ตอนที่ 5 เหอะๆ!

การสมัครจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า ฟางผิงไม่ใช่เทพเซียน เหลือแค่วันพรุ่งนี้อีกวันเท่านั้น จะให้ไปหาเงินหนึ่งหมื่นที่ไหนกัน

รอจนฟางหมิงหรง บิดาของเขาแบกร่างที่เหนื่อยล้ากลับมาถึงบ้าน ยามที่ทุกคนกินข้าวพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหาร ฟางผิงค่อยเอ่ยปากขึ้นมา

“พ่อครับ อาทิตย์หน้าจะมีการรับสมัครสอบวรยุทธ์ ผมอยากสอบวรยุทธ์ ต้องใช้ค่าสมัครสอบ…หนึ่งหมื่นหยวน”

สิ้นเสียงของฟางผิง ทั่วทั้งห้องก็เงียบกริบลงทันที

ปีนี้ฟางหมิงหรงเพิ่งจะอายุสี่สิบ ใบหน้ายังไม่มีรอยเหี่ยวย่น ทว่ามีผมหงอกประปรายอยู่บ้าง

ฟางหมิงหรงทำงานในโรงงานเครื่องเคลือบแห่งหนึ่งแถวชานเมืองหยางเฉิง เป็นเพียงคนงานทั่วไปเท่านั้น

ปัจจุบันคนงานทั่วไปในเมืองหยางเฉิงมีรายรับประมาณสองพันหยวน ฟางหมิงหรงได้เงินแต่ละเดือนประมาณสามพันกว่าหยวน

เจ้านายไม่ได้ชื่นชอบเขา และเขาก็ไม่ได้มีผลงานโดดเด่นอะไร

แต่เพราะเขาทำงานในโรงงานเครื่องเคลือบมานานแล้ว เสี่ยงเป็นโรคฝุ่นจับปอด ดังนั้นจึงเพิ่มเงินเดือนให้สูงขึ้นหน่อย แทบเรียกว่าได้ใช้สุขภาพแลกกับเงิน

แต่ฟางหมิงหรงกลับจำเป็นต้องทำ

เด็กสองคนในบ้าน คนหนึ่งอยู่ชั้นมัธยมปลาย อีกคนอยู่มัธยมต้น เสื้อผ้าข้าวปลาอาหารล้วนต้องใช้จ่ายทั้งนั้น

นอกจากต้องเก็บเงินเป็นค่าเทอมมหาวิทยาลัยให้ฟางผิง ยังต้องครุ่นคิดเรื่องแต่งงานซื้อบ้านหลังจากฟางผิงเรียนจบ ใช้ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างฝืดเคือง

เงินหนึ่งหมื่นหยวน หากหักเงินค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำออกไป สองสามีภรรยาต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงจะเก็บเงินได้

สังคมในยามนี้ให้ความสำคัญกับผู้ฝึกยุทธ์

แม้ว่าฟางหมิงหรงจะเป็นคนธรรมดา แต่ก็รู้ดีว่าการสอบเข้าสายวรยุทธ์เป็นเรื่องยาก ยากยิ่งกว่าการบินขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก!

เมืองใหญ่อย่างหยางเฉิง ทุกปีมีนักเรียนนับหมื่นเข้าร่วมการสอบเกาเข่า คนที่สอบสายวรยุทธ์ได้ ใช้เพียงสองมือก็นับได้แล้ว

ฟางผิงเรียนในโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งหยางเฉิง นับเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดในเมืองหยางเฉิง

แต่แม้จะเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่ง ปีก่อนหยางเฉิงเพิ่งจะมีคนสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้ห้าคน ตอนนี้มีนักเรียนมัธยมปลายปีสามหนึ่งพันห้าร้อยคน ห้องเรียนธรรมดายี่สิบกว่าห้อง

ปี 2007 ห้องเรียนธรรมดากว่ายี่สิบห้องนี้ มีคนสอบเข้าสายวรยุทธ์ได้ทั้งหมดสองคน

ข่าวพวกนี้ ไม่ได้แปลกใหม่สำหรับฟางหมิงหรงที่ไปประชุมผู้ปกครองบ่อยๆ อาจารย์ในโรงเรียนยังเป็นฝ่ายเผยแพร่ข่าวเสียเองด้วยซ้ำ

เพราะนักเรียนสองคนจากห้องธรรมดาสามารถสอบวรยุทธ์ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเสียหาย กลับเป็นเรื่องดีที่คุ้มค่าให้อาจารย์ได้ภาคภูมิใจ

แต่จะใช้เงินหนึ่งหมื่น เดิมพันกับโอกาสที่เลื่อนลอย จะคุ้มค่าหรือไม่?

ฟางหมิงหรงไม่ได้รีบเอ่ยอะไร ด้านหลี่อวี้อิงก็ลังเลไม่กล้าพูดออกมา

ฟางหยวนก้มศีรษะไม่กล้าปริปาก เทียบกับฟางผิงแล้ว เธอเข้าใจเรื่องพื้นฐานพวกนี้ยิ่งกว่าฟางผิงเสียอีก แม้ว่าจะอยู่ชั้นมัธยมต้นก็ตาม

ฟางหมิงหรงยกแก้วเหล้าเล็กๆ ขึ้น ก่อนจะมองลูกชายไปแวบหนึ่ง ผ่านไปสักพักก็พยักหน้าเอ่ย

“อีกเดี๋ยวไปเอาบัตรธนาคารที่แม่ พรุ่งนี้ลูกก็ไปถอนเงินเองแล้วกัน”

“พ่อ…” ฟางผิงขบฟันแน่น อยากพูดปลอบใจพ่อเสียหน่อย

“ไม่ว่าจะสอบได้หรือไม่ได้ แกมีความตั้งใจนี้ก็เพียงพอแล้ว ถึงจะสอบไม่ได้ อย่างน้อยถือเสียว่าเป็นประสบการณ์ วันหลังหยวนหยวนขึ้นมัธยมปลาย แกก็จะแนะนำน้องได้ แม้บ้านเราจะไม่ได้มั่งมี แต่นี่นับเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตคนๆ หนึ่ง!” จู่ๆ ฟางหมิงหรงก็ตัดบทขึ้นมาก่อน

แม้ว่าไม่คาดหวัง แต่การสอบสายวรยุทธ์นั้นเป็นเรื่องใหญ่ที่จะพลิกชะตาชีวิต หากฟางผิงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ฟางหมิงหรงคงจะไม่พูดออกมา

แต่เมื่อลูกชายเอ่ยถึง อย่างมากก็ทำงานให้เยอะขึ้นหน่อยเท่านั้น เงินหนึ่งหมื่นไม่ถึงกับทำให้ตระกูลฟางล้มละลายเสียหน่อย

พอได้ยินอย่างนั้น ฟางผิงก็ไม่พูดอะไรอีก

เวลาแบบนี้ เอ่ยคำพูดสวยหรูมากไปก็ไม่มีประโยชน์

ยิ่งไปกว่านั้น ฟางผิงเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสอบเข้าได้จริงๆ

เขาแค่กลับมาเกิดใหม่ ไม่ได้พลังเซียนติดตัวมาเสียหน่อย

วรยุทธ์อย่างนั้นหรือ แม้จะไม่รู้ว่าหลักๆ ต้องสอบอะไร ก็พอเดาได้ว่าคงไม่พ้นเรื่องพวกสมรรถภาพทางร่างกาย

ความเป็นจริง ฟางผิงทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาเล็กน้อย ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะมาก

จะสอบวรยุทธ์ได้หรือไม่ ยามนี้ฟางผิงไม่มีความมั่นใจจริงๆ

แต่แม้จะสอบไม่ผ่าน แต่ในอนาคตจะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา

ดังนั้นสำหรับอนาคต ฟางผิงคิดว่าแม้ตัวเองจะเดินไปไม่ถึงจุดสูงสุด ก็คงจะไม่เป็นเหมือนตอนนี้ รังแกน้องสาวเพราะเงินค่าขนมยี่สิบหยวน

เมื่อแก้ไขอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางหน้าได้ ในใจฟางผิงจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย

ฟางหยวนเป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะในบ้าน เห็นทุกคนยังคงจมดิ่งกับหัวข้อเมื่อครู่ ก็เปลี่ยนเรื่องด้วยรอยยิ้ม “ฟางผิง นายจะสอบวรยุทธ์จริงเหรอ?”

ฟางผิงเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ “ใช่แล้ว รอพี่ของเธอสอบวรยุทธ์ได้ กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกหน่อยเธอก็จะรวยแล้ว ไปโรงเรียนเทอมหน้า เธอไปอวดเพื่อนได้เลยว่า ‘พี่ชายฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว’ ฉันกล้ารับประกันว่า ถึงเวลานั้นเธอก็จะเป็นหัวโจกในโรงเรียน ต่อไปก็ไม่มีใครกล้าเรียกเธอว่า ‘ยัยหน้ากลม’ อีกแล้ว”

“ฟางผิง!”

ฟางหยวนโมโหขึ้นมาอีกครั้ง เพราะเด็กสาวมีใบหน้าอ้วนกลม ทั้งชื่อยังมีคำว่าหยวน[1]

เพิ่งขึ้นมัธยมต้นไม่กี่วัน ก็ถูกพวกนักเรียนชายหัวโจกตั้งฉายาว่า…ยัยหน้ากลม!

เพราะเรื่องนี้ เด็กสาวจึงเตรียมพร้อมจะจัดการกับนักเรียนชายพวกนั้นแล้ว

ฟางผิงพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเข้าแล้ว!

ฟางหยวนที่อยู่ในอารมณ์โกรธ จึงไม่ไว้หน้าพี่ชาย เอ่ยอย่างโมโห “นายสอบไม่ได้หรอก สิ้นเปลืองเงินขนาดนี้ เอาไปซื้อของอร่อยๆ กินดีกว่า!”

“หยวนหยวน!”

สองสามีภรรยาแทบจะตำหนิออกมาพร้อมกัน ฟางหยวนได้สติกลับมาทันที ก้มหน้าพูดพึมพำ “หนูแค่พูดไปเท่านั้นเอง,,,พี่เขาอาจจะสอบผ่านก็ได้”

ฟางผิงหัวเราะ ทำท่าบีบแก้มไปทางฟางหยวน ฟางหยวนที่อยู่ในอารมณ์คุกรุ่นจึงมองค้อนใส่เขาไปที

รอจนมื้อเย็นผ่านพ้นไป หลี่อวี้อิงก็เอาบัตรธนาคารให้ฟางผิง

พรุ่งนี้เธอต้องไปทำงาน ฟางผิงก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ไปกดเงินเองไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

เมื่อก่อนตอนที่จำเป็นต้องใช้เงิน บางครั้งก็ให้ฟางผิงเป็นคนไปจัดการ

ฟางผิงรับบัตรธนาคารมา ก่อนจะถอนหายใจ “พ่อกับแม่ก็ไว้ใจกันเกินไป ไม่กลัวเราจะถอนเงินออกมาหมดหรือไง…”

แน่นอนว่าในบัตรคงไม่ได้มีเงินเพียงหมื่นเดียว หากเป็นก่อนหน้านี้ ฟางผิงย่อมไม่แตะต้อง

แต่ยามนี้…

ฟางผิงสะบัดศีรษะ ช่างเถอะ มีความจำเป็นอะไร บอกพ่อแม่ไปตรงๆ นั้นถูกแล้ว ตัวเองไปถอนเงินโดยไม่บอกกล่าว จะต่างอะไรกับการขโมยกัน

คืนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วันถัดมา วันที่ 6 เดือนเมษายน

ฟางผิงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ แต่ก็ยังสายกว่าพ่อแม่ที่ออกไปทำงานแล้ว

เขาอาบน้ำแต่งตัวอย่างลวกๆ บนโต๊ะมีอาหารที่มารดาจัดเตรียมไว้ให้ กับข้าวสองสามอย่างและไข่เจียวน่าทาน

ฟางผิงที่คุ้นชินกับการซื้อข้าวเช้ากินระหว่างทางไปเรียนจึงนั่งลงบนเก้าอี้ ค่อยๆ กินอย่างละเมียดละไม รู้สึกดีกว่ากินแบบรีบเร่งเป็นไหนๆ

หากเขาในตอนนี้ ย้อนกลับไปในอดีตเฉยๆ ฟางผิงก็คงสงบใจไม่ได้แม้แต่น้อย

เกาเข่ามันสำคํญเท่าไหร่กัน?

ในโลกที่เขาจากมา แม้ว่าจะสอบเกาเข่าไม่ได้ แค่หาจังหวะเล็กน้อย ก็พอก้าวหน้าได้แล้ว!

แต่ในชาตินี้ไม่เหมือนกัน หากไม่เข้าร่วมการสอบวรยุทธ์ครั้งนี้ จะได้ลืมตาอ้าปากกับเขาไหม

ทั้งแม้ว่าวันหน้าจะไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทำกิจการเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอยู่ดี

ฟางผิงเรียงลำดับความสำคัญได้ชัดเจนแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญคือเกาเข่า โดยเฉพาะการสอบสายวรยุทธ์!

เรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยคิดทีหลัง

เว้นเสียแต่ครั้งนี้จะสอบไม่ได้ เวลานั้นฟางผิงถึงจะครุ่นคิดหาทางอื่น

เมื่อรู้จุดมุ่งหมายหลักแล้ว ฟางผิงที่กินข้าวเช้าเสร็จ ก็เตรียมจะออกไปถอนเงิน คิดถือโอกาสนี้สังเกตสถานการณ์ ทำความเข้าใจกับสังคมปัจจุบันไปพลางๆ

ตอนที่กำลังจะออกไป ฟางหยวนที่แต่งตัวเต็มยศก็วิ่งปราดออกมาอย่างรวดเร็ว “ฟางผิง ฉันไปด้วย!”

“เธอจะไปทำไม?”

“ฉันไม่สน ยังไงฉันก็จะไป นายต้องซื้อของอร่อยให้ฉันด้วย ใครใช้ให้นายเอาเงินค่าขนมฉันไปหมดล่ะ”

ฟางผิงขำพรืด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แค่ไปถอนเงิน ไม่ได้ไปทำเรื่องมีลับลมคมในเสียหน่อย

มีเด็กคนนี้ ไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยเหลือเขาได้บ้าง ยังไงฟางผิงก็ไม่เข้าใจโลกมากนัก ยังมีอีกหลายอย่างที่แปลกใหม่สำหรับเขา

ตอนที่พวกเขาออกจากบ้านยังเช้าอยู่ ฟางผิงจึงไม่ได้รีบร้อนไปธนาคาร

เขาเดินเลียบเคียงบนถนนไปกับฟางหยวน ฟางหยวนไม่สนใจเขา เอาแต่เหลียวซ้ายมองขวา เห็นอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด ทำราวกับว่าเธอเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่เสียเอง

ถนนนอกชุมชน ไม่ได้ต่างจากความทรงจำเขามากนัก

หากไม่มีป้ายโฆษณาที่รกหูรกตาพวกนั้น ฟางผิงก็คงจะรู้สึกสบายกว่า

‘ชุ่มชื้นป้องกันผิว ปรมาจารย์ใช้แล้วก็ว่าดี!’

‘รองเท้าเท่อปู้ ใส่แล้ววิ่งเร็วยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์!’

‘สูตรลับของตระกูล แค่ซองเดียวก็กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว!’

“…”

ทั้งหมดทั้งมวลแทบจะเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสิ้น

แต่ในความเป็นจริง หลายปีที่ผ่านมา เมืองหยางเฉิงมีประชากรประมาณหนึ่งแสนคน ผู้ฝึกยุทธ์ที่รั้งตัวอยู่ที่นี่ เกรงว่าจะมีไม่ถึงยี่สิบคนเท่านั้น

ระยะห่างของผู้ฝึกยุทธ์กับประชาชนธรรมดาในเมืองหยางเฉิงช่างไกลกันลิบลับ!

แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ให้ความสนใจ หรือทำลายป้ายโฆษณาพวกนี้ อย่างไรก็ไม่ได้บ่งชี้ใครเป็นพิเศษ

ยุคสมัยนี้ ผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้นที่นับว่าเป็นดาราดัง

แน่นอนว่าดาราทั่วไปก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน

ฟางผิงมองตามทางเดินถนนไปหนึ่งรอบ ก่อนจะเมินป้ายโฆษณารกหูรกตาพวกนี้

ระหว่างทางยังซื้อเนื้อย่างเสียบไม้ที่โฆษณาว่า ‘ผู้ฝึกยุทธ์กินแล้วยังชมว่าอร่อย’ ให้ฟางหยวนหลายไม้ ยามนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวฟางผิงมีเพียงแบงก์สิบหยวนหนึ่งใบ

เด็กสาวเริงร่าอย่างยิ่ง จับไม่ได้สักนิดว่าเงินที่ฟางผิงใช้นั้นแท้จริงแล้วเป็นเงินค่าขนมของเธอเอง

เมื่อเดินจนทั่วรอบหนึ่งแล้ว ฟางผิงก็เดินนำฟางหยวนไปกดเงินหน้าตู้เอทีเอ็มที่อยู่ไม่ไกลมาก

เสียบบัตร กดรหัส รับเงิน

ตอนที่กดรหัส ฟางหยวนก็ช่วยฟางผิงบังลมราวกับกันขโมย มองซ้ายแลขวา กลัวว่าใครจะเข้ามาแอบดู

ตู้เอทีเอ็มกดได้มากที่สุดครั้งละสองพันหยวน

รอจนตู้เอทีเอ็มส่งแบงก์ออกมาครั้งแรก ฟางผิงรับมา ก็ชะงักไปทันที

ระหว่างที่นิ่งไป ฟางผิงก็ไม่ได้ดำเนินการต่อ

ฟางหยวนที่บังลมให้ เห็นเช่นนั้นก็กล่าวอย่างร้อนใจ “ฟางผิง เจอแบงก์ปลอมเหรอ?”

“ครั้งก่อนฉันเห็นในข่าวบอกว่า ตู้เอทีเอ็มของธนาคารก็มีแบงก์ปลอมเหมือนกัน ธนาคารยังไม่ยอมรับ…”

เด็กสาวร้อนใจอยู่บ้าง ปากเล็กขมุบขมิบพ่นคำออกมาไม่หยุด ท้ายที่สุดก็ยังคงเอ่ยอย่างโมโห “พวกเราต้องไปแลกคืนมา ไปหาเจ้าหน้าที่ธนาคารกัน!”

คำพูดของน้องสาวไม่ได้เข้าหูฟางผิงเลยด้วยซ้ำ

เขาขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย ฟางผิงจัดการกับตู้เอทีเอ็มต่อ เริ่มถอนเงินครั้งที่สอง

ไม่นานนักเงินสองพันหยวนก็ถูกส่งออกมา

ฟางผิงรีบรับเงินมาไว้ในมือ ถัดจากนั้นก็ทำเหมือนครั้งแรก ถือเงินไว้พักใหญ่ ไม่เคลื่อนไหวอะไร

ฟางหยวนรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “ฟางผิง นายเป็นคนโง่หรือยังไง?”

“ตกลงใช่แบงก์ปลอมรึเปล่า?”

“พูดอะไรสักหน่อยสิ!”

“นี่ ฟางผิง นายทำอะไรอยู่!”

“ฟางผิง…”

“เห็นเงินจนบ้าไปแล้วหรือไง?”

เด็กสาวยังพูดจ้อไม่หยุด ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างหันศีรษะมองเธอไปที จู่ๆ ก็ส่งเงินในมือให้เธอ “ถือไว้”

ใบหน้ากลมของฟางหยวนเต็มไปด้วยความมึนงง แต่ก็ยังรับเงินมา มองไปยังฟางผิง

ฟางผิงเอ่ยว่า “รู้สึกยังไง?”

ฟางหยวน “…นายไม่ต้องสอบวรยุทธ์แล้วได้ไหม พวกเราไปซื้อของอร่อยกินกันเถอะ?”

ฟางผิงหัวเราะลั่นขึ้นมาทันที “พูดแบบนี้ แสดงว่าไม่รู้สึกอะไร?”

ฟางหยวนอยากเดินหนีอย่างยิ่ง ถลึงตากลมมองเขา “นายแกล้งฉันอีกแล้ว!”

“เปล่า ครั้งนี้ไม่ได้แกล้งจริงๆ”

ใบหน้าของฟางผิงปิดบังรอยยิ้มไม่อยู่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เมื่อกี้หยอกเล่นเฉยๆ เอาล่ะ ฉันจะกดเงินต่อ กดแล้วพวกเราจะได้กลับบ้านกัน!”

หลังจากนั้นฟางหยวนก็เห็นพี่ชายตัวเอง เริ่มถอนเงินอย่างกับคนโง่

ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเขาเหมือนคนโง่ เพราะการถอนเงินของฟางผิงนั้นดูแปลกประหลาด

เดี๋ยวก็ถอนหนึ่งร้อยหยวน เดี๋ยวก็สองร้อยหยวน ไม่เหมือนกันสักครั้ง

เงินหนึ่งหมื่นหยวน ฟางผิงถอนไปทั้งหมดเกือบสิบกว่าครั้ง

ทำราวกับว่า เขาถอนเงินครบหนึ่งหมื่นหยวนแล้ว พอเห็นในบัตรมีเงินเหลือ ฟางผิงก็ถอนเงินต่อ

ยามที่ฟางหยวนคิดว่าเขาถอนเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง เธอก็มองเห็นหน้าจอที่สว่างจ้า!

ฟางผิงถอนเงินแล้ว ก็ฝากเข้าไปใหม่ ถอนออกมา ก่อนจะฝากใหม่อีกครั้ง ทำซ้ำๆ อยู่อย่างนี้ พาให้ฟางหยวนมึนงง

ขนาดฟางหยวนยังงุนงง นับประสาอะไรกับสองคนที่ยืนรอกดเงินอยู่ด้านหลัง

ฟางผิงยืนอยู่หน้าตู้เอทีเอ็มเกือบครึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังมีทีท่าจะทำต่อไป

ท้ายที่สุดก็มีคนทนไม่ไหว เดินออกมา “เจ้าหนุ่ม พอได้แล้วมั้ง! จะถอนหนึ่งล้าน หรือฝากหนึ่งล้าน ใช้เวลาไปขนาดนี้ก็น่าจะเสร็จได้แล้ว!”

ฟางหยวนยังเด็ก หน้าบางอย่างยิ่ง ชั่วพริบตานั้นใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงปลั่ง ดึงแขนฟางผิงอย่างแรง

ด้านฟางผิงก็ทดสอบจนพอใจแล้ว นำเงินที่เกินออกมา ฝากเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะดึงบัตรเดินออกมา

เมื่อออกมาจากตู้เอทีเอ็ม จู่ๆ ฟางผิงก็เผยใบหน้าเริงร่า หัวเราะ ‘เหอะๆ’ ออกมาราวกับไม่มีใครอยู่

ฟางหยวนที่อยู่ด้านข้างรู้สึกขนแขนตั้งชันขึ้นมา นี่ฟางผิงเสียสติไปแล้ว?

“ฟางผิง?”

“เหอะๆ…”

“นาย…นายอย่าทำให้ฉันตกใจสิ?”

“เหอะๆๆ…”

“ฮือ ฟางผิง ตกลงนายเป็นอะไรกันแน่?”

“เหอะๆๆ…แค่กๆ ไม่มีอะไรแล้ว กลับบ้าน!”

เมื่อเห็นฟางหยวนถูกตัวเองแกล้งจนจะร้องไห้จริงๆ ฟางผิงก็กระแอมไอ กดรอยยิ้มที่บ้าคลั่งลงไป ดึงเจ้าตัวแสบกลับบ้าน

———————

[1] หยวน แปลว่า กลม