บทที่ 240: ลุกขึ้น

โรเอลมองดูเหล่านักเรียนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้พอล ก่อนจะเหลือบมองร่างผมสีทองอันคุ้นเคยท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก พลางตรวจสอบสภาพแวดล้อมของตน จากนั้นเด็กชายก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พร้อมหัวใจที่สงบลง

ถ้าเด็กชายไม่ได้จำผิด นี่น่าจะเป็นช่วงสุดท้ายในเนื้อเรื่องเริ่มต้นของพอล แอคเคอร์มันน์ ในเกมสินะ

บนโลกนี้ใครกันที่ต้องการให้พอลหายสาบสูญไปมากที่สุด?

หากเป็นภายในเกมอาย ออฟ โครนิเคิล บุคคลนั้นอาจเป็นโรเอล แอสคาร์ด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเนื่องจากการระลึกอดีตชาติของโรเอล สิ่งต่าง ๆ จึงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางแห่งโชคชะตาที่แตกต่างออกไป เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องเกลียดชังพอลอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นตำแหน่งวายร้ายหลักจึงถูกส่งต่อไปยังตัวร้ายอื่น ๆ อีกสองคน นั่นก็คือ พี่ชายทั้งสองของพอล

ตั้งแต่ในสมัยโบราณ การต่อสู้ที่โหดร้ายที่สุดมักจะเกิดขึ้นจากความขัดแย้งภายใน ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบันของแวดวงจักรวรรดิออสทีนก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าพอล แอคเคอร์มันน์ จะเป็นเพียงลูกชายนอกสมรสที่มีระดับความสามารถต่ำกว่าค่าเฉลี่ย แต่ถึงกระนั้นการดำรงอยู่ของเขาก็ยังทำให้องค์ชายผู้เป็นพี่ทั้งสองคนต้องกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่ต้องการให้พอลเข้าร่วมสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า เนื่องจากที่แห่งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับการเติบโตทางความสามารถและแวดวงสังคม

ความเป็นไปได้ใด ๆ ก็ตามที่อาจจะทำให้พอลพัฒนาขึ้นมาในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูง ถือเป็นความสิ้นหวังสำหรับพวกเขา

พี่ชายทั้งสองคนจึงได้เตรียมของขวัญพิเศษสำหรับวันแรกในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าให้กับพอล เพื่อทำลายความมั่นใจของเขาให้แตกสลาย องค์ชายทั้งสองได้พยายามอย่างหนัก เพื่อสร้างกลุ่มเครือข่ายขุนนางของตนเองขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ดังนั้นพวกเขาจึงมีลูกน้องมากมายไม่ขาดมือสำหรับใช้ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้

โรเอลจับไม้เท้าของตนแน่น พลางเหลือบมองดูชายหนุ่มสองคนที่เดินมาทางพวกเขา แน่นอนว่าเด็กหนุ่มนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะลงมือเคลื่อนไหวล่วงหน้าแต่อย่างใด เพราะเขาไม่สามารถทำการกระทำที่เป็นดั่งการ ‘ทำนายอนาคต’ ออกมาตรง ๆ ที่นี่ได้ นอกจากนี้ นับตั้งแต่ได้พบพอลเป็นครั้งแรก นี่ก็ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ

มันคงจะดีกว่า ถ้าเรารอให้โอกาสที่เหมาะสมจริง ๆ มาถึงก่อน

ด้วยความคิดเช่นนั้น โรเอลจึงบอกลาพอลแล้วเดินจากไป

การได้มองสำรวจดูทิวทัศน์รอบ ๆ ตัวภายในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ทำให้หัวใจที่ประหม่าในตอนแรกของพอล แอคเคอร์มันน์ค่อย ๆ สงบลง และถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นไปทีละนิด

สถานที่แห่งนี้รอบตัวพอลมีคนรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาอยู่อย่างน้อย ๆ ก็หนึ่งพันคน ด้วยที่เด็กหนุ่มไม่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มาก่อน มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกกระวนกระวาย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนเองได้ยืนอยู่บนเวทีที่ต่างออกไปแล้ว

นักเรียนที่นี่มีมาจากทั่วทุกมุมโลก คงมีคนไม่มากนักที่จะจำพอลได้ต่างจากที่จักรวรรดิออสทีน เขาจึงคิดว่าตัวเองจะไม่ถูกดูหมิ่นที่นี่ ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ พวกเขาทุกคนทั้งหมดล้วนเป็นนักเรียนร่วมสถาบัน ที่นี่ทุกคนล้วนมีฐานะเท่าเทียมกัน

ตราบใดที่พอลฝึกฝนอย่างหนักในเวทีใหม่นี้ สิ่งต่าง ๆ ก็อาจจะดีขึ้นสำหรับเขา..

พอลเดินไปข้างหน้าพร้อมกับความหวังอันยิ่งใหญ่สำหรับอนาคต ก่อนที่จะมีใครบางคนเดินเข้ามาหยุดเส้นทางของเขาอย่างกะทันหัน

“เฮ้ นายคือพอลใช่ไหม?”

“อา? ใช่ แล้วคุณคือ…?”

“พวกเราเป็นรุ่นพี่ของนาย เขาชื่อว่า ไลท์ เป็นบุตรชายลำดับที่สามของเอิร์ลเลเกอร์ ส่วนฉันชื่อ ครอน เป็นบุตรชายลำดับที่สองของเอิร์ลเควลซอล พวกเรามีเรื่องจะขอร้องนายสักหน่อยน่ะ”

“ขอร้อง?”

ใบหน้าที่ดูเป็นปฏิปักษ์ของชายร่างสูงและเตี้ยที่มายืนขวางทางข้างหน้า พร้อมประกาศว่าพวกตนเป็นลูกหลานขุนนางจากจักรวรรดิออสทีน ทำให้ใบหน้าของพอลซีดลง เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ขึ้นมาในทันใด

ซึ่งไม่นานนักลางสังหรณ์ของเด็กหนุ่มก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง หลังจากที่ชายร่างสูงพูดต่อ

“มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันแค่หวังว่านายจะยอมลาออกจากสถาบันการศึกษานี้”

“ลาออกจากสถาบันนี้?”

“ใช่แล้ว นายเองก็น่าจะรู้ดีกว่าใคร ๆ ไม่ใช่เหรอว่าบัลลังก์เป็นขององค์ชายทั้งสอง ลูกนอกสมรสอย่างนายไม่มีสิทธิ์ที่จะสืบราชบัลลังก์นั้น ขยะก็ควรเป็นเพียงขยะ ฉันขอแนะนำให้นายอย่าสร้างปัญหาให้กับตัวเองจะดีกว่า”

ครอนถ่มน้ำลายใส่พอลด้วยสีหน้าอันเย็นชา เขาไม่คิดที่จะแสดงความเคารพเลยสักนิด แม้ว่าจะกำลังยืนอยู่ต่อหน้าองค์ชายแห่งจักรวรรดิออสทีน เพราะในมุมมองของพวกเขา ลูกชายนอกสมรสไม่มีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์หรืออิทธิพลอำนาจ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกลัว

แม้ว่าพอลจะมีสายเลือดของตระกูลแอคเคอร์มันน์ไหลเวียนอยู่ ไม่ว่าองค์ชายคนไหนจะได้กลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ ดังนั้นมันจึงไม่มีโอกาสเลยที่เขาจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง

อย่างไรก็ตามหากพวกเขาสามารถไล่พอลออกจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าได้ ครอนก็อาจจะได้รับความดีความชอบจากองค์ชายออเบรย์ ซึ่งจะทำให้เขาได้เปรียบในการสืบทอดตำแหน่งเอิร์ลของตระกูลเควลซอล แม้ว่าจะเป็นบุตรชายลำดับสองก็ตาม ซึ่งไลท์ที่ต่ำต้อยกว่าในฐานะบุตรชายลำดับสามของเอิร์ลเลเกอร์เองก็มีความคิดแบบนี้ด้วยเช่นกัน

พวกเขายินดีที่จะยอมรับความเสี่ยงนี้เพื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ โชคร้ายที่เป้าหมายของพวกเขา ไม่เต็มใจที่จะให้ความร่วมมือแต่อย่างใด

“ล้อกันเล่นงั้นเหรอ? ฉันปฏิเสธ”

พอลกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคืองจากการดูถูก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเริ่มมีความคาดหวังบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตในโรงเรียน แต่จู่ ๆ ลูกน้องของพี่ชายก็ได้เข้ามาขวางทาง นอกจากความผิดหวังในตัวพี่น้องแล้ว เหตุการณ์นี้ยังได้จุดประกายความปรารถนาที่อยากจะโต้กลับขึ้นมาด้วย

คำตอบของพอลทำให้ใบหน้าของครอนมืดลง

“ไอ้เด็กเวร ไม่เจียมตัวเอาซะเลย! คิดจะหาเรื่อง… ”

“เดี๋ยวก่อน ไลท์ ดูเหมือนว่าองค์ชายพอลของเรายังไม่เข้าใจว่าที่นี่กำลังเกิดอะไรขึ้น ให้ฉันอธิบายให้เขาฟังดีกว่า”

ครอนยกมือขึ้นหยุดเพื่อนที่เทอะทะของตน ก่อนจะมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ย

“รุ่นน้องพอล ดูเหมือนว่านายยังคงคาดหวังเกี่ยวกับชีวิตในสถานศึกษาอยู่สินะ?”

“หมายความว่ายังไง?”

“นายคิดว่าเพียงแค่ได้อยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้แล้วตัวเองจะมีอนาคตที่ดีงั้นเหรอ? ให้ฉันปลุกนายขึ้นจากความฝันลม ๆ แล้ง ๆ นั้นเถอะ นายรู้รึเปล่าว่าสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มกุหลาบม่วงขององค์หญิงลิเลียน? ศัตรูของนายไม่ได้มีแค่พวกเราหรอกนะ ทุกคนในกลุ่มของเธอเองก็เห็นนายเป็นเสี้ยนหนามเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีนักเรียนจากจักรวรรดิเซนต์เมซิท และเมืองโรซ่าที่เป็นศัตรูของเราตั้งแต่แรกอยู่แล้วอีกด้วย นักเรียนกว่า 30% ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้เป็นศัตรูกับนายตั้งแต่เริ่มแล้ว”

“เข้าใจแล้วรึยัง? มันไม่มีอะไรที่นายจะทำได้อีกแล้ว นายจะต้องถูกดูหมิ่นและกีดกัน พวกเรามีวิธีมากมายที่จะทำให้แน่ใจได้ว่า นายจะไม่สามารถอยู่ในสถาบันการศึกษาแห่งนี้ได้อย่างมีความสุข ดังนั้นสิ่งที่นายควรจะทำมากที่สุดก็คือการถอยออกจากสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าไปซะ”

ครอน ตบไหล่พอล ที่กำลังตกตะลึงด้วยรอยยิ้มอันเป็นมิตร

ไม่ว่าจะมาจากสถาบันใด นักเรียนปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มักจะทำอะไรไม่ถูกกับการกดขี่ของนักเรียนรุ่นพี่ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องปกติที่พอลจะต้องยอมถอย เมื่อรู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามีแต่ความทุกข์ยากอันไร้ที่สิ้นสุดรออยู่

ครอนแทบอยากจะปรบมือให้กับความเฉลียวฉลาดของตน แม้ว่าเหล่าขุนนางของจักรวรรดิออสทีนจะเกลียดพอลแค่ไหน แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นสมาชิกของราชวงศ์แอคเคอร์มันน์ หากพวกเขาพยายามไล่พอลออกด้วยกำลัง ผลเสียจะย้อนกลับมาที่พวกเขาในอนาคต เนื่องจากอีกฝ่ายนั้นมาที่สถานศึกษาแห่งนี้ภายใต้คำสั่งขององค์จักรพรรดิ และการพยายามที่จะขัดขืนคำสั่งขององค์จักรพรรดินั้นถือเป็นความผิดต่อราชวงศ์ อย่างไรก็ตามถ้าพอลลาออกไปจากสถาบันการศึกษาแห่งนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเองล่ะ มันก็เป็นอีกเรื่องนึง

ครอนจ้องไปที่พอลผู้กำลังมึนงงอย่างใจจดใจจ่อ รอให้เด็กหนุ่มผมดำจมลงสู่ความสิ้นหวัง

พอลรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังตกลงไปในหลุมลึกอันไร้ที่สิ้นสุด หลังจากได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นของครอน สภาพแวดล้อมอันสวยงามและรุ่งโรจน์รอบ ๆ แตกต่างจากหัวใจของเขาที่ค่อย ๆ จมลงอย่างสิ้นเชิง เด็กหนุ่มเริ่มลังเลใจว่าตนควรจะเดินไปตามเส้นทางที่ยากลำบากนี้ต่อไปหรือไม่

เราควรจะลาออกดีไหม…

ระหว่างที่ความคิดดังกล่าวก้องอยู่ในจิตใจของพอล ทันใดนั้นภาพของเด็กหนุ่มที่เดินมาด้วยกันกับเขาก่อนหน้านี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

“ไม่ นี่มันไม่ถูกต้อง…”

“นายพูดว่าอะไรนะ?”

“ถึงแม้หลาย ๆ คนในสถาบันการศึกษาแห่งนี้จะมองว่าฉันเป็นศัตรู แต่เพื่อนแท้ย่อมไม่ตัดสินกันและกันด้วยตัวตนของพวกเขา ฉันเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่เป็นมิตรกับผู้อื่น โดยสนใจเพียงแค่คุณลักษณะนิสัย ไม่ใช่ที่จุดยืนและภูมิหลังอยู่”

“นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรน่ะ?”

“รุ่นพี่ครอน คุณกลับไปเถอะ ฉันจะไม่ลาออกจากสถาบันการศึกษา”

“!”

เมื่อเห็นสายตาของพอลเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิมอย่างอธิบายไม่ถูก สีหน้าของครอนก็เปลี่ยนไป ซึ่งไลท์ที่อยู่ข้าง ๆ เองก็ขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน

“นายรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่? อย่าบังคับพวกเราจะดีกว่านะ ไม่งั้นอาจจะเจ็บตัวได้”

“ฉันจะไม่ลาออกจากสถาบันการศึกษานี้”

“… อย่างนั้นเหรอ? อย่ามาโทษพวกเราภายหลังก็แล้วกัน”

ครอนจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างหน้าอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมปลดปล่อยพลังเวทอันทรงพลังออกมา ท่ามกลางแสงสว่างจาง ๆ พอลรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันทรงพลังพุ่งเข้ามากดทับร่างกายของเขา การกระทำอันก้าวร้าวนี้ได้ปลุกฝูงชนโดยรอบให้สนใจอย่างรวดเร็ว

“เกิดอะไรขึ้น?”

“แรงกดดันมหาศาลเช่นนี้… มีระดับแก่นแท้ 4 อยู่ในหมู่นักศึกษาใหม่งั้นเหรอ?”

“ไม่ ๆ มันมาจากตรงนั้น ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นรุ่นพี่ปี 2…”

“แล้วนั่นใครคือคนที่อยู่กับพวกเขา?”

ทันใดนั้น ครอนก็ส่งยิ้มให้ฝูงชนรอบ ๆ ก่อนจะชี้ไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้า ผู้กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจนไม่สามารถเงยหน้าได้

“พอล แอคเคอร์มันน์! ลูกนอกสมรสขององค์จักรพรรดิ นายควรเจียมตัวได้แล้วว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์แบบไหน! สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าเป็นสถานที่อันสูงส่ง ที่หล่อเลี้ยงให้เกิดบุคคลสำคัญมากมายในประวัติศาสตร์ คนอย่างนายไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่!”

การกดขี่ข่มเหงผู้อ่อนแอของครอนกระตุ้นความเกลียดชังในจิตใจของเหล่านักเรียน ทว่าทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าพอลเป็นลูกนอกสมรส นักเรียนเหล่านั้นก็เริ่มลังเล พวกเขาไม่แน่ใจว่าควรจะเข้าไปแทรกแซงในสถานการณ์นี้หรือไม่

มันเป็นเรื่องปกติที่ลูกนอกสมรสจะถูกมองว่าเป็นปรปักษ์ในแวดวงชนชั้นสูง ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นคนซื่อตรงแค่ไหนก็ตาม ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่าพอลเป็นองค์ชายนอกสมรสแห่งจักรวรรดิออสทีน บางคนเผยให้เห็นถึงความยินดีดื่มด่ำกับเรื่องตื่นเต้นที่กำลังเกิดขึ้น ขณะที่บางคนถึงกับเข้าร่วมฝ่ายครอนเพื่อเยาะเย้ยพอล

“เห็นไหม? นี่คือการปฏิบัติที่นายจะได้รับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ผู้ที่เกิดมาในโคลนก็ควรอยู่ในที่ของตนอย่างเชื่อฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับขยะที่มีสายเลือดอันไม่บริสุทธิ์อยู่ในร่างอย่างนาย!

“ทั้งที่มีสายเลือดของตระกูลแอคเคอร์มันน์ แต่นายกลับยังติดอยู่ที่ระดับแก่นแท้ 5 เนี่ยนะ? ช่างเป็นความอัปยศอดสูเสียจริง! คุกเข่าลง แล้วรีบวิ่งหนีออกจากประตูสถาบันไปซะเถอะ!”

คำพูดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ทางสายเลือดของครอน ได้รับเสียงตอบรับมากมายจากเหล่านักเรียนของจักรวรรดิออสทีน พวกเขาเริ่มตะโกนตามการชักนำของครอน

“คุกเข่าลงแล้วรีบออกไปซะ! คุกเข่าลงและตะเกียกตะกายออกไปซะ…”

คำดูถูกนี้ดังกึกก้องไปรอบ ๆ ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ไกลออกไปภายในฝูงชนที่กำลังรายล้อม เด็กสาวผมสีทองกำลังขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ ในขณะเดียวกัน เด็กสาวผมดำตาสีม่วงเองก็มองดูฉากนี้จากตึกข้าง ๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เห็น

นี่มันน่าเกลียดเกินไปแล้ว เราไม่สามารถเมินเฉยต่อเรื่องนี้ได้

ลิเลียนนึกถึงจดหมายที่ตนได้รับมาจากองค์จักรพรรดิลูคัส ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ ระหว่างที่เด็กสาวกำลังจะหันไปหาเหล่าผู้สนับสนุนของตัวเองแล้วออกคำสั่ง ทันใดนั้นเงาสีดำก็พุ่งผ่านการมองเห็นของเธอไป

หืม? นั่นมัน…

ดวงตาของลิเลียนหรี่ลง รีบหันกลับมามองที่ความโกลาหลนั้น ขณะเดียวกันบนสนามหญ้า นอร่าที่ดูเหตุการณ์อยู่ก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ

ท่ามกลางฝูงชน พอลรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตัวเองหนักขึ้นจนเข่าของเขาจะหักล้มลงกับพื้น ทว่าทันใดนั้น เด็กหนุ่มผมดำก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เขา พร้อมใช้ไม้เท้าในมือพยุงใต้หัวเข่าของพอลเอาไว้ เพื่อสนับสนุนไม่ให้เขาล้มลงไป

“จะคุกเข่าทำไมล่ะ? ยืนขึ้นสิ”

โรเอล แอสคาร์ดได้ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางความโกลาหลนี้ เขามองไปที่พอล แอคเคอร์มันน์ ขณะที่พูดด้วยสายตาอันเย็นชา