นออกจากร่างราวกับงูและพุ่งเข้าหาโอดะโนบูนางะทันที กลุ่มก้อนพลังหยินสีเขียวกว่า 3,000 ก้อนปรากฏขึ้นขณะที่นางทำเช่นนั้น

ทั้งสองกำลังประจันหน้ากัน พวกเขาอยู่ห่างกันไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ

ในเสี้ยววินาทีต่อมา กรามของอาร์ทิสก็อ้าออกกว้างประมาณหนึ่งเมตร ! เส้นผมสีดำสนิทของนางเริ่มเคลื่อนไหวราวกับอสรพิษ ในขณะที่พลังหยินหนาแน่นไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด จากนั้นนางก็เปล่งเสียงคำรามที่น่าสะพรึงกลัวกว่าโอดะโนบูนางะหลายเท่าออกมา !

“กรรรรรรรร !!!”

ตู้ม !!

เสียงคำรามในครั้งนี้ดังกว่าครั้งแรกมาก และฉินเย่ก็พบว่าร่างของเขากระแทกเข้ากับผนังห้องอย่างแรง ทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีรอบเศษชิ้นส่วนของถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีกลายเป็นเพียงเถ้าถ่าน ! เสียงคำรามของอาร์ทิสนั้นทรงพลังกว่าโอดะโนบูนางะหลายเท่า !

นี่คือการสู้กันระหว่างวิญญาณร้าย

มันไม่มีการพูดอะไรให้มากความ ทั้งหมดมีเพียงคำพูดที่ตรงไปตรงมา – ข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า หุบปากไปซะ !

ราชินีแม่มดนั้นแข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจแห่งสวรรค์ชั้นที่ 6 อย่างเห็นได้ชัด

วิญญาณของโอดะโนบูนางะเองก็ดูเหมือนจะตกตะลึงไปเช่นกัน – ไม่… ไม่ใช่ว่าการกลับมาของข้าควรจะเป็นตำนานอย่างนั้นหรือ ? กวาดล้างทั่วญี่ปุ่นราวกับพลังที่มองไม่เห็นจนกระทั่งสามารถครองแผ่นดินทั้งหมดได้ ? นี่ข้า… ได้รับบทมาผิดหรือเปล่า ?

ข้าจะยังได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขอยู่อีกหรือไม่ ? ระ รบกวนเจ้าช่วยหาทางออกจากที่นี่ให้ข้าที…

การแสดงพลังของอาร์ทิสได้ทำลายบรรยากาศกดดันที่โอดะโนบูนางะสร้างขึ้นหายไปจนหมด ถ้วยพระเนตรสวรรค์เปลี่ยนสีสั่นไหวอย่างรุนแรงก่อนจะตกลงกับพื้นเบา ๆ ร่างวิญญาณของโนบูนางะหายไปราวกับมันไม่เคยอยู่ตรงนี้มาก่อนทันที

เจ้าแข็งแกร่ง ข้าไม่สามารถสู้เจ้าได้ ลาก่อน

ฉินเย่กะพริบตาถี่รัวและเดินเข้าไปใกล้ชิ้นส่วนของถ้วยช้า ๆ จากนั้นเขาก็จิ้มไปที่มันและรีบถอยออกมาอยู่มุมห้องพร้อมกับยกมือปิดหน้าทันที สามวินาทีผ่านไป เขาค่อย ๆ ลดมือลงและมองไปที่ถ้วย

ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ

อาร์ทิสที่เห็นเช่นนั้นก็หงุดหงิดเป็นอย่างมาก ว่าที่จ้าวนรกในอนาคต… ช่างทำตัวให้น่าโมโหเสียจริง !

“ยืนให้มันดีๆ แค่วิญญาณของโอดะโนบูนางะกลับทำให้เจ้าหวาดกลัวถึงเพียงนี้เลยอย่างนั้นหรือ ?! แล้วเช่นนี้เจ้าจะสามารถเผชิญหน้ากับกองกำลังของอิซานามิในภายภาคหน้าได้อย่างไร ?!”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านพูดเรื่องอะไร ? ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าข้าจะต้องไปเผชิญหน้ากับกองกำลังของอิซานามิ ? นอกจากนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับถิ่นราชามรณะกัน ?!”

“ฐานที่มั่นของพวกนั้นถูกเหยียบย่ำโดยทหารราบจำนวนมาก…เดี๋ยวก่อนนะ เหตุใดข้าถึงต้องมาตอบคำถามของเจ้าด้วย ?!” อาร์ทิสเอ่ยออกมาอย่างโมโหและกัดฟันกรอด “จำไว้ให้ดี ประการที่ห้า สิ่งที่สำคัญที่สุด”

“เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าศัตรูของเจ้าในครั้งนี้แท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่ ?”

“โอดะโนบูนางะหรือ ? คาโม่โนะทาดายูกิหรือ ? ไม่ใช่ทั้งคู่…” นางสูดหายใจเข้าช้าๆ “หรือบางทีข้าอาจจะต้องพูดว่า ไม่ใช่แค่สองคนนี้”

“มันยังมีราชินีแห่งยมโลก เทพเจ้าแห่งความตายของชาวญี่ปุ่น อิซานามิ และยมทูตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนาง !”