เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งขันต่างรีบวิ่งไปข้างหน้า ไม่รอให้หมิงเวยและจี้เสียวอู่ไปถึงด่านแรก คำถามสำหรับทดสอบก็ได้ประกาศออกมาแล้ว
คำถามในด่านแรกสอดคล้องกับตัวตนของเสวียนตูกวัน ‘การพยากรณ์โชคชะตา’
ผู้เฝ้าประตูด่านแรกเป็นนักพรตอาวุโสชายร่างกายผอมบางนั่งอยู่บนหินข้างประตูมีกว้าถ่งวางอยู่ด้านหน้า
เขายิ้มแล้วชี้ไปที่กว้าถ่ง “นักพรตเฒ่ามีโชคชะตาอันโดดเดี่ยว ผู้คนรอบข้างประสบแต่ความโชคร้ายเกิดมาเพื่อลงโทษวงศาคณาญาติทั้งหก หากทุกท่านสามารถมอบโชคชะตาที่มั่งคั่งให้นักพรตเฒ่าได้ เชิญพยากรณ์ได้เลย”
ทุกคนประหลาดใจที่ได้ยินคำถามนี้ นี่มันคำถามอะไรกัน ไม่ให้ทำนายถูก แต่ให้ทำนายไม่ถูกงั้นหรือ
ฮ่องเต้ถามผู้อาวุโสที่อยู่ข้างกายเขา “ผู้อาวุโสอี้ ให้ทำนายพลาดไม่ง่ายไปหรือ แค่พูดไร้สาระออกไปก็ผ่านแล้วใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสอี้ยิ้ม “ฝ่าบาท ที่กระหม่อมต้องการคือชะตาชีวิตที่เฉพาะเจาะจง หากไม่เขย่ากว้าก็ถือว่าไม่นับพ่ะย่ะค่ะ”
เผยกุ้ยเฟยครุ่นคิด “แค่เขย่ากว้าก็ถือว่าทำนายแล้วหรือไม่เหมือนการพนันใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ที่เหนียงเหนียงกล่าวมาเป็นอีกแง่มุมหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ หากโชคชะตาดีพอ เขย่ากว้าดีๆ ถือเป็นการเสริมโชคให้กับชีวิต เหมาะที่จะผ่านด่านทดสอบ”
เจียงเชิ่งได้ยินก็พูดออกไปว่า “ท่านนักพรตจะบอกว่านี่แค่วิธีหนึ่ง แต่ยังมีอีกวิธีที่ทำให้ผ่านด่านนี้ได้แน่นอนใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสหัวเราะ “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ ด่านนี้ใช้ทักษะไม่มาก อาจจะยากสำหรับผู้ที่ไม่รู้ แต่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้รู้”
เจียงเชิ่งได้ยินดังนั้นจึงหันไปสนใจผู้ที่กำลังแข่งขัน
จู่ๆ หยางชูก็ลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินดังนั้นจึงหันไปสนใจผู้ที่กำลังแข่งขัน ตนตระหนักว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้นจึงเสนอให้ผู้อื่นเข้าร่วมการแข่งด้วย ในบรรดาผู้เข้าร่วมการทดสอบยังมีคนของตนไม่รู้ว่าพวกเขาจะหยุดยั้งหยางชูได้หรือไม่
เหล่าผู้เข้าร่วมการแข่งด่านแรกรับฟังคำอธิบายของผู้เฝ้าประตู ผู้ที่ไม่เข้าใจเคล็ดวิชาอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากัน
ตามปกติในกว้าถ่งควรมีเจ็ดเหรียญทองแดงจึงสามารถขึ้นอยู่กับโชคชะตาได้ โชคชะตาความมั่งคั่งของนักพรตเฒ่ามีความเป็นไปได้น้อยมาก แค่คำถามแรกดูเหมือนไม่ง่ายที่จะผ่านไปเสียแล้ว
ในบรรดาผู้เข้าร่วมมีคนถามขึ้นมาว่า “ท่านนักพรต ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าสามารถใช้กำลังผ่านไปได้ไม่ทราบว่าด้านนี้…”
นักพรตเฒ่าลูบเครา “แน่นอน หากมีความสามารถผ่านประตูนี้ไปได้ ข้าจะให้เหรียญทองแดงหนึ่งอัน”
ทันทีที่พูดจบดวงตาหลายคู่สว่างวาบขึ้นแล้วผู้ที่ถามเมื่อสักครู่ก็โพล่งขึ้นมาว่า “ท่านนักพรต ล่วงเกินท่านแล้ว!”
พูดจบอีกฝ่ายก็วาดหมัดออกไปเกิดลมแรงปะทะเข้าที่หน้า
เคราผู้อาวุโสลอยขึ้น เขาไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาแล้วยกฝ่ามือสกัดกำปั้นอีกฝ่ายอย่างง่ายดายจากนั้นก็ผลักออกไป
การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลมากเขาใช้ประโยชน์จากพลังโจมตีซึ่งเมื่ออีกฝ่ายลงมือจึงล้มลงทันทีและกระแทกกำแพงภูเขาอย่างแรง
“สหายน้อย ล่วงเกินเจ้าแล้ว” ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ผู้แพ้การแข่งขันคนแรกถูกเชิญออกไปอย่างง่ายดาย ชายคนนั้นไม่คาดคิดว่าแม้แต่กระบวนท่าเดียวก็รั้งไว้ไม่ได้ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขารีบคารวะอีกฝ่ายและเดินซ่อนใบหน้าออกไป
การแข่งขันต่อหน้าพระพักตร์เป็นเรื่องปกติที่จะได้รับความโดดเด่นหากแสดงได้ดี แต่หากแสดงได้ไม่ดีก็จะรู้สึกขายหน้าต่อหน้าพระพักตร์เป็นอย่างมาก
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้อื่นตกใจ ท่าทีของผู้อาวุโสท่านนี้ดูสงบ เขายังคงนั่งและมีรอยยิ้มไม่หงุดหงิดหรือใจร้อนอะไร
หลังจากนั้นไม่นานในที่สุดก็มีคนที่มีสติปัญญาคิดได้ว่า “ท่านนักพรต ท่านบอกว่าด่านนี้ขอเพียงแค่ได้รับเหรียญทองแดงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับท่านใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถูกต้องแล้ว” ผู้เข้าแข่งขันที่พอจะมีสติรู้สึกอยากลองขึ้นมา
ผู้อาวุโสพูดขึ้นอีกประโยคว่า “พวกท่านสามารถผ่านไปด้วยกันได้ตราบใดที่ไม่ถูกข้าหยุดไว้ก็ถือว่าผ่านด่านนี้” คำพูดนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไปอีก
แล้วจี้เสี่ยวอู่ก็ถามว่า “ผ่านไปง่ายขนาดนี้เลยหรือมันง่ายเกินไปรึเปล่า!”
หมิงเวยตอบ “ท่านเห็นนักพรตผู้นั้นรับหมัดหรือไม่ เขาไม่ได้ขยับร่างกายช่วงล่างด้วยซ้ำ จากการคาดการณ์ของข้าเขาเป็นผู้ที่มีประสบการณ์อย่างน้อยที่สุดหกสิบปี คนที่สามารถเข้าเสวียนตูกวันได้ล้วนเป็นผู้มีความสามารถระดับสูง บวกกับทักษะหกสิบปี ท่านคิดว่าใครในที่นี้สามารถล้มเขาได้งั้นหรือ”
“เจ้าก็ไม่สามารถหรือ”
หมิงเวยหัวเราะ “อย่าพูดถึงข้าเลย แม้แต่ผู้ถูกเลือกให้เป็นเจ้าสำนักสองคนนั้น ตอนนี้ก็สู้ไม่ได้หรอก”
เว้นเสียแต่ว่าหลังจากพวกเขาได้รับชัยชนะได้ใช้ดอกถานเชิงให้เป็นพลังของตนเอง หมิงเวยพูดต่อในใจ
จี้เสียวอู่เข้าใจแล้ว “เพราะฉะนั้นคำถามนี้ผู้ที่ถนัดในวรยุทธ์ไม่สามารถผ่านไปได้สินะ”
“ไม่ขนาดนั้น” หมิงเวยตอบ “ถึงจะบอกว่าอนุญาตให้ใช้กำลังบังคับแต่ก็เป็นวิธีที่พวกเขาสงวนเอาไว้ หากมีคนบรรลุถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเขาสามารถไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด”
“เจ้าหมายความว่าในที่นี้ไม่มีผู้ใดเอาชนะเขาได้แม้แต่คนเดียวงั้นหรือ”
หมิงเวยยิ้มบาง “ผู้ใดจะรู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ บางทีอาจมีคนซ่อนความสามารถเอาไว้หรือมีทักษะพิเศษก็เป็นได้”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันผู้เข้าร่วมหลายคนสื่อสารกันด้วยสายตาแล้วจากนั้นก็ยืนขึ้นจากพื้นพร้อมกันและรีบวิ่งไปที่ประตู
ผู้อาวุโสยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับเขาหยิบกว้าถ่งขึ้นมา
ติงๆๆ เสียงดังขึ้นหลายครั้ง เหรียญทองแดงทั้งเจ็ดถูกดีดออกไป
“อา!”
“ตุบ” เสียงยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่พยายามผ่านด่านถูกหยุดไว้หมด ในครั้งนี้มีหลายคนถูกกำจัดออกติดต่อกัน
ผู้อาวุโสนำเหรียญทองแดงกลับมาไว้ที่เดิมแล้วพูดว่า “สหายทั้งหลาย มีวิธีไหนอยากลองอีกเชิญลงมือได้เลย”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็มีบุรุษรุ่นเยาว์ผู้มีลักษณะเหมือนนักกวีเดินเข้ามาใกล้แล้วคารวะอีกฝ่าย “ท่านนักพรต ข้ายินดีที่จะลอง”
ผู้อาวุโสยิ้มแล้วยื่นมือออกไป “เชิญคุณชายได้เลย”
นักกวีรุ่นเยาว์หยิบกว้าถ่งขึ้นมาเขย่าอย่างระมัดระวังแล้วหลับตาลงพึมพำอย่างเงียบๆ เขากัดฟันแล้วเทมันออกมา
ผู้อาวุโสมองผลปากว้าแล้วยิ้ม “คุณชายรู้ศาสตร์พยากรณ์เล็กน้อย กว้านี้มีความซื่อสัตย์จริงใจนับว่าชะตากรรมของนักพรตเฒ่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
คำพูดนี้ฟังดูเกินจริง สีหน้าของนักกวีมืดครึ้มเขาคารวะอีกฝ่าย “ทักษะของข้ายังไม่ดีเท่า ขอบคุณท่านนักพรตที่ชี้แนะ” กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินไปตามทางภูเขา
ที่ผู้อาวุโสกล่าวมาดวงชะตาของเขาลงโทษวงศาคณาญาติทั้งหกซึ่งไม่ใช่ก็ใกล้เคียง แต่นั่นก็ไม่ใช่ชะตาที่เขาต้องการ
บู๊ไม่สามารถ บุ๋นก็ผ่านไม่ได้ เหล่าบุตรหลานขุนนางชั้นสูงเริ่มทำอะไรไม่ถูก
แค่ด่านแรกยังผ่านยากขนาดนี้ดูเหมือนการทำตัวโดดเด่นต่อหน้าพระพักตร์จะไม่ง่ายเสียแล้ว! หลังจากล้มเหลวสองครั้งติดต่อกันผู้เข้าร่วมที่เหลือก็เริ่มระมัดระวังตัวและไม่กล้าลองอะไรง่ายๆ อีก
เมื่อไม่สามารถที่จะแสดงฝีมือได้ก็มีคนผู้หนึ่งหัวเราะขึ้นมาแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าผู้อาวุโส “ข้าเอง”
ฮ่องเต้เห็นเขาก็หันไปยิ้มให้เผยกุ้ยเฟย “หรือชูเอ๋อร์มีความคิดอะไรแปลกๆ อีกแล้ว”
เผยกุ้ยเฟยหัวเราะ ไท่จื่อเห็นภาพนี้ก็รู้สึกขัดหูขัดตายิ่ง
หากใครไม่รู้คงคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน!
หยางชูเทเหรียญทองแดงออกมาจากข้างใน เขาดูแต่ละเหรียญอย่างระมัดระวัง ชั่งน้ำหนักเป็นครั้งคราวจากนั้นก็ยกกว้าถ่งขึ้นมาพลิกซ้ำไปซ้ำมา
ผ่านไปสักพักในที่สุดเขาก็นำเหรียญทองแดงกลับเข้าไปในกว้าถ่ง
“ข้าพยากรณ์ได้แล้ว! เห็นแล้ว!” ทุกคนเห็นว่าเขายกกว้าถ่งขึ้นมาเขย่า
………