ภาคที่ 1 บทที่ 191 ต้องการกะหล่ำปลีด่วน

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 191 ต้องการกะหล่ำปลีด่วน

อาจารย์ทั้งสามสิบท่านได้ฟังคำตอบของซูเย่แล้วอดที่จะยิ้มแย้มไม่ได้

ทีมหน้าจอ

“เยี่ยม”

หลี่เคอหมิงปรบมือพลางส่งเสียงพอใจให้กับคำตอบของซูเย่อย่างยินดี

หลีซินเอ้อมองพ่ออย่างหมดคำจะพูด ดูท่าทางดีใจนั่นสิ

แต่ในใจเธอก็ถูกคำตอบของซูเย่ทำให้ตกตะลึง มองดูปฏิกิริยาของคณะอาจารย์ เขาตอบถูกจริง ๆ ถ้าเป็นเธอตอบก็คงจะไม่ถูก

“ขอแสดงความยินดี” อาจารย์ท่านที่ 30 ยิ้มแย้มพลางกล่าวคำพูดนี้ออกมา

ที่มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย

“เฮ้อ……”

ได้ฟังคำตอบของซูเย่ ลวี่อวิ๋นเผิงไม่เพียงแต่ถอนหายใจ แต่สีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง

ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดถึงความแตกต่างทางกายภาพของคนสมัยก่อนและสมัยปัจจุบัน ก็เลยตอบผิด คิดไม่ถึงว่าซู่เย่กลับตอบถูก

เขานักเรียนหัวกะทิชั้นปีที่ 5 แพ้ให้กับเด็กใหม่คณะวิจัยสมุนไพรจีนงั้นเหรอ

นักศึกษาสาขาแพทย์แผนจีนมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางทุกคน รวมไปถึงนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีนจิตใจสั่นสะเทือน

ซูเย่ตอบถูกงั้นหรือ

คำถามที่ทำให้ลู่จวิ้นและลวี่อวิ๋นเผิงตกที่นั่งลำบาก เขากลับตอบถูกงั้นหรือ และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ข้อที่หนึ่งถึงข้อที่สามสิบ ไม่มีข้อผิดพลาดแม้แต่จุดเดียว

เขาเก่งกว่าลู่จวิ้นและลวี่อวิ๋นเผิงงั้นหรือ

เขาเก่งขนาดนี้ได้ยังไงกัน

นักศึกษาคณะแพทย์แผนจีนล้วนไม่กล้าเชื่อฉากเบื้องหน้าที่แสดงต่อสายตา

แต่ตอนนี้มันเป็นเช่นนั้นไปแล้ว

ความจริงบอกกับพวกเขาว่าซูเย่เก่งขนาดนี้นี่แหละ

เก่งกว่าพวกเขาทุกคน

นี่คือความสามารถของซูเย่งั้นหรือ

ความสามารถที่มากพอที่จะกดหัวเด็กคณะแพทยศาสตร์แผนจีนทุกคน

พวกเขาผิดไปแล้ว

“ถ้าเป็นเธอ เธอจะออกเทียบยายังไง”

ในเวลานี้ อาจารย์ท่านสุดท่านก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

สายตาของทุกคนมองไปยังซูเย่อีกครั้ง

นี่ถือว่าเป็นการถามเพิ่ม ลวี่อวิ๋นเผิงและลู่จวิ้นทั้งสองไม่ได้ถูกถามข้อนี้

ซูเย่ตอบ “ไฉหู 15 กรัม ชิงผี 15 กรัม เซียงฝู 15 กรัม ……ตานเซิน 90 กรัม ตะขาบ 3 ตัว แมงป่อง 6 ตัว”

อาจารย์ท่านที่สามสิบแย้มยิ้มอย่างพออกพอใจ

อาจารย์ท่านอื่นเองก็ยิ้มเช่นกัน

แปะแปะแปะแปะ

อดไม่ได้ที่จะปรบมือให้ซูเย่

ปรบมือให้กำลังใจนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่โดดเด่น โจทย์ทั้งสามสิบข้อ ตอบถูกอย่างสมบูรณ์แบบ

ลวี่อวิ๋ยเผิง ลู่จวิ้น นักศึกษาคณะแพทย์แผนจีน ล้วนพากันทอดถอนใจ และรู้สึกสับสนว้าวุ่น

โดยเฉพาะนักศึกษาคณะแพทย์แผนจีน

ไม่ใช่ไม่คิดว่าซูเย่เก่ง แต่ไม่คิดว่าจะเก่งเพียงนี้

เรียนมาแค่สองเดือนจริงหรือ

“ก่อนที่เธอจะเดินออกจากสนามสอบ อาจารย์อยากจะถามเธอเพิ่มอีกสักหนึ่งข้อ”

ในตอนที่ซูเย่กำลังจะออกจากสนามสอบ อาจารย์ท่านที่ยี่สิบเก้าก็ยกมือขึ้นพูด

“อะไรหรือครับ” ซูเย่ถามอย่างฉงน

สายตาของทุกคนมองไปยังอาจารย์ท่านที่ 29

“เธอเพิ่งเรียนแพทย์แผนจีนแค่สองเดือนจริงหรือ” อาจารย์ถามอย่างสงสัย

สายตาของทุกคนหันจับจ้องไปที่ซูเย่แทน พวกเขาก็อยากรู้คำตอบของคำถามนี้เช่นกัน

ซูเย่พยักหน้ารับพลางกล่าว “นอกจากตำราโบราณ เพิ่งจะเริ่มจริงจังแค่สองเดือนครับ”

ตู้ม—

สายตาของทุกคนเบิ่งค้าง

ความหวังหนึ่งเดียว สูญสลายลง

เพิ่งเรียนแค่สองเดือนจริง ๆ

นี่มันเก่งเกินไปแล้ว

พ่ายแพ้

อนาถแท้

นักศึกษาสาขาแพทย์แผนจีนในยามนี้ รู้สึกว่าความภาคภูมิใจของตัวเองสลายหายไปจนหมด

ในหอพัก

ซูชือและจินฟานที่รับชมการถ่ายทอดสดมาตลอด มองหน้ากัน สายตาของทั้งสองแสดงความคิดเห็นที่ตรงกัน : บ้าไปแล้ว ดีไม่ดีซูเย่อาจจะกลายเป็นปรมาจารย์การแพทย์แห่งชาติก็ได้

การสอบดำเนินต่อไป

“ผู้เข้าสอบคนถัดไป”

นักศึกษาในห้องรับรองตะลึงพรึงเพริด นี่มันแค่ 25 นาทีก็สิ้นสุดแล้วเหรอ

ผู้เข้าสอบหมายเลขสี่เดินเข้าสนามสอบอย่างฉงนใจ

…….

การสอบดำเนินมาถึงช่วงบ่าย

แต่ผู้ชมกลับน้อยลงเรื่อย ๆ

ทุกคนยิ่งดูก็ยิ่งรู้ว่า คนที่เก่งจริง ๆ คือพวกซูเย่สามคนนั้น

ยามเย็น

ผลสอบออกทันที

ซูเย่ ลวี่อวิ๋นเผิง ลู่จวิ้น

มองดูรายชื่อนี้ ทุกคนล้วนไร้วาจาจะเอ่ย

สามคนนี้ เป็นตัวแทนที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ถ้าไม่ใช่พวกเขาไป แล้วจะให้ใครไป

เพียงแต่ว่าคงต้องเป็นซูเย่

เฮ้อ ยอมแล้ว ครั้งนี้ยอมแล้วจริง ๆ

ยังจะพูดอะไรได้อีก เรียนรู้จากเขาให้มากเถอะ

โห เขาเรียนสองเดือน พวกเราสามสี่ปี ความรู้เหมือนลงหม้อไปหมดแล้ว

ซูเย่เข้ารอบ เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง

ในวินาทีนี้ นักศึกษาสาขาวิจัยสมุนไพรจีนตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดก็ได้มีหน้ามีตาสักที

ตอนนี้ใครจะยังกล้าพูดว่าสาขาของพวกเขาไม่ได้เรื่องอีก

อันดับหนึ่ง

เห็นหรือยังละ สาขาของพวกเราได้อันดับหนึ่ง

“เสี่ยวเย่เจ๋งสุดยอดไปเลย” ซูชือกับจินฟานกระโดดโลดเต้นอยู่ในห้องพักอย่างดีใจ

“เลี้ยงฉลอง ถ้าไม่เลี้ยงจะเป็นการผิดต่อพวกเราที่สนับสนุนนาย”

“เอาสิ”

ซูเย่กล่าวยิ้ม ๆ

“ขอบคุณการชี้แนะของอาจารย์หลี่ ผมจะพยายามต่อไป” ตอบกลับข้อความอาจารย์หลี่ที่ส่งมาแสดงความยินดี แล้วก็รับสายโทรศัพท์

เป็นหวังหงฮวาโทรมา

“ฮัลโล” ซูเย่กดรับสาย

“เถ้าแก่ซู กะหล่ำปลีเป็นอย่างไรบ้าง มีมารึยังละ” น้ำเสียงร้อนใจของหวังหงฮวาดังมาจากโทรศัพท์ “ภัตตาคารของฉันของกำลังจะขาดแล้ว นานสุดรอได้ครึ่งเดือน ต้องการกะหล่ำปลีด่วน ด่วนที่สุด”

ซูเย่คำนวณเวลา นี่ก็ใกล้ถึงกำหนดแล้ว ควรที่จะไปดูสักหน่อย “พรุ่งนี้ผมจะให้คำตอบ ถ้าไม่มีข้อผิดพลาดก็น่าจะโอเค”

“ตกลง ฉันจะรอคำตอบจากคุณ” หวังหงฮวาถอนหายใจแผ่วเบาพลางตอบรับแล้วก็กดวางสาย

วันถัดมา

ซูเย่ไปยังหมู่บ้านฉีแต่เช้า มาถึงแปลงผัก จึงพบว่ากะหล่ำปลีเติบโตขึ้นพอประมาณแล้ว และส่วนมากก็สุกงอมพอแล้ว

เมื่อรู้ว่าซูเย่มาถึงแล้ว เหล่าชาวสาวก็พากันมาหาไม่ขาดสาย เดินสำรวจเป็นเพื่อนซูเย่

“โดยปกติแล้วที่นาหนึ่งไร่จะเก็บผลกะหล่ำปลีได้ 5000 จิน แต่ตอนนี้หนึ่งไร่สามารถเก็บได้ประมาณ 3000 จิน ”

ตาเฒ่าหลี่ขืนยิ้มกล่าว “อาจจะเป็นเพราะไฟไหม้ครั้งนั้น คุณดูเอาเองแล้วกันนะ”

ชาวสาวพากันพยักหน้ายืนยัน สีหน้าของแต่ละคนดูกระอักกระอ่วน คงจะเกรงว่าซูเย่จะไม่พอใจ

“ไม่เป็นไรครับ” ซูเย่ยิ้มพลางโบกมือ

เขารู้ดีว่าต่อให้ปูคาถารวบรวมปราณไว้ ก็คงไม่สามารถครอบคลุมไปทั้งไร่แล้วได้ผลผลิต 5000 จิน เพราะว่าพลังปราณยังไม่พอเมล็ดบางเมล็ดไม่ได้งอกออกมาด้วยซ้ำ ผลผลิตลดลงก็ไม่แปลก

“โถ่เอ้ย พ่อหมอเทวดา ในที่สุดคุณก็มาเสียที”

ยามนี้ ได้ยินเสียงหม่าเหล่าเอ้อลอยมาแต่ไกล

ซูเย่หันหน้าไปมอง

เห็นแค่เอ้อล่าจื่อ หม่าเหล่าเอ้อ และพวกพ้องของเขาวิ่งฝุ่นตลบเข้ามา

ซูเย่มองอย่างละเอียดอีกครั้ง เห็นว่ารอยคล้ำรอบดวงตาของพวกเขาชัดเจนมาก มองดูแล้วยังรู้สึกว่าดูอิดโรย

“หมอเทวดาน้อย ฉันจะบอกอะไรให้นะ นี่เป็นงานที่ฉันตั้งใจทำที่สุดในชีวิตเลย เพื่อที่จะปกป้องกะหล่ำปลีให้คุณ สองสามวันมานี้พวกเราไม่กล้านอนหลับลึกเชียวละ”

“หืม”

ซูเย่มองพวกเขาอย่างสนเท่ห์ กลางคืนไม่มีอะไรก็นอนได้นี่

“ไม่ได้กันคนขโมย กันพวกสัตว์ป่ามากินน่ะ”

หม่าเหล่าเอ้อยิ้มอย่างขมขื่นกล่าว “ตกดึกพวกสัตว์ชอบเข้ามา ถ้าไม่ดูให้ดีแปลงผักก็ถูกพวกมันทำลายหมด”

ซูเย่กระจ่างแจ้งทันที กะหล่ำปลีพวกนี้ที่ดูดซับพลังจากธรรมชาติ มีพลังดึงดูดสัตว์ป่าพวกนั้นมากพอสมควร

“ไปกันเถอะ”

ซูเย่ดึงกะหล่ำปลีออกมาสองสามหัวจากแปลงผักด้านข้างพลางกล่าว “งั้นวันนี้ก็ขอให้รางวัลทุกคนละกันนะครับ”

หม่าเหล่าเอ้อและคนงาน “……”

พวกเขาไม่สามารถกินอะไรที่มันดีกว่านี้ได้งั้นเหรอ คนที่เรียนสูง ๆ นี่มันใจจืดใจดำจริง ๆ

คนกลุ่มหนึ่งเดินมายังแปลงผักเล็ก ๆ ในบ้านของเหล่าหลี่ รบกวนให้สามีภรรยาบ้านหลี่จัดงานเลี้ยงกะหล่ำปลี ผัดกะหล่ำปลี กะหล่ำปลีตุ๋นเต้าหู้ กะหล่ำปลีผัดน้ำมัน มีฝีมือทำอะไรก็งัดมาหมด

โต๊ะที่ยกมาเรียงรายไปด้วยกับข้าวนานาชนิดที่ทำจากกะหล่ำปลี

หม่าเหล่าเอ้อและพวกพ้องมองหน้ากันไปมา

เอาจริงเหรอเนี่ย จะให้กินของพวกนี้จริง ๆ งั้นหรือ

พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรมาก

ยกตะเกียบขึ้นมาด้วยสีหน้ากล้ำกลืน ฝืนกินลงไปหนึ่งคำ

หนึ่งคำนี้ สีหน้าของหม่าเหล่าเอ้อก็เปลี่ยนในทันที