“สะ…สามี”
คำพูดตะกุกตะกักที่เอ่ยออกมาอย่างไม่เต็มใจนั้น ไม่ต้องเอ่ยพูดว่าไม่น่าฟังเพียงใด
แต่หลังซือมู่หานได้ยินการเรียกนี้ของเล่อเหยาเหยา กลับเปลี่ยนมายิ้มแย้ม
ภายในดวงตาหงส์ระยิบระยับ แวววาวสดใส ริมฝีปากดุจดอกท้อนั้นยิ้มหัวเราะออกมาอย่างน่าตกตะลึง
น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความดีใจและชื่นชอบ คล้ายกับเด็กน้อยที่ได้ทานน้ำตาลปั้น ช่างน่าสงสารยิ่งนัก
“ฮ่า ๆ ในที่สุดเจ้าก็เรียกข้าว่าสามี ข้า ข้าดีใจยิ่งนัก”
เห็นซือมู่หานหัวเราะอย่างดีใจไร้เดียงสา ดุจคนที่ได้รับทุกสิ่งบนโลกใบนี้
เห็นเช่นนั้น ในใจเล่อเหยาเหยาอดประทับใจไม่ได้
ชายหนุ่มผู้นี้ ความจริงไม่ได้ต้องการสิ่งใดมากมาย เขาต้องการเพียงประโยคที่ภรรยาเอ่ยเรียกชื่อเขาเท่านั้น
แต่น่าเสียดายที่ภรรยาของเขาไม่อาจกลับมาได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงยินยอมที่จะหลอกลวงตนเอง
หลังถอนหายใจ เล่อเหยาเหยาเห็นซือมู่หานดูอารมณ์ดีขึ้น ดังนั้นจึงตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เอ่ยขึ้นว่า
“เช่นนั้น พวกเราลงเขากันได้หรือไม่”
เมื่อเรียกเขาว่าสามี ทำให้เขาดีใจแล้ว การขอร้องเช่นนี้คงไม่ถือว่ามากเกินไป
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าซือมู่หานที่กำลังมีความสุข จะเอ่ยปฏิเสธโดยไม่ขบคิดว่า
“ยังไม่ได้!”
“อะไรนะ ท่าน ท่าน…”
เมื่อได้ยินคำนี้ของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาจึงโมโห
น่าตายนัก ชายผู้นี้ช่างเอาใจยากจริงๆ
ทว่าเมื่อเห็นท่าทางไม่ว่าเช่นไรก็จะไม่พาเธอลงเขาของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาไม่วุ่นวายกับปัญหานี้อีก
เพราะหากเธอยังคงวุ่นวาย จนถูกเขาล่วงรู้ถึงบางอย่างคงไม่ดีแน่
แต่เล่อเหยาเหยายังคงโมโหอย่างหนัก ดังนั้นจึงสะบัดมือใหญ่ของซือมู่หานทันที ก่อนออกจากเรือนกระเบื้องไปอย่างโมโหเพียงคนเดียว
ด้านนอกหิมะปกคลุมทั่วพื้น แวววาวระยับตา ราวกับมองไม่เห็นปลายทาง
สภาพแวดล้อมรอบทิศ ต่างแปลกตา เมื่อเดินอยู่บนนั้น ราวกับบนโลกกว้างใหญ่นี้ ไม่มีที่ใดให้เธอพักพิงอาศัย
ทว่าเล่อเหยาเหยาที่โมโหยังเดินไปข้างหน้าราวคนตาบอดไม่หยุด ไม่คิดสนใจ ชายหนุ่มสมควรตายด้านหลัง
แต่ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกว่าตนถูกคนจ้องมอง สายตานั้นคมกริบดุจคมมีด!
หลังรับรู้ถึงเรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาตกใจในใจ พลันเงยหน้าขึ้นมองไปรอบด้านไม่หยุด
เห็นเพียงเวลานี้ เธออยู่ด้านหน้าชายป่า ด้านหลังเธอคือตึกรามบ้านช่องเรียงรายกันไม่ขาดสาย แต่กลับไร้ผู้คน
หรือเธอจะรู้สึกไปเอง!
ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ในชายป่าด้านหน้าไม่ไกลจากเธอ พลันมีสิ่งที่มีขนหนาฟูฟ่องกลุ่มหนึ่งกระโดดออกมา
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาคิดว่าตนตาฝาด จึงอดขยี้ตาไม่ได้ ก่อนเพ่งมองอีกครั้ง
ประจวบกับเวลานี้ หลังเห็นเจ้าสิ่งที่มีขนหนาฟูกลุ่มนั้น กลับเป็นหมาป่าตัวหนึ่ง ดวงตาเล่อเหยาเหยาพลันเป็นประกาย
เพราะเธอชื่นชอบสัตว์มาตั้งแต่เด็ก แมวและสุนัขเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน แต่หมาป่ายังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นมัน!
ไม่รู้กลุ่มขนฟูฟ่องนั้น กอดแล้วจะสนุกเพียงใด
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ พลันเห็นเง่าร่างสีแดงรวดเร็วดุจลมกรดเคลื่อนผ่านด้านหน้าเธอไป เธอยังไม่ได้สติ เจ้ากลุ่มขนฟูนั้นก็ถูกวางลงมาในอ้อมกอดเธอ
“เอ๊ะ”
เมื่อรู้สึกถึงแรงดิ้นเบาๆ ในอ้อมกอด เล่อเหยาเหยาค่อยๆ ได้สติ พลันสบเข้ากับดวงตาดำขลับที่เปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวคู่หนึ่ง
“อา น่ารักยิ่งนัก!”
หลังจากเห็นหมาป่าน้อยขาวดุจหิมะไปทั้งตัว ท่าทางน่ารักนั้นในอ้อมกอด เล่อเหยาเหยาอดร้องขึ้นมาอย่างตกใจและดีใจไม่ได้
เห็นเพียงหมาป่าตัวน้อยนี้ คล้ายกับเพิ่งคลอดได้ไม่นาน ศีรษะเล็ก ขนทั่วตัวนุ่มลื่นยิ่งนัก ปากเล็ก หูแหลม ดวงตากลมโตดุจไข่ห่านคู่ น่ารักอย่างยิ่ง
เล่อเหยาเหยาชื่นชอบสัตว์ตัวเล็กเป็นที่สุด ดังนั้นเพียงเห็นลูกหมาป่าตัวนี้แวบแรก พลันตกหลุมรักมันทันที
และเมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา และเห็นท่าทางใบหน้าชื่นชอบของเธอ ซือมู่หานที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ พลันเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า
“ซินเอ๋อร์ ชอบหรือไม่ มันน่ารักหรือไม่”
ซือมู่หานเอ่ยเบาๆ ดวงตาหงส์มองมายังเล่อเหยาเหยา ปรากฎความระแวดระวังและรอคอยหลายส่วน
เพราะเขารู้ว่าเมื่อครู่เล่อเหยาเหยาโมโห ดังนั้นจึงจับหมาป่าตัวน้อยมาเพื่อปลอบใจให้เธอดีใจเช่นนี้
เล่อเหยาเหยาเห็นสายตารอคอยของซือมู่หาน กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น เพียงก้มหน้าลงยื่นมือลูบขนของหมาป่าตัวน้อยนั้น
เพราะหมาป่าตัวน้อยเพิ่งเกิดได้ไม่นาน มารดาของมันคงยังไม่ได้สั่งสอนเรื่องความดีความชั่ว ดังนั้นเมื่อครู่หลังถูกซือมู่หานจับมาจนหวาดกลัวไปรอบหนึ่ง ตอนนี้หลังจากเล่อเหยาเหยาลูบขนมันอย่างอ่อนโยน ความหวาดกลัวในแววตาค่อยๆ สลายไป ก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย เคลิบเคลิ้มกับการที่ถูกคนงามลูบขน
เห็นเช่นนั้น ซือมู่หานกลับรู้สึกหึงหวง จนอยากให้ตนเป็นหมาป่าตัวนี้ สามารถทำให้ ‘ซินเอ๋อร์’ ของเขาปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเช่นนี้ได้
ทว่าขณะเขาคิดเช่นนี้ในใจ เห็นเล่อเหยาเหยายังคงไม่สนใจเขาเช่นเดิม พลันรู้สึกกังวล ดังนั้นจึงอ้อนวอนอย่างน่าสงสารว่า
“ซินเอ๋อร์ อย่าโกรธอีกเลย ข้าไม่พาเจ้าลงเขา นั่นเป็นเพราะร่างกายเจ้ายังไม่กลับมาเป็นปกติ ข้าสัญญากับเจ้า หากร่างกายเจ้าแข็งแรง ข้าจะพาเจ้าลงเขา ดีหรือไม่”
“ฮึ ข้าไม่อยากลงเขาหลังคลอดลูก ยิ่งกว่านั้นร่างกายข้าเดิมทีไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง ข้าอยากลงไปเดินเล่นที่เชิงเขา!”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยอย่างหนักแน่น
ซือมู่หานได้ยิน ขมวดคิ้วงามมุ่น แต่สุดท้ายเมื่อเห็นสีหน้าหนักแน่นของเล่อเหยาเหยา จึงถอนหายใจพร้อมเอ่ยว่า
“เฮ้อ หากร่างกายเจ้ากลับมาเป็นปกติ ข้าจะพาเจ้าลงเขา ดีหรือไม่”
“จริงหรือ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซือมู่หาน ก็รู้ว่าเขาประนีประนอมแล้ว เล่อเหยาเหยาจึงดีใจในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ออกมา
ซือมู่หานกลัวเธอจะโมโห ดังนั้นจึงพลันพยักหน้าตกลง จนแทบยกสามนิ้วขึ้นสาบานต่อสวรรค์
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงยิ้มอย่างพอใจ
ซือมู่หานเห็นใบหน้าเล็กของเล่อเหยาเหยายิ้มแย้มดุจบุปผา พลันมองอย่างหลงใหล
เห็นเพียงตรงหน้า คนงามดุจหยก ผิวเกลี้ยงเกลา ริมฝีปากดุจดอกท้อ ดวงตาชุ่มฉ่ำ รอยยิ้มดุจบุปผา กายหอมละมุน
ซือมู่หานเห็นเช่นนั้น ดวงตาหงส์งดงามคู่นั้นปรากฎความตกตะลึงลุ่มหลงขึ้นมา
เผยอริมฝีปาก เอ่ยเสียงแหบพร่าขึ้นว่า
“ซินเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์ของข้า เจ้างดงามยิ่งนัก”
เอ่ยจบ ซือมู่หานเดินเข้าไปหนึ่งก้าว ก่อนยื่นแขนรัดเอวเล็กของเล่อเหยาเหยาเอาไว้แน่น ก่อนค่อยๆ โน้มตัวลงคิดครอบครองริมฝีปากงดงามชุ่มชื้นคู่นั้นของเล่อเหยาเหยา
จากสีหน้าลุ่มหลงของซือมู่หาน เล่อเหยาเหยาจึงย่อมรู้ว่าเขาคิดทำสิ่งใด
คิดถอยหลังจากไป แต่เอวกลับถูกรัดไว้ เธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้
คิดยื่นมือผลักเขาออก แต่มือเธอกลับโอบกอดหมาป่าตัวน้อยแสนน่ารักไว้ หมาป่าตัวน้อยแสนน่ารักเช่นนี้ เธอกลัวว่าหากตนปล่อยมือ จะทำให้มันวิ่งหนีไป
ทว่าเห็นซือมู่หานหลับตาอยู่ตรงหน้า ยื่นริมฝีปากแดงออกมาหมายจุมพิตริมฝีปากเล็กของเธอ เล่อเหยาเหยารู้สึกร้อนใจ ดังนั้นพลันยกตัวหมาป่าน้อยในมือขึ้น
ดังนั้นในที่สุดซือมู่หานได้จุมพิตลงที่ปากเล็ก กระทั่งสัมผัสถึงขนบริเวณปากของหมาป่าน้อยในมือเธอ
ตกใจจนแข็งทื่อไปทั้งตัว ดวงตาหงส์เบิกกว้าง ก่อนสบเข้ากับดวงตากลมโตไร้เดียงสาของหมาป่าตัวน้อย
เมื่อสบสายตากัน ซือมู่หานตกตะลึงสุดขีด ทว่าหมาป่าตัวน้อยกลับกระพริบดวงตากลมโตดุจไข่ห่านอย่างไร้เดียงสา ก่อนแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่ถูกจุมพิต จากนั้นปากเล็กยกขึ้นดูคล้ายกำลังยิ้ม
เสียง ‘พรืด’ ดังขึ้น ก่อนเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างจะหัวเราะขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮ่าๆ”
“เจ้า!”
เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยาหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ซือมู่หานกลับมีใบหน้าเก้อเขิน โมโหจนกระทืบเท้า
“ภรรยา เจ้าช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
………………………………………………………..