บทที่ 6 แผนภาพวารีหลาก

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇]

บทที่ 6 แผนภาพวารีหลาก
บทที่ 6 แผนภาพวารีหลาก

เฉินซีรู้สึกงุนงงและหัวสมองว่างเปล่า

สตรีที่ปรากฏแก่สายตาของเขาขณะนี้เรียกตัวเองว่าเป็นแม่ของเขา…

เฉินซีรู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ไม่มีคำพูดใด ๆ ที่สามารถอธิบายอารมณ์ที่กำลังพรั่งพรูในใจของเขาในตอนนี้ได้อย่างถูกต้อง

แม่ของเขาได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อตอนที่เขาอายุสองขวบ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับนางมากนัก ควบคู่ไปกับที่เขาได้ยินเกี่ยวกับข่าวลือบางอย่างและคำนินทาเกี่ยวกับแม่ของเขาเมื่อตอนที่เขายังเด็ก เมื่อรวมกับการที่ปู่ของเขาเมินเฉยเกี่ยวกับทุกเรื่องของแม่อย่างสิ้นเชิง มันทำให้แม้เฉินซีอยากจะรู้เรื่องราวของแม่เขาสักเท่าไร ชายหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากที่จะซ่อนความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจตัวเอง

ใช่แล้ว ซ่อนมันเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจเขา…

เพราะเขากลัวว่าแม่ของเขาจะเป็นเช่นที่ข่าวลือว่านางเกลียดชังตระกูลเฉิน ทิ้งพ่อ ตัวเขาและน้องชายของเขา และหนีไปอยู่กับนายน้อยของตระกูลที่ร่ำรวย

เขากลัวว่าความจริงมันจะเป็นไปตามที่ผู้คนร่ำลือ หากเป็นเช่นนั้นเขารู้ตัวว่าจะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และต้องกลายเป็นคนบ้าไปอย่างแน่นอน

ตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เฉินซีคิดถึงแม่ของเขามากเกินกว่าจะนับได้และพยายามควบคุมตนเองให้ลืมนางให้ได้ ความทรมานและความย้อนแย้งนี้ไม่สามารถอธิบายให้ผู้อื่นรับรู้ได้

“ลูกที่รักของข้า เจ้าประหลาดใจที่เห็นแม่ของเจ้างดงามและยังดูสาวอยู่ใช่หรือไม่?” สตรีในชุดขาวหัวเราะและกะพริบตาคู่งาม “เอาเถอะ หากเป็นข้า ข้าก็คงงุนงงอย่างที่สุดเช่นกัน เอาเป็นว่าแม่ของเจ้าผู้นี้จะบอกความลับให้ว่าแม่มีเคล็ดวิชาบางอย่างที่สามารถคงรูปลักษณ์ให้เยาว์วัยได้ตลอดไป…”

“เอาล่ะ หยุดทักทายกันเพียงเท่านี้เรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว” สตรีชุดขาวยิ้มให้กับเขาก่อนที่จะเอ่ยต่ออีก “ฟังให้ดีลูกรักของข้า เจ้าจะต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้ หรือไม่เช่นนั้นเราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก”

หัวใจของเฉินซีสั่นสะท้านเมื่อได้ยินประโยคที่นางเพิ่งเอ่ยออกมา เขารีบทำใจสงบนิ่งอย่างรวดเร็วและขจัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไป

ดวงตาของสตรีชุดขาวแสดงให้เห็นถึงความคิดถึง และจากนั้นใบหน้าที่งดงามของนางก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นหลากหลายอารมณ์ ซึ่งมีทั้งโกรธแค้น ขมขื่น ไม่ยินยอม… และเศร้าโศก…

ในที่สุดนางก็กล่าว “ข้าถูกพาตัวไปโดยลุงของเจ้าเพราะว่าตระกูลของข้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของข้ากับพ่อของเจ้า เพื่อรักษาชื่อเสียงของตระกูลจั่วพวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะทำลายตระกูลเฉินเพียงเพราะความอัปยศนี้”

“ดังนั้นแม่ของเจ้าจึงไม่ได้หนีไปกับผู้ใด แต่ได้ถูกนำตัวไปโดยลุงของเจ้า…”

เฉินซีรู้สึกโล่งใจสุดขีด ราวกับเขาเพิ่งปลดปล่อยตนเองจากโซ่ตรวนที่คร่ากุมเขามาเป็นเวลายาวนานนับสิบปี ทว่าท้ายประโยคที่แม่ของเขากล่าวมาทำให้อารมณ์ของเขาราวกับตกลงไปในเหวที่ไร้ก้น

มันเป็นตระกูลจั่วของแม่ที่ทำลายล้างตระกูลเฉินของข้า?

เฉินซีหายใจถี่รัว ร่างของเขาหนักอึ้งราวกับมีหินหนักหมื่นจินกดทับ การเปลี่ยนแปลงทางความรู้สึกอย่างรุนแรงทำให้เขาเกือบจะหมดสติไป

เขาใช้ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นเวลายาวนานกว่าสิบปีเพื่อที่จะหาว่าผู้ใดเป็นคนทำลายล้างตระกูลเฉิน และเขาสาบานกับตัวเองอยู่นับหมื่นครั้งว่าจะฆ่าพวกมันทุกคนที่เป็นสาเหตุทำให้ตระกูลของเขาล่มสลายไม่ว่าพวกมันเหล่านั้นจะเป็นผู้ใดก็ตาม แต่ทว่าโดยไม่คาดคิด ความเป็นจริงที่เขาได้ล่วงรู้กลับน่าเหลือเชื่อและเลวร้ายยิ่งกว่าที่เขาจะสามารถจินตนาการได้เสียอีก!

“ลูกรัก เจ้ารู้สึกโกรธใช่หรือไม่? แม่ก็โกรธเช่นกัน! แม่ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลจั่วทั้งหมดเมื่อนานมาแล้ว และกระทั่งยอมสละบางสิ่งให้กับพวกเขาไปแต่สุดท้ายพวกเขากลับยังคงไม่ยอมปล่อยแม่!”

เสียงของจั่วชิวเสวี่ยต่ำลงและต่ำลงเรื่อย ๆ “เหตุผลนั้นเรียบง่าย มันเป็นเพราะแม่และพ่อของเจ้าได้พบเจอกับสมบัติล้ำค่าหนึ่งเข้าในระหว่างที่เราออกเดินทางเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต”

“ของล้ำค่าชิ้นนั้นก็คือสิ่งที่เจ้าเคยห้อยคอมาตลอดตั้งแต่แรกเกิด” นางชี้ไปที่จี้หยกซึ่งลอยอยู่กลางอากาศด้วยมือที่เรียบเนียนเปล่งประกาย ทว่าสีหน้าของนางขณะนี้กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความเกลียดชังอันไร้ที่สิ้นสุด

เฉินซีเบนสายตาไปมองที่จี้หยก สายตาของเขาพร่ามัว ขณะนี้ภายในจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความงุนงง แต่ก็พยายามครองสติอย่างดีที่สุดเพื่อฟังมารดาตน

“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับแผนภาพวารีหลากหรือไม่? มันเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดในยุคแรกเริ่ม เทพและมารแห่งยุคแรกเริ่มใช้มันเพื่อจะรู้แจ้งในเส้นทางแห่งเต๋าของตนเอง ในความลี้ลับของมันนั้นซ่อนความลับแห่งสวรรค์ ซึ่งสามารถทำให้ผู้คนบรรลุเต๋าอันยิ่งใหญ่และไปถึงจุดสูงสุดแห่งเต๋า ด้วยเหตุนี้แผนภาพวารีหลากจึงเป็นบ่อเกิดแห่งการฆ่าฟัน การฆ่าฟันที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทั้งสามโลกและรบกวนมรรคาแห่งการเกิดใหม่ทั้งหก ในตอนนั้นการฆ่าฟันกันรุนแรงราวกับวันสิ้นโลก ตัวตนยิ่งใหญ่สูงสุดทั้งหลายรบรากันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแผนภาพวารีหลาก”

“ทว่าโชคดีที่ต่อมาแผนภาพวารีหลากได้หายไปหลังจากจุดจบของยุคแรก และจากนั้นฉากการต่อสู้ของเหล่าทวยเทพและหมู่มารก็ไม่เคยปรากฏขึ้นอีกเลย ซึ่งเวลาก็ผ่านมาราวหนึ่งล้านปีแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่แม่อ่านมาจากตำราโบราณของตระกูลจั่วเมื่อตอนที่แม่ยังเล็ก ๆ ไม่เช่นนั้นแม่คงจะไม่รู้จักชื่อของแผนภาพวารีหลาก” จั่วชิวเสวี่ยกล่าวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยด้วยเสียงที่ต่ำและจริงจัง

ส่วนเฉินซีที่ได้ยินเรื่องนี้ทั้งหมด หัวใจของเขายังคงสงบนิ่ง ในความคิดของชายหนุ่ม เรื่องนี้มันเกิดขึ้นมานับล้านปีแล้วและมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเขา เขาเพียงรู้สึกเหมือนนั่งฟังเรื่องเล่าในตำนานหนึ่งก็เท่านั้น และมันก็ไม่สามารถกระตุ้นให้เขาเกิดความสนใจใด ๆ ได้เลย

ทั้งหมดที่เขารู้คือแผนภาพวารีหลากนั้นคือสมบัติล้ำค่าที่ทำให้ทุกคนฆ่ากันอย่างบ้าคลั่ง

“ภายในจี้หยกนี้มีสำเนาคัดลอกของแผนภาพวารีหลาก ทว่าเจ้าอย่าได้ดูถูกมันเพียงเพราะมันเป็นแค่สำเนาคัดลอก ระหว่างกระบวนการที่คัดลอกมา เศษเสี้ยวหนึ่งของอำนาจแห่งแผ่นภาพวารีหลากได้ผสานเข้ากับสำเนาคัดลอกนี้ซึ่งเราสามารถใช้มันตามหาสถานที่ซ่อนแผนภาพวารีหลากที่แท้จริงได้ และแน่นอนมันคือหนึ่งในเหตุผลที่แม่ถูกนำตัวกลับไปและตระกูลเฉินถูกทำลายก็เป็นเพราะว่าจี้หยกอันนี้!”

คำพูดของจั่วชิวเสวี่ยประหนึ่งเหมือนระเบิดปะทุขึ้นในจิตใจของเฉินซี มันทำให้เฉินซีสับสนโดยสมบูรณ์ สายตาของเขามองไปที่จี้หยกด้วยความตกตะลึง

ชายหนุ่มไม่นึกเลยว่าเรื่องเล่าในตำนานที่เกี่ยวกับแผนภาพวารีหลากซึ่งเขาได้ฟังเมื่อครู่ ทำให้เขาได้รับโชคดีอย่างใหญ่หลวงที่มีชะตาชีวิตเกี่ยวข้องกับมันโดยตรง!

เฉินซีไม่รู้ว่าเขานั้นควรจะดีใจหรือเสียใจดีแต่ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว การถูกฆ่าล้างโคตรของตระกูลเฉิน… เรื่องที่แม่ของเขาจากไปและทอดทิ้งพ่อของเขา… แม้แต่ชื่อตัวซวย… ทุกอย่างเป็นเพราะจี้หยกอันนี้ ถ้าไม่มีมันหายนะต่าง ๆ จะเกิดขึ้นกับตระกูลของเขาได้อย่างไร?

นี่เรียกได้ว่าทุกข์ลาภอย่างแท้จริง!

เฉินซีถอนหายใจยาว ทว่าภายในหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ

“ตามที่แม่คาดเดา น่าจะมีเคหาฝึกตนของตัวตนจากยุคแรกเริ่มอยู่ภายในจี้หยกนี้ ภายในจี้หยกนั้นมีมิติของตัวมันเองซึ่งภายในมีสิ่งปลูกสร้างและสิ่งของต่าง ๆ เก็บซ่อนเอาไว้อยู่และแน่นอนว่าสำเนาคัดลอกแผนภาพวารีหลากก็อยู่ข้างในเช่นกัน น่าเสียดายที่แม่ไม่เคยลองเข้าไปสำรวจดูเลยสักครั้งจึงเพียงรู้แต่ข้อมูลคร่าว ๆ ”

“แม่คิดว่าการที่เจ้าสามารถกระตุ้นให้เศษเสี้ยววิญญาณของแม่ที่ประทับอยู่ในจี้หยกออกมาได้เช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เจ้ามีระดับการบ่มเพาะเพียงขอบเขตก่อกำเนิด ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติมากพอจะเป็นเจ้าของจี้หยกนี้แล้ว จงเก็บมันไว้! และพยายามให้หนัก!”

ขณะนี้ร่างเงาของสตรีในชุดขาวค่อย ๆ เลือนราง ราวกับว่าสามารถสลายหายไปได้ทุกเมื่อ คำพูดของนางดูเร่งรีบมากกว่าเดิม “ลูกรัก เจ้าต้องจำขึ้นใจไว้อย่างหนึ่งว่าเจ้าไม่ควรบอกผู้ใดเกี่ยวกับจี้หยกนี้ก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานรวมไปถึงน้องชายของเจ้าด้วย ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการทำลายความหวังของทั้งตระกูลเฉินเรา!”

“และเจ้าไม่ต้องกังวัลเกี่ยวกับความปลอดภัยของแม่ เมื่อใดที่ความแข็งแกร่งของเจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนสวรรค์ เวลานั้นเจ้าจะสามารถมาพบแม่ได้

จากนั้นร่างเงาของสตรีชุดขาวก็ค่อย ๆ สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนจี้หยกก็กลับมาเป็นสภาพปกติเช่นเดิม

ภายในห้องของเฉินซีกลับมามืดมิดอีกครั้งและรู้สึกราวกับว่าเมื่อครู่เขาอยู่ในความฝัน แต่เสียงนั้นยังคงฝังลึกอยู่ภายในหัวใจของชายหนุ่ม และจี้หยกที่แขวนอยู่ที่หน้าอกของเขาบอกเขาว่ามันไม่ได้เป็นแค่เพียงความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง!

เขานั่งอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางความมืดมิดและหลังจากนั้นครู่ใหญ่ริมฝีปากของเขาสั่น ขณะที่เขาพึมพำเสียงเบา “ไม่ต้องกังวลท่านแม่ ลูกของท่านจะไปหาท่านอย่างแน่นอน!”

เฉินซีสูญเสียความต้องการที่จะนอนทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไปล้างหน้าของตัวเองด้วยน้ำเย็น หลังจากที่เขารู้สึกหัวโล่งอีกครั้ง ชายหนุ่มก็จ้องมองตรงไปที่จี้หยกที่อยู่บนหน้าอกของเขา

หลังจากผ่านประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ก่อนหน้านี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดระดับการบ่มเพาะของเขาถึงหยุดนิ่งอยู่ที่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นที่สามเป็นเวลายาวนานถึงห้าปี มันเป็นเพราะจี้หยกนี้นั่นเอง!

จี้หยกได้ดูดกลืนปราณแท้ของเขาไปอย่างเงียบ ๆ และในวันนี้เมื่อพลังงานภายในของมันถึงจุดสูงสุดแล้ว มันจึงสามารถกระตุ้นเศษเสี้ยววิญญาณของแม่ของเขาให้แสดงออกมาได้ จากการฟังเรื่องราวทั้งหมดที่แม่ของเขาได้กล่าวมา ทุกเรื่องที่เขาไม่เข้าใจและอยากจะรู้ได้กระจ่างแจ้งแทบทั้งหมด

ในที่สุดชายหนุ่มก็พบว่าเขาไม่ใช่ตัวซวยใด ๆ ทั้งนั้นและพรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเขาก็ไม่ได้มีปัญหาและที่สำคัญที่สุดเขาพบว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่ เฉินซีนั้นเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นเพราะว่าตราบใดที่เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่ง เขาก็สามารถไปหาแม่ของเขาได้!

ขอบเขตเซียนสวรรค์?

เมื่อใดที่ข้ายังคงมีชีวิตอยู่ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถสร้างตำหนักอินทนิลของข้าได้ และเปลี่ยนมันเป็นเคหาทองคำควบแน่นแก่นแท้หยินหยางทองคำ ทะลวงขอบเขตจุติต้านด่านเคราะห์สวรรค์กลายเป็นเซียนปฐพีและรู้แจ้งมหาเต๋าเพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นเซียน และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นเซียนสวรรค์!

ตราบใดเท่าที่ข้ายังคงมีชีวิตอยู่ ข้าสาบานว่าจะฆ่าศัตรูที่สังหารท่านปู่และตัดแขนขวาของน้องชายของข้าทั้งหมด จะไม่มีผู้ใดสามารถหนีไปได้!

เฉินซีสูดลมหายใจเข้าลึก สายตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง

“เคหาบ่มเพาะของตัวตนจากยุคแรกเริ่มและสำเนาคัดลอกแผนภาพวารีหลากก็อยู่ภายในจี้หยก ไม่รู้เลยว่าภายในมันจะมีสิ่งของน่าอัศจรรย์ถูกเก็บซ่อนไว้อีกมากเท่าใด? จากสิ่งที่ท่านแม่กล่าวผนึกบนจี้หยกได้ถูกปลดออกแล้วและข้าก็ได้เป็นเจ้าของมันแล้ว ทว่ามันเป็นไปตามที่แม่ของข้าพูดจริง ๆ หรือ…?”

เฉินซีจำคำที่แม่ของเขากล่าวได้และลังเลชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงกัดฟันโคจรปราณแท้ภายในร่างกายของเขาถ่ายเทลงไปในจี้หยก

แสงประกายวับเปล่งออกจากพื้นผิวของจี้หยกทันทีก่อนจะแปรสภาพเป็นวังวนหลุมดำลึกอันเงียบสงัด

เกือบจะในเวลาเดียวกัน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต่อต้านได้ก็ปะทุขึ้นจากภายในหลุมดำ เฉินซีไม่ทันระวังและมันก็สายเกินไปที่จะขัดขืน ดังนั้นร่างกายของเขาจึงถูกดูดเข้าไปภายในพริบตา

วูบ!

หลุมดำปิดลงและหายไปไล่หลัง

ห้องของเฉินซีกลับเข้าสู่ความมืดมิดและเงียบงันอีกครั้ง ส่วนเฉินซีนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไปอยู่ที่ใดไม่มีใครสามารถรู้ได้

ขณะนี้เฉินซีได้ยืนอยู่บนพื้นที่โล่งอันกว้างใหญ่และงดงาม บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมู่ดาวมากมายอยู่เหนือเขาราวกับว่าเป็นหิ่งห้อยที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ แสงสีเงินทอดยาวจากดาราจักรประหนึ่งสายธารสวรรค์ซึ่งงดงามเลิศล้ำเสียจนแทบให้ความรู้สึกเหมือนมันไม่ใช่ความจริง

ใต้เท้าของเขานั้นอ่อนนุ่มด้วยหญ้าสีเขียวเข้มซึ่งปกคลุมไปสุดลูกหูลูกตาราวกับว่ามันไร้ที่สิ้นสุด

ที่นี่คือเคหาบ่มเพาะของตัวตนจากยุคแรกเริ่มใช่หรือไม่?

เฉินซีตรวจสอบสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขา แต่เขาก็ไม่เห็นสิ่งก่อสร้างที่ดูควรจะเป็นบ้านเรือนหรือคฤหาสน์ได้เลย เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มระแวดระวังเล็กน้อย

มนุษย์มักกลัวสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ดังนั้นเฉินซีจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอย่างบุ่มบ่ามและตั้งสมาธิให้แน่วแน่ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างละเอียด

หลังจากยืนนิ่งเป็นเวลายาวนาน ขาของเฉินซีเริ่มรู้สึกล้าแต่ทว่ารอบด้านก็ยังคงเงียบสงัด ปราศจากแม้กระทั่งเสียงแมลงที่ควรมีราวกับว่าไม่มีชีวิตอื่นใดนอกจากตัวเขาอยู่ในสถานที่แห่งนี้

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้วเคหาบ่มเพาะไม่มีอยู่จริง?” เฉินซีเอ่ยขึ้นก่อนจะล้มตัวลงราบไปกับผืนหญ้า ขณะที่เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าเชยชมหมู่ดาวที่เปล่งประกายระยิบระยับ เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่สักเท่าไร

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

ไม่ใช่ทุกสิ่งภายในพื้นที่นี้ไม่มีชีวิต… ดวงดาวข้างบนนั้น… ไม่ใช่ว่ามันกำลังหมุนวนอย่างไร้ที่สิ้นสุดราวกับว่าพวกมันมีชีวิตหรอกหรือ? ดวงดาวที่โลกด้านนอกไม่ได้หมุนแบบนี้สักหน่อย!

ดวงตาของเฉินซีเบิกกว้างขึ้นเมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งนี้ และเขาก็เพ่งมองไปที่ดวงดาวบนท้องฟ้าเหล่านั้นอย่างเคร่งเครียดและละเอียดถี่ถ้วนยิ่งกว่าเดิม

ท้องฟ้านั้นเต็มไปด้วยดวงดาวที่เปล่งประกายมากมายเหลือคณานับ ดวงดาวหมุนวนเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ อย่างไร้ที่สิ้นสุดในเส้นทางการโคจรที่เป็นเอกลักษณ์ของตนและด้วยความเร็วที่แตกต่างกันไป พวกมันเคลื่อนที่ไปมาอย่างซับซ้อนและเป็นวิถีที่ลึกซึ้งขณะที่มันส่งเสียงหวือและหมุนวนอยู่ในอากาศ

ถ้าเป็นคนธรรมดาเห็นภาพเช่นนี้ พวกเขาอาจจะรู้สึกประหลาดใจและไม่เข้าใจ แต่เฉินซีเมื่อเห็นภาพนี้เขากลับรู้สึกหลงใหลอย่างแปลกประหลาดและตกอยู่ในภวังค์

ใช้ดวงดาวมากมายเป็นปลายพู่กัน… ใช้ท้องฟ้ายามค่ำคืนประหนึ่งกระดาษ… การเคลื่อนวาดดูเหมือนจะยุ่งเหยิงแต่แท้จริงเป็นระเบียบแบบแผน ไม่เพียงแต่สอดรับกับการโคจรของดวงดาวแต่ละดวงเท่านั้น มันยังมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเต็มไปด้วยพลังชีวิตช่างมหัศจรรย์อย่างแท้จริง… เฉินซียังคงอยู่ในภวังค์ของความหลงใหลจนเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าขณะนี้มีแสงของดวงดาวสาดส่องลงมาจากด้านบนและค่อย ๆ ควบแน่นรวมกันเป็นแผนภาพอย่างช้า ๆ…