ภาคที่ 2 บทที่ 239 หาคน

มู่หนานจือ

หลิวตงเยว่ถึงรู้ตัวว่าตนเองพูดผิดไปแล้ว!

เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!

ตลอดทางจากเมืองหลวงมาซานซีนี้ ท่านหญิงไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็จะหาใต้เท้าหลี่ หากไม่ก่อกวนใต้เท้าหลี่สักพักก็ต้องสบตาอย่างโมโหสักสองสามครั้ง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ของคุณหนูจิน เขาจึงคิดว่าท่านหญิงจะต้องปรึกษาใต้เท้าหลี่ก่อนอย่างแน่นอน…ใครจะรู้ว่าจะประจบไม่ถูกทาง

หลิวตงเยว่เสียใจมาก จนแทบอยากจะตบหน้าตนเองสักสองสามครั้งเพื่อเพิ่มความจำ

ทว่าท่านหญิงเดี๋ยวก็พูดคุยและหัวเราะกับใต้เท้าหลี่ เดี๋ยวก็ทิ้งใต้เท้าหลี่ไว้ข้างๆ และไม่สนใจ…อารมณ์แปรปรวน เขาจึงไม่ค่อยแน่ใจจริงๆ ว่าเวลาไหนควรพูดอะไร?

หลิวตงเยว่แอบถอนหายใจ

ยังดีที่ครั้งนี้แม่นมเมิ่งแก้หน้าให้เขาแล้ว ครั้งหน้าตอนที่มีเรื่องอะไรอีก เขาต้องคิดสักสองสามรอบ

เขารีบเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ขอรับ” และเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้พูดให้ชัดเจนเอง”

เจียงเซี่ยนเห็นว่าพวกเขาอยากจะปกปิดเรื่องราวแต่กลับเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน ทว่าคิดแล้วก็ปวดสมอง จึงลุกขึ้นยืนทันทีและเอ่ยว่า “พวกเราไปที่หมู่บ้านจี่หนานกันเถอะ”

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ!” หลิวตงเยว่ขานรับอย่างประจบประแจง และเดินไปเปิดประตูห้องส่วนตัวให้เจียงเซี่ยนอย่างรวดเร็ว

เจียงเซี่ยนเดินออกไปอย่างแน่วแน่

หลิวตงเยว่ก็รีบเข้าไปคุ้มกันเจียงเซี่ยนลงไปชั้นล่างและขึ้นรถม้า ถึงจะเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก และไปนั่งบนแอกของรถ

หมู่บ้านจี่หนานอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ต่อให้ถนนตะวันตกมีคนเยอะมาก จนนั่งรถม้าเดินทางได้ช้ากว่าเดินเท้า ก็เพียงแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น ก็ถึงหมู่บ้านจี่หนานแล้ว

หลิวตงเยว่จองห้องส่วนตัวไว้ที่นี่ล่วงหน้าแล้ว

พนักงานของโรงเตี๊ยมพาพวกเขาเข้าไปในห้องส่วนตัว

หลิวตงเยว่เปิดลูกกรงหน้าต่างฝั่งตะวันออกครึ่งบาน และเอ่ยว่า “ท่านหญิง ฝั่งตรงข้ามเป็นห้องส่วนตัวที่ลูกเขยเลี้ยงแขกขอรับ”

เจียงเซี่ยนนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มือเขี่ยน้ำชาที่พนักงานของโรงเตี๊ยมเพิ่งจะนำมาให้เล่น และตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “รู้แล้ว”

หลิวตงเยว่จึงปิดลูกกรงหน้าต่าง และนำรายการอาหารที่สั่งเรียบร้อยแล้วมาให้เจียงเซี่ยนดู “ท่านว่ายังอยากเพิ่มหรือลดอะไรหรือไม่ขอรับ?”

เจียงเซี่ยนนั้นเนื่องด้วยระบบย่อยอาหาร ส่วนใหญ่จึงจะไม่กินอาหารข้างนอก สั่งมาก็ให้พวกไป๋ซู่กินเท่านั้น นางจึงไม่ตัดสินใจเองแล้วเช่นกัน นางส่งรายการอาหารให้ไป๋ซู่ และเอ่ยว่า “เจ้าตัดสินใจเถอะ!”

ไป๋ซู่พยักหน้า แล้วปรึกษากับพี่น้องสกุลฉีและเมิ่งฟางหลิงพลางกำหนดรายการอาหาร

พี่น้องสกุลฉีก็ถามถึงฉางเหริ่นตง “…ได้ยินว่าเป็นคนที่หมอหลวงเถียนแนะนำมา เขาจะมาเมื่อไรหรือ? แล้วต่อไปจะตามไปอยู่ที่ตระกูลหลี่หรือเปล่า? หากมีคนอยากหาหมอ ไปเชิญเขาออกไปรักษาคนไข้นอกสถานที่ที่บ้านของพวกเจ้าได้หรือไม่?”

“หากพวกเจ้าจะให้เขารักษาย่อมได้อย่างแน่นอน” เจียงเซี่ยนบอกพี่น้องสกุลฉีอย่างอ้อมค้อม ในเมื่อเชิญมาให้นางโดยเฉพาะ หลักๆ ก็คือดูแลร่างกายของนาง ญาติกับเพื่อนที่สนิทกันย่อมได้อย่างแน่นอน ส่วนคนอื่นก็ไม่ต้องพูดแล้ว “เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝีมือในการรักษาของเขาเป็นอย่างไร? เชี่ยวชาญด้านไหน?” นางถามเมิ่งฟางหลิง “เจ้าเคยได้ยินเรื่องคนๆ นี้หรือไม่?”

เมิ่งฟางหลิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้หมอหลวงเถียนเคยปรึกษากับไทฮองไทเฮา ฉางเหริ่นตงเป็นคนของตระกูลฉางแห่งจินหวา ท่านหญิงอาจจะไม่เคยได้ยิน ตระกูลของพวกเขามีชื่อเสียงแถบเจียงหนานมาก บรรพบุรุษของตระกูลฉางกับบรรพบุรุษของหมอหลวงเถียนเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกัน คนหนึ่งอยู่เป็นหมอที่เจียงหนาน อีกคนเข้าสำนักหมอหลวง ฝีมือในการรักษาของพวกเขาทั้งสองตระกูลสืบทอดกันทางสายเลือด และต่างก็เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชและนรีเวช”

ทุกคนกำลังคุยกันอยู่ ชีกูก็เดินเข้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิง ข้าเจอเว่ยสู่ผู้ติดตามข้างกายนายท่าน เขารู้ว่าท่านหญิงรับประทานอาหารอยู่ที่นี่ จึงไปรายงานนายท่านแล้ว นายท่านบอกว่า เดี๋ยวเขาจะมาเยี่ยมท่าน ท่านว่าท่านจะคุยเรื่องคุณหนูจินที่นี่หรือไปคุยเรื่องคุณหนูจินในเรือนเจ้าคะ?”

ก่อนที่ชีกูจะไปพึ่งพาอาศัยหลี่เชียน นางดำรงชีวิตด้วยการแสดงศิลปะในยุทธภพ จึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมาเยอะแล้ว นางมองออกว่า ต่อให้เจียงเซี่ยนสูงศักดิ์แค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งที่ยังอายุไม่ครบสิบห้าปีเต็ม ในใจชอบหลี่เชียน แต่ก็ขี้อาย กลัวว่าคนอื่นมองออกแล้วจะหัวเราะเยาะตนเอง ดังนั้นเวลาเจอหลี่เชียนจึงระมัดระวังมาก

แน่นอนว่านางก็ต้องตามใจคนอื่น

เจียงเซี่ยนได้ยินคำพูดนี้ก็ไม่ค่อยพอใจนัก จึงเอ่ยว่า “ข้ากับนายท่านไม่มีเรื่องอะไรที่เปิดเผยไม่ได้ ทำไมจะต้องไปคุยกันในเรือนด้วย? ให้เขามาคุยแล้วกัน!”

แย่แล้ว คนนี้อย่ามาเลยดีกว่า

นางก็ยังคงเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดิมว่า “ข้าจะไปบอกเว่ยสู่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

สายตาของเจียงเซี่ยนจับจ้องไปที่รายการอาหาร และพยักหน้าอย่างเหม่อลอย

ชีกูเดินออกจากห้องส่วนตัวไปอย่างแผ่วเบา

ไม่นาน อาหารก็เริ่มมา

หลี่เชียนมาแล้ว

เขาสวมเสื้อคลุมยาวลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนซ้อนกันประหลาดๆ หน้าแดง แต่สายตากลับสดใสและชัดเจน มองออกได้ว่าแม้เขาจะดื่มสุราไปไม่น้อย ทว่ายังไม่เมาแม้แต่นิดเดียว พอเข้ามาข้างในก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมเจ้าถึงว่างมากินข้าวที่หมู่บ้านจี่หนานได้? สั่งอาหารเรียบร้อยหรือยัง? ที่ร้านของพวกเขามี ‘ไก่สามถ้วย’ ที่ทำอร่อยมาก ครั้งที่แล้วที่ข้ามากินก็เอากลับไปให้เจ้าชุดหนึ่ง สุดท้ายถูกท่านพี่แย่งไปก่อนระหว่างทาง หลังจากนั้นพวกเราหมั้นหมายและมอบสินสอด ยุ่งจนหัวหมุน ข้าจึงพักเรื่องนี้ไปก่อน”

เขาไม่เอ่ยด้วยซ้ำว่าทำไมเจียงเซี่ยนที่เดิมทีควรจะรอแต่งงานอยู่ในห้องถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้?

“อ้อ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “ข้ามีโอกาสค่อยมาลองแล้วกัน! วันนี้ข้ามาหาเจ้าเพราะมีธุระนิดหน่อย พวกเราไปคุยกันในเรือนเล็กเถอะ”

นางรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

ชายหญิงล้วนมีธรรมเนียมปฏิบัติ ตอนที่หลี่เชียนเข้ามา พวกไป๋ซู่ต้องหลบไป และห้องส่วนตัวนี้ก็ไม่ได้ใหญ่นัก ตรงมุมกำแพงมีฉากกั้นที่ใช้สำหรับตกแต่งบานหนึ่ง พวกไป๋ซู่จึงจำเป็นต้องไปหลบอยู่ในมุมเล็กๆ หลังฉากกั้นนั้น

แม่นมเมิ่งก็บอกว่าหลังฉากกั้นเบียดกันเกินไปแล้ว…

ที่บอกไว้ว่านางกับหลี่เชียนจะคุยกันที่นี่ สุดท้ายจึงยังต้องไปที่เรือนเล็กอยู่ดี…ตอบรับคำพูดของหลิวตงเยว่ และถูกใจเมิ่งฟางหลิง

หลี่เชียนไม่ได้เจอเจียงเซี่ยนมาหลายวันแล้ว

เขามองเจียงเซี่ยนอย่างละเอียด สายตาร้อนแรงจนคล้ายกับดวงอาทิตย์ที่ร้อนแผดเผา

นางสวมเสื้อกั๊กยาวสีกุหลาบแดงทอด้วยไหมทอง กระโปรงแปดจีบสีเขียวขจีลายกิ่งดอกไม้ ผิวขาวเกลี้ยงเกลาราวกับหิมะ คางเล็กที่เดิมทีแหลมเล็กน้อยอิ่มเอิบและน่ารัก แสดงว่าในช่วงที่เขาไม่อยู่นางกินดีอยู่ดี จนอ้วนขึ้นมาหลายจิน

ทว่าสีหน้าของนางในวันนี้ดูไม่ค่อยสบายใจนัก เพราะหลายวันนี้ถูกใครรังแกหรือเปล่า?

เขากดความสงสัยลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจ เห็นในห้องนอกจากชีกูที่คอยดูแลเรื่องน้ำชาให้อยู่ข้างๆ แล้วก็ไม่เห็นใครอีก

จึงรู้ว่าคนที่ตามเจียงเซี่ยนออกมาพากันไปหลบอยู่หลังฉากกั้นของห้องส่วนตัวแล้ว

เขาไม่ชอบที่มีคนแอบมองเวลาเขากับเจียงเซี่ยนอยู่ด้วยกัน

หลี่เชียนอมยิ้มและตอบตกลง แล้วไปยังเรือนเล็กที่อยู่ด้านหลังกับเจียงเซี่ยน

หลังเรือนเล็กปลูกไผ่เหมาจู๋ไว้แถวหนึ่ง หน้าไผ่เหมาจู๋มีโต๊ะหินกับม้าหินอยู่ชุดหนึ่ง

หลี่เชียนนึกถึงที่เจียงเซี่ยนคลอดก่อนกำหนดตั้งแต่เด็ก จึงสั่งให้ชีกูไปหาเบาะรองนั่งมาอันหนึ่ง รองให้เจียงเซี่ยนและนั่งลง เขาถึงถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

“จินเซียวยังอยู่ในงานเลี้ยงหรือไม่?” เจียงเซี่ยนถามอย่างไม่สบอารมณ์

หรือว่าเป่าหนิงรู้ว่าจินเซียวช่วยเขาแล้วจะมาคิดบัญชีกับจินเซียวอย่างนั้นหรือ?

เขายิ้มและเอ่ยว่า “เขายังไม่กลับ! แต่เซ่าเจียงกับเซ่าหยางก็อยู่ด้วย แล้วก็ยังมีลูกชายสองคนของเจ้าเมืองจ้าวกับลูกชายของผู้บัญชาการเฉิงด้วย…”

“ทำไมเจ้าถึงน่ารำคาญขนาดนี้!” เจียงเซี่ยนเอ่ยแทรกคำพูดของหลี่เชียนในทันใด นางนึกถึงที่ตนเองถูกพี่น้องสกุลฉีหัวเราะเยาะเพราะเขา แล้วก็โมโหขึ้นมา “มีอะไรก็พูดดีๆ ไม่ได้หรือ? เจ้าไม่อยากให้ข้าหาเรื่องจินเซียว เจ้าก็บอกมาตรงๆ เอ่ยถึงพี่น้องสกุลเซ่ากับลูกชายของเจ้าเมืองจ้าวทำไม? กลัวว่าข้าจะไม่ไว้หน้าจินเซียวและทำให้เจ้าเสียหน้าหรือ?”

หลี่เชียนอดลอบถอนหายใจไม่ได้

แค่นี้นางก็โมโหขึ้นมาแล้ว หากเขาพูดความจริง นางจะไม่ฉีกเขาอย่างนั้นหรือ?

ทว่าเขามั่นใจมากขึ้นแล้วว่าเจียงเซี่ยนมาหาเรื่องจินเซียว