เสียงร้องไห้ของสาวใช้ทำให้สติของหลินเมิ้งหยากลับมา
มองดูสาวใช้ที่กำลังร้องห่มร้องไห้ประหนึ่งสาวเจ้าน้ำตา คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน ทว่าสายตากลับไร้ซึ่งความหวาดกลัว
“นายหญิง ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านอย่าได้ทำให้ตัวเองลำบากเพราะข้าอีกเลย ชีวิตของป๋ายจื่อนั้นสั้นนัก ข้าไม่อาจอยู่รับใช้นายหญิงไปได้ตลอดชีวิต ข้าป๋ายจื่อยอมตาย แต่ข้าขอร้องพวกเจ้า…อย่าได้ทำร้ายคุณหนูของข้า”
ป๋ายจื่อปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหล จะมีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย?
แต่อย่างน้อยขอให้พวกเขาอย่าได้ทำร้ายคุณหนูของนางเลย สิ่งที่นางพอจะทำได้ก็คือสังเวยชีวิตของตนเองเพียงเท่านั้น
“เด็กโง่ ชีวิตคนไม่ต่างอะไรจากเปลวเทียนที่ดับลง แม้ความตายของเจ้าจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจได้แล้วอย่างไรเล่า? หมู่เฟย เงินหายไปเพียงห้าสิบตำลึงเท่านั้น แม้ป๋ายจื่อจะเป็นเพียงสาวใช้ แต่นางก็คือคนที่มีชีวิตจิตใจ ฉะนั้นหม่อมฉันหวังว่าพระองค์จะพิจารณาใหม่อีกครั้ง อย่าปล่อยให้สาวใช้ของหม่อมฉันถูกใส่ร้ายง่ายๆ เลยเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
พระสนมเต๋อเฟยครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองหยุนลั่ว
นางเห็นสาวใช้ที่ก้มหน้าลงด้วยความเคารพเสมอเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มเล็กน้อย
มั่นใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเมิ้งหยาไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพระสนมเต๋อเฟยจึงส่งเสียงเห็นด้วย
“ได้ ในเมื่อพระชายาเอ่ยเช่นนี้ ฉะนั้นเปิ่นกงจะมอบโอกาสให้ป๋ายจื่อพิสูจน์ตัวเอง เข้ามา นำนางไปขังไว้ ห้ามมิให้ใครเข้าใกล้โดยไม่ได้รับอนุญาต เมิ้งหยา เปิ่นกงจะให้โอกาสเจ้าสามวัน หากเจ้ายังหาหลักฐานมาไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าใช้ความรู้สึกส่วนตัวของเจ้าตัดสินเรื่องนี้อีกเลย”
พระสนมเต๋อเฟยยังคงรักษาท่วงท่าสง่างาม ทว่าสายตาที่มองมามิต่างอะไรจากงูพิษ
หลินเมิ้งหยามองตามป๋ายจื่อที่ถูกจับตัวออกไป โค้งตัวเพื่อถวายคำนับเป็นการขอบคุณ
“เปิ่นกงเหนื่อยแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อน จิ้งเยว่ ประคองเปิ่นกงกลับห้อง”
ส่งสายตาเย็นชาไปทางลูกชายและลูกสะใภ้อีกครั้ง จิ้งเยว่ประคองพระสนมเต๋อเฟยกลับไปยังห้องนอน
ทุกคนเดินตามนางไปทางด้านหลัง ดังนั้นห้องนี้จึงกลับมาว่างเปล่า
ทว่าป๋ายซ่าวที่มีความสัมพันธ์อย่างสนิทแนบแน่นกับนางกลับเลือกที่จะเงียบแล้วเดินตามหลังพระสนมเต๋อเฟยไป
“นายหญิง”
เมื่อไม่ถูกจับตัวเอาไว้ ป๋ายซูและป๋ายจีรีบวิ่งเข้ามาหาหลินเมิ้งหยาทั้งน้ำตา
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องร้อง กลับตำหนักหลิวซินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ที่นี่คือตำหนักหยาเสวียน ดังนั้นจึงมีคนของพระสนมเต๋อเฟยคอยสอดส่องดูแล ดังนั้นคำถามทุกอย่างจึงถูกเก็บไว้ในกระเพาะ
“ท่านอ๋องจะกลับไปพร้อมกับหม่อมฉันหรือไม่เพคะ?”
นับตั้งแต่ตอนที่หลงเทียนอวี้เข้ามายืนเคียงข้างนาง หัวใจของนางก็รู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
ตอนแรกคิดว่าหากต้องเลือกระหว่างนางและพระสนมเต๋อเฟย เขาจะต้องยืนข้างมารดาของตัวเองอย่างแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะปกป้องตนเอง
หลงเทียนอวี้ส่ายหน้า เขายังมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ ยิ่งไปกว่านั้น พวกนางพูดคุยกันเฉพาะผู้หญิง เขาที่เป็นชายไม่ควรเข้าไปยุ่ง
“ระวังตัวด้วย หากมีเรื่องอะไรให้ส่งป๋ายซูไปหาข้าที่ตำหนักฉินหวู่”
การกระทำของหมู่เฟยในคราวนี้ผิดปกติยิ่งนัก เขาจึงต้องไปทบทวนเรื่องบางอย่าง
พยักหน้า ทั้งสองแยกย้ายกลับไปยังตำหนักของตนเอง
ไม่พูดอะไรกันตลอดทาง ทันทีที่กลับถึงตำหนักหลิวซิน นางกลับพบว่าตำหนักที่เคยเป็นระบบระเบียบเรียบร้อยกลับยุ่งวุ่นวาย
ผอจื่อกำลังช่วยกันจัดการทำความสะอาดสวนให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่าต้นไม้ใบหญ้าที่เคยสวยงามกลับถูกเหยียบย่ำ แม้แต่โต๊ะเก้าอี้เองก็ล้มคว่ำระเนระนาด
นอกจากห้องของนางที่ยังคงเป็นปกติดีแล้ว ห้องอื่นๆ ล้วนถูกทำลายไม่มีชิ้นดี
สีหน้าหลินเมิ้งหยาพลันเย็นชา นางออกคำสั่งเสียงเรียบ
“ทุกคนอดทนกันก่อน หลังจากข้าช่วยป๋ายจื่อออกมาได้แล้ว ข้าจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ป๋ายซ่าว…ไม่สิ ป๋ายจีไปจดเอาไว้ให้ดีว่าจวนของเราเสียหายไปมากน้อยขนาดไหน”
นี่มิใช่การตรวจสอบ แต่เป็นการทำลายข้าวของเสียมากกว่า!
ปกติคนของพระสนมเต๋อเฟยมักไม่พูดไม่จา แต่ดูท่าแล้วฝีมือของแต่ละคนไม่เลวเลย
“เจ้าเด็กน้อย เท่าที่ข้าดู ข้าว่าข้าไปช่วยป๋ายจื่อออกมาดีกว่า ห้องขังของจวนอวี้มิใช่เรื่องยุ่งยากอะไรหากข้าจะเข้าไป”
สีหน้าของชิงหูเผยให้เห็นความเกลียดชัง
เมื่อไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าเด็กน้อย เขาไม่อาจลงมือทำอะไรคนในจวนได้
ฉะนั้นตอนที่ป๋ายจื่อถูกจับตัวไป เขาทำได้เพียงปกป้องอยู่เงียบๆ เท่านั้น
แต่คนพวกนั้นไม่ควรทำลายต้นไม้ดอกไม้มีราคาที่เขามอบให้เจ้าเด็กน้อยจนยับเยินเช่นนี้
“พี่สาว ท่านไม่ต้องกลัวพวกเขาหรอก ก็แค่สนมเต๋อเฟยเท่านั้น ข้าไม่เคยเห็นนางในสายตาอยู่แล้ว”
เสี่ยวอวี้และชิงหูดูแลต้นไม้ในสวนมากเป็นพิเศษ ยิ่งเห็นป๋ายจื่อถูกตบตีอย่างน่าสงสาร เขาแทบจะอดรนทนไม่ได้
แต่เขาเองก็เหมือนกันกับชิงหู หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากหลินเมิ้งหยา เขาไม่อาจทำอะไรได้
“พวกเจ้าคิดว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ หรือ? พวกนางวางแผนจัดการข้าเอาไว้แล้ว แต่น่าเสียดายที่ข้ามิใช่คู่ปรับของพวกนาง ดังนั้นนางจึงเปลี่ยนไปกำจัดคนของข้าแทน”
นั่งลงบนเก้าอี้ในห้องโถง สีหน้าของหลินเมิ้งหยาเย็นชาราวหิมะ
จนถึงตอนนี้นางเองก็ยังไม่เข้าใจ ทั้งที่เข้าไปในวังหลวงเพียงเท่านั้น เหตุใดพระสนมเต๋อเฟยจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้
หรือจะเป็นไปอย่างที่นางคาดเดาไว้ในตอนแรก?
แต่เมื่อลองมานึกดูแล้วก็ยังมีจุดที่ยังไม่ปะติดปะต่อกัน
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังไม่มีหลักฐาน ดังนั้นจึงไม่อาจพูดอะไรออกไปได้
“นายหญิง ข้าผิดเองเจ้าค่ะ หากข้าระวังป๋ายซ่าวเอาไว้ให้ดีกว่านี้ นาง…นางก็คงไม่หักหลังเราเช่นนี้!”
ใบหน้าของป๋ายจีซีดเผือดเสมือนคนเจอผีก็มิปาน นางคุกเข่าลงตรงหน้าหลินเมิ้งหยา
นางสังเกตเห็นความผิดปกติของป๋ายซ่าวนานแล้ว แต่เพราะยังเห็นนางเป็นพี่น้องจึงมิได้ระแวงสงสัยนางมากนัก
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มีส่วนร่วมในการบีบคั้นของพระสนมเต๋อเฟยในคราวนี้จะเป็นป๋ายซ่าว
คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ
“รีบลุกขึ้นเถิด ป๋ายจื่อถูกคนใส่ร้าย ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเราจะมาทะเลาะกันเอง”
หลินเมิ้งหยาเข้าไปประคองป๋ายจีด้วยตัวเอง
อันที่จริงจะโทษป๋ายจีก็ไม่ได้ เหตุเพราะความรู้สึกดีที่มีให้แก่กัน ยิ่งไปกว่านั้น ตัวนางเองก็มักเอ่ยเสมอว่านางเชื่อใจป๋ายซ่าว สุดท้ายวันนี้จึงถูกป๋ายซ่าวทำให้ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
“นายหญิง เรื่องของป๋ายจื่อไม่ธรรมดาเลย ท่านมีวิธีช่วยนางหรือไม่เจ้าคะ?”
ขอบตาของป๋ายซูเองก็แดงก่ำ จ้องมองหลินเมิ้งหยาเสมือนคนที่กำลังรอคอยความหวัง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะเหยียดยิ้มมีเลศนัย ท่าทางเหมือนคนหมดแรงเมื่อครู่เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
“คิดจะจับคนของข้าไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าจะช่วยป๋ายจื่อออกมาให้ได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าใครก็มาแตะต้องคนของข้าไม่ได้”
มองดูรอยยิ้มของหลินเมิ้งหยา ทุกคนรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก
นายหญิงเป็นคนฉลาด นางไม่เคยเสียเปรียบเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“ป๋ายซู ชิงหู พวกเจ้าล้วนเป็นยอดฝีมือของตำหนัก นอกจากพวกเราแล้วก็ไม่มีใครรู้ ฉะนั้นคืนนี้ข้าอยากให้พวกเจ้าไปปกป้องป๋ายจื่อ อย่าให้นางตกอยู่ในอันตราย เข้าใจหรือไม่?”
ป๋ายซูกับชิงหูรีบพยักหน้า โดยเฉพาะชิงหูที่ส่งสายตาอำมหิตมาให้
เจ้าเด็กน้อยของเขามิใช่คนธรรมดา
เกรงว่าหากคนเหล่านั้นถูกคิดบัญชีขึ้นมา แม้แต่ลูกปัดในลูกคิดก็คงกระเด็นกระดอนออกมาจนหมด
“ป๋ายจีอย่าได้พูดเรื่องนี้กับใคร ไม่ว่าใครจะมาสอบถามเช่นไร เจ้าจงร้องไห้อย่างเดียว เข้าใจหรือไม่?”
ป๋ายจีรีบพยักหน้า เมื่อได้อยู่รับใช้นายหญิง ไม่มีอะไรที่นางทำไม่ได้ โดยเฉพาะการแสดงละคร
พวกนางสามารถแสดงละครได้โดยไม่ต้องแต่งหน้าแต่งตัวเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าเด็กน้อย พวกเราล้วนมีงานให้ต้องทำแล้ว แล้วเจ้าเล่า?”
ชิงหูมองทางหลินเมิ้งหยา ปกตินางไม่เคยอยู่อย่างสงบมาก่อน
หยิบถ้วยชาขึ้นมาหนึ่งใบ หลินเมิ้งหยาเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้า? ข้ามีหน้าที่ทำลายข้าวของระบายอารมณ์”
ถ้วยชาที่เคยสมบูรณ์ปกติกลายเป็นผุยผงทันที
เจ้าเด็กน้อยตัวแสบ เขามองถ้วยชาอย่างเจ็บปวดใจ
เงินที่เขาหามาได้คงถูกเจ้าเด็กน้อยถลุงหมดภายในห้าปีอย่างแน่นอน
“นังสาวใช้ตัวดี เจ้ากล้าหักหลังข้า! ข้าจะเลาะเนื้อเฉือนหนังเจ้าให้ดู!”
ส่งเสียงหยาบคายโกรธเกรี้ยว
แต่ใบหน้ากลับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ ไม่มีใครคาดคิดว่านี่เป็นเพียงการแสดง
มองดูท่าทางเจ้าเล่ห์ของเจ้านาย สาวใช้ต่างพากันแอบยิ้ม
“ไอหยา ไอหยา นายหญิง อันนั้นแพงมากเจ้าค่ะ เปลี่ยนอันอื่นเถิด”
กระซิบบอกหลินเมิ้งหยา สาวใช้ทั้งสองรู้แล้วว่าหลินเมิ้งหยากำลังจะทำอะไร
“ได้ เอาอันที่ถูกๆ มา”
หยิบขวดลวดลายสวยงามขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขวี้ยงลงบนพื้น เสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนคนทั้งจวนแตกตื่น
“นังสาวใช้ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ! ข้าดูแลนางไม่เคยขาดตกบกพร่อง แต่เหตุใดจึงทำกับข้าเช่นนี้! ตายไปเลยก็ดี พรุ่งนี้ข้าจะไปหยาหางเพื่อซื้อสาวใช้เพิ่ม! กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา คิดจะตบหน้าข้าหรืออย่างไร?”
หลินเมิ้งหยาพ่นคำหยาบคายประหนึ่งแม่ค้าปากตลาดออกมาด้วยความคุ้นเคย ทว่าสายตากลับมองหาสิ่งของราคาไม่แพงเพื่อขว้างทำลาย
ในที่สุดนางก็หันไปมองทางกระจกบนโต๊ะแต่งหน้า ย่างสามขุมเข้าไป ก่อนจะนำของใช้ราคาแพงใส่มือสาวใช้ทั้งสองเอาไว้
“เพล้ง” เสียงดังขึ้น คนที่อยู่ด้านนอกพากันแตกตื่น
“ข้าเป็นใครกัน! ข้าคือคุณหนูใหญ่ของเจิ้นหนานโหว! พวกนางเป็นเพียงน้ำโคลน แต่กล้าสาดเข้ามาที่ตัวข้ากระนั้นหรือ? คอยดูเถิด ข้าจะบอกให้ท่านพ่อจัดการพวกนางให้ราบคาบ”
ป๋ายจีหยักยิ้ม แต่ถึงกระนั้นก็ส่งเสียงให้ความร่วมมือ
“นายหญิง อย่าเลยเจ้าค่ะ ว่าแต่พรุ่งนี้ท่านมีแผนเช่นไร? เท่าที่หนู่ปี้ดู พวกเราปล่อยให้ป๋ายจื่อถูกทรมานตายไปเถิดเจ้าค่ะ พวกเราจะได้อยู่อย่างสงบ”
มุมปากของหลินเมิ้งหยายกขึ้น
ดูเหมือนสาวใช้ที่นางฟูมฟักมาจะฉลาดจนรู้เท่าทันความคิดนางแล้ว
กวาดสายตามองทางด้านนอกด้วยความเย็นชา