บทที่ 235 เปลี่ยนแปลง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 235 เปลี่ยนแปลง (1)

คนขาด้วนสองคนที่หนีออกมาจากที่พักของสำนักมารกำเนิด ดึงดูดความสนใจของอาลักษณ์ในตำหนักจิตหยกที่อยู่ใกล้ๆ อย่างรวดเร็ว

นักพรตชุดดำสองคนยืนอยู่ในที่ลับ เห็นพวกหลี่ตู้ที่คลานออกมาพร้อมกับร่างโชกเลือด ก็ย่นหัวคิ้วเล็กน้อย

“รวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ หนำซ้ำยังบาดเจ็บสาหัสไปบ้าง สำนักไม่เหมือนตระกูลขุนนาง พลังฟื้นฟูสู้พวกเขาไม่ได้ บาดเจ็บแบบนี้ อย่างน้อยก็ต้องรักษาครึ่งปี” นักพรตคนหนึ่งกล่าวเบาๆ

อีกคนหนึ่งก้มหน้าใช้พู่กันถ่านจดเนื้อหาบนสมุดเล่มหนึ่ง

“หลี่ตู้เป็นผู้นำของสำนักจุดพิสดารกระมัง ไม่ทันไรก็พ่ายแพ้แล้ว กลิ่นอายในสวนกล้วยไม้เมื่อครู่กำหนดให้เป็นอะไร”

“เป็นปราณมารของสำนักมารกำเนิดไม่ผิดแน่” นักพรตอีกคนตอบกลับ

“หมายความว่าสำนักมารกำเนิดโต้ตอบกลับในสภาพจนตรอกหรือ น่าสนใจ”

“มีอยู่เพียงสองคน จะโต้ตอบกลับอย่างไร โดนรุมก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว” นักพรตอีกคนกล่าวพลางส่ายหน้า

“พอแล้ว เฝ้าต่อไป ข้าจะไปดูที่อื่นก่อน” นักพรตคนนี้มองเนื้อหาที่เขียน ก่อนจะหมุนตัวเดินไปอีกทางหนึ่ง

“รับทราบ” นักพรตที่เฝ้าสำนักมารกำเนิดมองอาการบาดเจ็บของพวกหลี่ตู้อย่างตั้งใจ แล้วจุ๊ปาก

เขตที่ห้ามีทั้งหมดห้าสำนัก สำนักเบิกอาทิตย์ สำนักจุดพิสดาร หุบเขาน้ำแข็ง พรรคกระบี่ทรายเหลือง รวมถึงสำนักมารกำเนิด

ผู้นำของสำนักจุดพิสดารคือหลี่ตู้ นึกไม่ถึงว่าตอนนี้ขนาดผู้นำออกโรงเอง ยังบาดเจ็บสาหัส

พวกหลี่ตู้ออกมาไม่นาน ก็ถูกคนของสำนักจุดพิสดารเจอตัว รีบส่งคนหลายคนออกมาอุ้มทั้งสองเข้าไปพร้อมกับร้องอุทาน

ข้างๆ สำนักจุดพิสดารเป็นสำนักเบิกอาทิตย์

หวงซือเฉิงซึ่งเป็นผู้นำมองสวนกล้วยไม้ของสำนักมารกำเนิดอย่างเคร่งขรึม

“อย่าเพิ่งทำอะไรพวกเขา สำนักมารกำเนิดรอคนอื่นไปหยั่งเชิง พวกเราจัดการหุบเขาน้ำแข็งก่อน”

เขาสั่งเหล่าศิษย์น้องที่อยู่ด้านหลัง

“ศิษย์พี่หวงหวาดกลัวขนาดนี้เชียว ได้ยินว่าสำนักมารกำเนิดนี้ส่งมาแค่สองคน ต่อให้เก่งกาจอย่างไรก็คงสู้คนมากไม่ได้อยู่ดี” ศิษย์น้องคนหนึ่งกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “ถึงแม้พวกเราไม่ทำอะไรพวกเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเรากลัว เกิดว่าเจอสถานการณ์ ถ้าหากพวกเขามาหาเรื่อง พวกเราเองก็ไม่ต้องเกรงใจ”

“วาจาไร้สาระกล่าวน้อยๆ หน่อย ข้าเป็นผู้นำ ข้าตัดสินใจ เจ้ามีปัญหาก็ไปหาอาจารย์เอง!” หวงซือเฉินกวาดมองเขาอย่างเย็นชา

“ขอรับๆ ท่านเป็นลูกพี่ แล้วแต่ท่านเถอะ”

ข่าวที่หลี่ตู้จากสำนักจุดพิสดารต่อสู้ครั้งแรกแล้วพ่ายแพ้กระจายไปอย่างรวดเร็ว หลี่ตู้ถูกคนพาไปรักษา

แต่ไม่มีผู้นำก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาแพ้แล้ว สำนักจุดพิสดารยังมีคนที่อ่อนแอกว่าหลี่ตู้ขึ้นมานำกลุ่ม พวกเขาได้แต่เฝ้าประตูไว้ ไม่ออกไปด้านนอกอีก

ทุกอย่างกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว คฤหาสน์ของสำนักทั้งห้าประจันหน้ากันอย่างไร้สุ้มเสียง

ลู่เซิ่งตั้งใจฟักหัวใจจิตมารดวงที่สองต่อ

ในตำหนักรองเขานั่งขัดสมาธิอยู่ บนตัวปรากฏเปลวไฟล่องหนอันลางเรือน ควันสีดำหลายสายวนเวียนโคจรระหว่างปากกับจมูกของเขา

‘ละมั่งทองโลหิตแดงฉาน แดงราวบรรพตเหล็ก คำรามโกรธเกรี้ยว เลี้ยววกสู่พงไพร’

ลู่เซิ่งท่องเคล็ดวิชาของวิชาหทัยมารในใจซ้ำไปซ้ำมา

อย่างค่อยเป็นค่อยไป กลางอากาศด้านหน้าเขาปรากฏหัวใจจิตมารอีกครั้ง

หัวใจสีดำเต้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้แยกเป็นรอยแยกเล็กๆ สายหนึ่ง ด้านในมีแสงไฟสีดำระยิบระยับสาดออกมา

‘เปิด!’ ลู่เซิ่งยื่นมือไปแตะหัวใจ

พรวด

หัวใจจิตมารแยกออก ไอสีดำมากมายทะลักออกมาราวน้ำตก แล้วตกลงบนพื้นด้านหน้าลู่เซิ่ง

ปราณมารส่งเสียงซ่าๆ ไม่ได้กระเซ็นไปรอบๆ แต่รวมตัวกันจนหมือนกับถ้ำสีดำที่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่ง ไม่นานราชสีห์สีดำตัวกำยำและสูงเท่าครึ่งเอวคนตัวหนึ่งก็เดินออกมาจากใต้ปราณมาร

ราชสีห์ไม่ส่งเสียงร้อง เดินวนบนพื้นอย่างหงุดหงิด ปล่อยให้ลู่เซิ่งลูบไล้และตรวจสอบตัวมันอย่างละเอียด

‘น่าอัศจรรย์จริงๆ’ ลู่เซิ่งถอนใจชมเชย

ถ้าหากบอกว่างูหน้าคนเมื่อก่อนหน้านี้เป็นภาพหลอนในด้านประสาทการมองเห็น อย่างนั้นราชสีห์สีดำตัวนี้ ราชสีห์ที่แผงคอมีไฟสีดำลุกไหม้ก็เป็นของจริงโดยสมบูรณ์

‘สิ่งมีชีวิตที่จับต้องได้ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสารสกัดธารหมอกพิษ อัศจรรย์ยิ่งกว่าวรยุทธ์ซะอีก เทียบได้กับการสร้างชีวิตจากความว่างเปล่า’ เขายื่นมือไปลูบบนหลังอันเรียบเนียนของราชสีห์โทสะ

เปลวเพลิงสีดำลุกไหม้บนตัวมัน หากเหมือนกับภาพลวงตา ไม่อาจทำร้ายเขาได้โดยสิ้นเชิง

‘เปลวไฟนี้เกิดจากการเผาปราณมาร ราชสีห์โทสะมีเวลาการคงอยู่ไม่นานมาก หลักๆ เป็นเพราะเปลวไฟนี้สิ้นเปลืองพลังถึงขีดสุด แต่สำหรับเราเหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไร’

ลู่เซิ่งสัมผัสความเร็วการไหลเวียนของปราณมารในร่าง ยังใช้ได้ ใกล้เคียงกับความเร็วในการชดเชยและสร้างปราณมารตามธรรมชาติ แทบคงอยู่ได้โดยไม่จำกัดเวลา

ราชสีห์โทสะตัวยาวเกือบสองหมี่กว่าๆ ขนแผงคอและหางมีเพลิงสีดำลุกไหม้ หน้าตาดุร้ายน่าเกรงขาม เพียงแต่ต่างจากบันทึกในคัมภีร์เล็กน้อย บนหัวของมันมีเขาโค้งสีดำสองข้างเหมือนกับเขาของละมั่ง

‘ไม่รู้ว่าพลังเป็นยังไง ปล่อยไว้ก่อนก็แล้วกัน’ ลู่เซิ่งใช้ความคิด ราชสีห์โทสะพลันกลายเป็นควันสีดำ แล้วหายเข้าไปในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว

‘ปกติแล้วเวลาในการเติบโตของหัวใจจิตมารสักดวงหนึ่งก็คือสิบสองชั่วยาม เราใช้เวลาหลายวัน ผลที่ได้คือราชสีห์โทสะที่มีเขางอกมาคู่หนึ่งเมื่อเทียบกับราชสีห์โทสะทั่วไปเหรอ’ ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเขาของมันเอาไว้ทำอะไร

จำเป็นต้องรอจนหัวใจจิตมารทุกดวงฟักตัวทั้งหมด หลังจากได้หัวใจจิตมารดวงสุดท้าย จึงจะเป็นเวลาที่วิถีหทัยมารแสดงอานุภาพที่แท้จริง ตอนนี้พลังของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก วิถีหทัยมารไม่มีส่วนเสริมใดๆ ต่อตนเอง

หลังจากหยุดฝึกวิชา เขาก็ลุกขึ้นเดินรอบสวนกล้วยไม้ พบว่าสำนักอื่นๆ ปิดประตูใหญ่แน่น ด้านนอกนอกจากนักพรตลาดตระเวนสองสามคนของตำหนักจิตหยกแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก

คนสองคนที่วางหมากก่อนหน้านี้ก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน ที่พักรอบๆ เงียบสงัด

ลู่เซิงเดินไปตามพื้นที่ปูด้วยอิฐสีขาว ไปถึงด้านหน้ากระถางธูปใบใหญ่ บนพื้นด้านข้างกระถางธูปมีแผ่นหินบันทึกประวัติของตำหนักจิตหยกไว้

ตัวหนังสือด้านบนพร่ามัวไม่ชัดเจน แต่ยังพออ่านออก

บนพื้นมีสภาพเละเทะ อิฐถูกทุบแหลก ดอกหญ้าที่แซมสีเขียวดำเกรียม ในอากาศมีกลิ่นเปรี้ยวชื้นแฉะ

ลู่เซิ่งจำได้ประมาณหนึ่งว่า ที่นี่น่าจะเป็นตำแหน่งที่คนทั้งสองคนนั้นต่อสู้กัน ตัดสินจากความชัดเจนของเสียงที่ดังมา บวกกับร่องรอยที่เหลืออยู่ สนามต่อสู้ของทั้งสองคนนั้นสมควรอยู่ที่นี่

‘วิชาลับคล้ายเป็นประเภทเย็นและเปียกชื้น อีกสายมีแต่ความรุนแรง’ ลู่เซิ่งเดินไปถึงหลุมใหญ่หลุมหนึ่ง ก่อนจะนั่งยองๆ ลงลูบขอบหลุม

ขอบของหลุมที่กว้างครึ่งหมี่ปรากฏร่องรอยและสัมผัสเหมือนการระเบิด

เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่าในที่ลับมีสายตาไม่น้อยติดตามตัวเองอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเป็นศิษย์ของสำนักบัวสวรรค์ที่คอยบันทึกผลแพ้ชนะ

‘เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือ’ ลู่เซิ่งใคร่ครวญ ตัดสินใจกลับก่อน เป้าหมายของเขาในครั้งนี้คือทำตัวไม่เด่น รักษาอันดับของสำนักมารกำเนิดไว้ได้ก็พอ การเคลื่อนไหวที่สะดุดตาเกินไป เขาไม่คิดทำ

ตอนจัดการพวกหลี่ตู้เมื่อก่อนหน้านี้เขาออกแรงมากเกินไป ต้องตั้งใจควบคุมให้ดี

เขาลุกขึ้นยืน กำลังจะกลับสวนกล้วยไม้

“ลู่เซิ่ง ศิษย์น้องลู่จากสำนักมารกำเนิดใช่หรือไม่” ทันใดนั้นมีเสียงสตรีกระจ่างใสและอ่อนโยนดังมาจากด้านหลังเขา

ลู่เซิ่งหันไปเห็นสตรีสวมชุดกระชับพอดีตัวสีน้ำเงินเข้ม ถือกระบองยาวสีขาวอันหนึ่งอยู่ในมือ กำลังมองตนอย่างระมัดระวัง

สตรีนางนี้มีองคาพยพงดงาม เอวคอดกิ่ว ร่างสูงชะลูด ผมสีดำเหมือนผ้าดิ้นยาวถึงเอว โดยเฉพาะผิวของนาง ขาวผ่องราวหิมะอย่างแท้จริง นี่เป็นลักษณะเฉพาะของศิษย์จากหุบเขาน้ำแข็ง

“เป็นคนของหุบเขาน้ำแข็งหรือ” ลักษณะพิเศษของอีกฝ่ายมองออกได้ง่าย ดังนั้นลู่เซิ่งจึงทราบสถานะในทันที

“อืม จะว่าไปพวกเรามีคำว่าเซิ่งในชื่อทั้งคู่ ข้าชื่อเยวี่ยเซิ่งหย่า เป็นรองผู้นำของหุบเขาน้ำแข็ง” นางยิ้ม เดินเข้ามา “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่จ่านไหว้วานให้ข้าดูแลสำนักมารกำเนิด นึกไม่ถึงจะเจอศิษย์น้องลู่เร็วขนาดนี้”

“ศิษย์พี่จ่านหรือ” ลู่เซิ่งค่อยทราบว่าอีกฝ่ายมาหาเพราะอะไร ที่แท้มีความสัมพันธ์กับจ่านข่งหนิง

“แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าหลี่ตู้ถูกเจ้าไล่ออกมา สภาพอนาถมาก ดูเหมือนศิษยน้องลู่ไม่ต้องให้ข้าคอยช่วยแล้ว” เยวี่ยเซิ่งหย่ายิ้มน้อยๆ

“ยังดี เพียงแค่โชคดีเท่านั้น สำนักพวกเราคนน้อย ไม่ใช้วิธีสายฟ้าแลบ เกิดโดนรุม แพ้ชนะยากคาดเดา” ลู่เซิ่งเออออพลางหัวเราะฮ่าๆ

“ถูกต้องแล้ว เอาล่ะ สำนักยังมีงาน ศิษย์น้องลู่ ภายหลังศิษย์พี่จะมาเยี่ยมอีก สองวันนี้ถ้ามีปัญหาอะไรก็มาขอความช่วยเหลือที่ประตูของหุบเขาน้ำแข็งได้ ข้าไม่กล้ารับประกันว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ จะลงมือ แต่ข้าเยวี่ยเซิ่งหย่าจะไม่นิ่งดูดาย” นางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“อืม ขอบคุณท่านมากแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า

เยวี่ยเซิ่งหย่าหมุนตัวเดินไปยังที่ไกล ดูท่าทางจะไม่ใช่ไปเดินเล่น ต้องไปหาเรื่องแน่ ลู่เซิ่งแยกแยะทิศทาง พบว่าเยวี่ยเซิ่งหย่าไปยังสำนักเบิกอาทิตย์

เขามองรอบๆ ศิษย์ของสำนักทั้งหมดที่อยู่รอบๆ กลับที่พักแล้ว มีไม่กี่คนออกมาเคลื่อนไหว

‘ช่างเถอะ ควรกลับได้แล้ว’

ขณะเดินกลับทางเดิม ก็ไม่เจอใครระหว่างทางอีก ไม่นานลู่เซิ่งก็กลับมาถึงสวนกล้วยไม้ หลังเข้าไปบำเพ็ญในตำหนักหลักสักพัก ตอนใกล้จะถึงยามบ่าย ในที่สุดเหอเซียงจื่อก็กลับมา มือถือของห่อหนึ่ง เหมือนทั้งหมดจะเป็นของกิน

“นี่เป็นของกินในอีกสองวันของพวกเรา จากนั้นหอฟ้าจรุงค่อยส่งอาหารต่อ สองวันนี้เป็นช่วงต่อสู้ภายในซึ่งเป็นช่วงแรก ตำหนักจิตหยกมีทั้งหมดห้าเขต แต่ละเขตมีห้าสำนัก พวกเราคิดรักษาอันดับ อย่างน้อยต้องได้มากกว่าอันดับหกสิบ” เหอเซียงจื่อนำข่าวอย่างเป็นรูปธรรมมาด้วย

“อันดับหกสิบหรือ เพราะเหตุใด” ลู่เซิ่งงงงัน เดิมเขาคิดว่าขอแค่เอาชนะสำนักสักสำนักได้ก็เพียงพอแล้ว

“เพราะก่อนหน้าพวกเราไม่ผ่านมาตรฐานสำนักขั้นพื้นฐานในร้อยเส้นสายติดต่อกันสามครั้ง ดังนั้นตามวิธีการคำนวณมากมายแล้ว ผลที่ได้มาคือพวกเราต้องไปให้ถึงอันดับหกสิบ จึงจะได้คะแนนสำนักที่มากพอกลับมา และรักษาอันดับไว้ได้” เหอเซียงจื่อดูเหมือนเหนื่อยมาก ให้ความรู้สึกอ้อนล้าเพราะความหดหู่

เดิมเอาชนะสำนักสักสำนักก็ว่ายากสุดขีดแล้ว ตอนนี้ต้องเอาชนะถึงสี่สำนักถึงจะใช้ได้ ความยากเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ย่อมหดหู่ท้อแท้

“ศิษย์น้อง…เจ้า…ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าข้า ครั้งนี้เจ้ามั่นใจไหม” เหอเซียงจื่อมองลู่เซิ่งด้วยความหวังสุดท้าย

แม้ว่าอาจารย์ลิ่วซานจื่อจะรู้ว่าลู่เซิ่งมีคุณสมบัติเหนือกว่าตนมาก กระนั้นเหอเซียงจื่อยังไม่วายไร้ความมั่นใจ

สำนักมารกำเนิดเริ่มตั้งแต่อันดับที่หกสิบสี่ คิดจะไปถึงอันดับหกสิบ สำนักในนี้ไม่มีผู้ใดเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน[1] ชัยชนะที่พวกเขาเคยได้ อย่างน้อยต้องสู้มากกว่าห้าครั้ง

และห้าครั้งที่ว่านี้ เหอเซียงจื่อไม่มั่นใจว่าตนเองจะได้ชัยชนะสักครั้ง สำนักมารกำเนิดก่อนหน้านี้ชนะได้สองครั้งก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว

“ไม่ต้องห่วง ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งปลอบนาง “พักผ่อนก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้จะเริ่มอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ต้องคิดมาก”

“แต่ศิษย์น้อง…” เหอเซียงจื่อคิดพูดอะไรอีก นางได้ยินข้อมูลวงในมาจากเฉินอวิ๋นเซียงไม่น้อยเกี่ยวกับคู่ต่อสู้อย่างสำนักเบิกอาทิตย์

“ไม่เป็นไร ไปนอนเถอะ ทั้งหมดข้าจัดการเอง” ลู่เซิ่งรบเร้า เหอเซียงจื่อก็ได้แต่ไปพักผ่อนอย่างจนปัญญา

ถึงอย่างไรตอนออกเดินทางมา อาจารย์ก็บอกว่าทุกอย่างแล้วแต่ลู่เซิ่ง

เพียงแต่…ข้าจะพึ่งศิษย์น้องทุกอย่างไม่ได้ ข้าคือศิษย์พี่ ต่อให้ไม่มีประโยชน์โดดเด่น จะมากจะน้อยก็ต้องแบกรับภาระส่วนหนึ่งเพื่อสำนักด้วย

เหอเซียงจื่อเปลือกนอกถูกเกลี้ยกล่อมให้ไปนอน ความจริงตัดสินใจกับตัวเองแล้ว

……………………………………….

[1] ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หมายถึง คนที่มักสร้างความยุ่งยาก และเรื่องมากหรือคนที่รับมือได้ยาก มีคนหนุนหลัง