ตอนที่ 7 ห้าด่านวรยุทธ์

ฟางผิงที่มีความคิดหาเงินอยู่เต็มสมอง ไม่นานก็ถูกความจริงโค่นล้มอีกครั้ง

ตอนที่ออกจากประตู ฟางหยวนนั้นรออยู่ที่ด้านนอกประตูนานแล้ว

ชั่วพริบตาที่เห็นฟางผิงออกมา ฟางหยวนก็พูดอย่างขมขื่น “หิวแล้ว!”

“หิวก็กินข้าวสิ?”

ฟางผิงพูดอย่างปกติ ด้านฟางหยวนฟองลมแก้ม เอ่ยอย่างหงุดหงิด “ไม่มีเงิน ในบ้านก็ไม่มีข้าวเหลือแล้ว”

“เงินห้าสิบหยวนที่แม่ให้วันก่อน เป็นเงินข้าวกลางวันสามวันของพวกเรา ตอนนี้เงินอยู่ที่นายหมดแล้ว กินข้าวได้ที่ไหนกันล่ะ?”

“ยังต้องใช้เงินนี้กินช้าวอีก?” ฟางผิงราวกับถูกทุบหัว เอ่ยกะอึกกะอัก “เมื่อเช้าเธอไม่ได้พูดเรื่องนี้เสียหน่อย?”

ตอนที่ซื้อเนื้อย่างเสียบไม้ให้ เจ้าหนูนี่ก็กินอย่างสุขใจ!

ไม่อย่างนั้นฟางผิงคงไม่เอาเงินสิบหยวนที่เหลือให้เธอใช้หรอก

จนถึงตอนนี้ ฟางผิงจึงค่อยรู้ว่า เงินนั้นรวมอยู่ในเงินอาหารกลางวันของวันนี้ด้วย

ประเด็นสำคัญคือ ยามนี้เขามีเงินติดตัวสิบหยวน เจ้าหนูนี้มีเงินที่ไม่ได้ใช้ห้าหยวน หรือเธอคิดจะกินจนตัวเองหมดเนื้อหมดตัวกัน?

เรื่องก็ไม่ต่างจากที่คาดนัก ฟางหยวนเอ่ยตามปกติ “กินข้าวก็ต้องใช้เงินสิ เงินเอาให้นายไปหมดแล้ว ฉันจะห่วงเรื่องกินข้าวทำไม ฟางผิง ฉันหิวแล้ว จะบ่ายโมงแล้ว ฉันจะกินข้าว!”

“ฮ่าๆ!”

“ฟางผิง ฉัวหิวมากๆ เลย หิวจนเดินไม่ไหวแล้ว…” ฟางหยวนกุมท้องตัวเอง เริ่มเล่นบทโศกขึ้นมา

ฟางผิงจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก ยื่นมือไปบิดแก้มเธอ เอ่ยอย่างจนใจ

“ไป ไปกินข้าว ฉันยังคิดว่าฉันใช้เงินค่าขนมของเธอไปจริงๆ ที่แท้ก็เป็นเงินค่าข้าว ฉันลืมเรื่องนี้ไป เธอกลับจำได้ชัดเจน นี่เธอวางแผนกับพี่ชายขนาดนี้เชียว? เงื่อนไขก่อนหน้านี้เป็นโมฆะไปแล้วกัน…”

“ไม่เอา!” ฟางหยวนรีบส่ายศีรษะ สีหน้ามีแต่ความเสียดาย สักพักค่อยควักเงินห้าหยวนของตัวเองออกมา เอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ “เอานี่ไป นายบอกว่าจะซื้อของอร่อย จะซื้อเสื้อผ้า คอมพิวเตอร์ให้ฉัน…ห้ามผิดคำพูด”

แม้จะชอบทะเลาะกับฟางผิง แต่ความจริงฟางหยวนกลับมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ชายคนนี้

ในเมื่อฟางผิงกล่าวว่าภายหลังจะซื้อของอร่อยๆ ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ให้เธอ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่เด็กสาวยังคงคาดหวัง เมื่อฟางผิงจบมหาวิทยาลัยต้องทำได้แน่

เพื่ออนาคตที่จะมาถึง ฟางหยวนจึงตัดสินใจอุทิศทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเองออกมา อย่างไรตอนเช้าเธอก็ใช้เงินห้าหยวนของฟางผิงไป

สาวน้อยดีดลูกคิดคำนวณเสียงดัง ฟางผิงทั้งขบขันทั้งจนใจอยู่บ้าง

เพราะไม่มีเงินติดตัวสักนิด จึงไม่มีความมั่นใจสินะ

ไม่อย่างนั้น คงไม่ทะเลาะกับเจ้าหนูนี้เพราะเงินไม่กี่หยวนหรอก

หลังจากกินข้าวกลับมา ฟางผิงก็สิ้นเนื้อประดาตัวจริงๆ หากว่าเงินหนึ่งหมื่นไม่ใช้ในการสมัครสอบ เขาคงยังจะเป็นเถ้าแก่น้อย

ดีที่ตอนกลางวันสองพี่น้องกินอาหารง่ายๆ คนละห้าหยวน จึงรวมกันเป็นสิบหยวนพอดี

เงินห้าหยวนของสาวน้อย ฟางผิงทำใจใช้ไม่ได้ ขึ้นมัธยมต้นแล้ว เด็กผู้หญิงต้องมีเงินติดกระเป๋าไว้บ้าง

ไม่มีเงิน ตอนบ่ายสองพี่น้องจึงไม่มีใจจะไปเที่ยวเล่นข้างนอก

พูดให้เห็นภาพก็คือ หากฟางผิงไม่เอาเงินหนึ่งหมื่นหยวนมาด้วย ระหว่างทางเกิดปวดฉี่ขึ้นมา ต้องจ่ายค่าเข้าห้องน้ำก็คงไม่ได้เข้าแล้ว

ฟางหยวนยังมีการบ้านที่ต้องทำ รู้ดีว่าพี่ชายจนอย่างยิ่ง จึงไม่ได้สร้างความลำบากใจต่อ กลับไปทำการบ้านที่ห้องแต่โดยดี

ด้านฟางผิงก็เข้าไปในห้องตัวเอง ร่างแผนในอนาคตขึ้นมา

ตอนนี้ในสมองของฟางผิงมีเพียงเรื่องใหญ่สองเรื่อง เรื่องแรก เตรียมสอบวรยุทธ์ เรื่องที่สอง หาเงิน

ยกระดับฐานะของครอบครัวถือเป็นเรื่องรอง เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน

ประเด็นอยู่ที่แม้จะไม่มีเงิน เขาก็อาจจะมีโอกาสเรียนวรยุทธ์ได้

แม้ว่าระบบนี้จะไม่ค่อยน่าเชื่อถือ แต่ฟางผิงคิดว่า หากตัวเองไม่อาจสอบเข้ามหาวิทยาลัยสายวรยุทธ์ ในอนาคตก็ยังสามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อยู่ดี

แต่ปัญหาคือ ผู้ฝึกยุทธ์ต้องมีลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างเดียวหรือ?

การฝึกพลังล่ะ?

ทำอย่างไรถึงจะฝึกฝนร่างกายให้ทะลุขีดจำกัดได้?

ฟางผิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ไม่มีวิชาที่สอน ใครจะรู้ว่าเมื่อใดถึงจะเรียนรู้เรื่องพวกนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเกาเข่าเป็นทางลัดที่เร็วที่สุด

เขาจึงจำเป็นต้องวางแผนกับเรื่องพวกนี้สักหน่อย

บ่ายสามโมงกว่า แม่ก็กลับมาพร้อมกับข้าวเย็นที่ซื้อจากข้างนอก

กล่าวว่าทำงานครึ่งวัน ความเป็นจริงกลับทำงานเกือบแปดชั่วโมง ไม่ได้สบายอย่างที่คนอื่นคิด

ฟางผิงคืนบัตรเอทีเอ็มให้เธอ ทั้งยังโชว์เงินหนึ่งหมื่นหยวน หลี่อวี้อิงไม่รับไว้ ให้ฟางผิงเป็นคนไปจ่ายค่าสมัครในวันพรุ่งนี้เอง

คล้ายจะรู้ว่าลูกๆ ไม่มีเงิน หลี่อวี้อิงจึงให้เงินค่าข้าวฟางผิงห้าสิบหยวน

อาจเพราะเป็นห่วงลูกสาว ทั้งกลัวว่าจะถูกลูกชายละเลย ครั้งนี้หลี่อวี้อิงยังให้เงินฟางหยวนยี่สิบหยวนอีกต่างหาก เด็กสาวได้เงินมาก็ยิ้มปากไม่หุบ

ฟางผิงอยากบอกแม่ตัวเองอย่างยิ่ง ละเลยเจ้าหนูนั่นที่ไหนกัน มีแต่เจ้าหนูนั้นฉลาดเป็นกรด หลอกเอาเงินพี่ชาย!

วันจันทร์ที่ 7 เดือนเมษายน

ฟางผิงที่สับสนงุนงงในวันก่อน ไปโรงเรียนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

เฉินฝานที่นั่งด้านข้าง มาเช้ากว่าฟางผิงเสียอีก

ตอนที่ฟางผิงไปถึง เฉินฝานก็ทำแบบทดสอบที่อยู่ด้านหน้าเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพิ่งมาทำเช้านี้หรือทำล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

เฉินฝานไม่สอบวรยุทธ์ ย่อมสนใจกับการสอบสายสังคม

สอบวรยุทธ์ไม่ได้ สอบสายสังคมในมหาวิทยาลัยดีๆ เรียนจบแล้วก็ได้รับความสนใจกว่านักเรียนสายสังคมในมหาวิทยาลัยธรรมดาอยู่มากโข

เมื่อเห็นฟางผิง เฉินฝานก็วางปากกา เงยหน้าเอ่ย “ฟางผิง ข้อสอบคณิตศาสตร์ที่อาจารย์แจกให้วันก่อนทำเสร็จหรือยัง? พวกเรามาเทียบคำตอบกัน”

“หา?”

ฟางผิงหัวเราะแห้งๆ ใครจะรู้ว่าตัวเองทำหรือไม่ทำ แจกเมื่อวันก่อน สองวันนี้ตัวเองไม่ได้แตะต้องกระเป๋าแม้แต่น้อย คงจะมีแต่ผีเท่านั้นที่รู้

เฉินฝานเห็นเช่นนี้ก็เดาได้คร่าวๆ อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ฟางผิง เกาเข่าใกล้เข้ามาแล้ว แม้ว่าตอนนี้พวกเราไม่มีคาบเรียนอะไรก็ต้องฝึกทำข้อสอบเป็นหลัก ฝึกทำให้มากหน่อย ไม่แน่ว่าจะออกในข้อสอบเกาเข่าก็ได้?”

“ใช่ๆๆ เสี่ยวฝานฝานพูดไม่ผิด หลายวันนี้ฉันเวียนหัวนิดหน่อย กลับไปจะทำ”

“นาย…”

เฉินฝานจนใจอยู่บ้าน ไม่ใช่เพราะคำเรียกของฟางผิง เจ้าหมอนี่ไม่ได้เรียกตัวเองแบบนี้เป็นครั้งแรก

เขามักรู้สึกว่า ฟางผิงทำตามใจตัวเองอยู่บ้าง

สังคมนี้ แม้ว่าตำแหน่งของผู้ฝึกยุทธ์จะสูงกว่าคนทั่วไปขั้นหนึ่ง แต่คนธรรมดาก็มีการแบ่งแยกลำดับชั้นเช่นกัน

มีเงิน ยากไร้ มีอำนาจเล็กน้อย ทำงานให้คนอื่น ทำงานในบริษัทใหญ่ ทำงานในโรงงาน…

คนพวกนี้ล้วนได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

โรงเรียนมัธยมหยางเฉิงอันดับหนึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดในเมืองหยางเฉิง ในห้องเรียนมัธยมปลายปีสามห้องสี่ คะแนนของฟางผิงไม่ได้สูงมาก แต่ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน

ขยันอีกสักหน่อย สอบเข้ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ หน่อยใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

หากโชคทำงานหน่อย หลังจากพวกนักเรียนหัวกะทิสมัครสอบวรยุทธ์ไปแล้ว สอบมหาวิทยาลัยชั้นนำก็ยังมีหวัง

แต่หากยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ อย่าพูดว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำเลย แค่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ก็ยังแทบสุ่มเสี่ยง

เฉินฝานนั่งข้างฟางผิงมาสองปีแล้ว รู้ว่าสถานการณ์ทางบ้านของฟางผิงไม่แตกต่างจากเขานัก

ถึงกระทั่งฐานะบ้านของฟางผิงยังแย่กว่าเขาอยู่บ้าง อย่างไรค่าเทอมของเด็กสองคนก็มากกว่าครอบครัวของเขาอยู่ดี

เขาอยากพูดอะไรเสียหน่อย แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ตรงปาก กลับกลืนเข้าไป อย่างไรฟางผิงก็เพิ่งมาขี้เกียจสองวันนี้

ขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน หยางเจี้ยน ผู้ที่จะไว้หนวดในอนาคต ก็หันศีรษะมาจากที่นั่งด้านหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ฟางผิง เฉินฝาน เห็นข่าวใหม่หรือยัง?”

ฟางผิงกลอกตาไปที ผู้ชายไว้หนวดเคราอย่างนาย สนใจข่าวซุบซิบกับเขาด้วยหรือไง

เฉินฝานก็คร้านจะต่อบทสนทนา มีเวลาว่างทำข้อสอบยังดีกว่า ใครจะมีเวลามาดูข่าว

หยางเจี้ยนก็ไม่ได้สนใจจะเอาคำตอบจากพวกเขา เอ่ยทั้งหัวเราะ “ในเน็ตมีข่าวออกมาว่า การประลองของปรมาจารย์หม่าและแทม จะมีในปลายเดือนนี้ ทั้งยังปล่อยสถานที่ประลองออกมา อยู่ที่ประเทศของเรานี่เอง! ตอนนี้มีนักข่าวหลายคนคอยติดตาม ไม่แน่ว่าถึงเวลานั้นอาจจะมีคลิปวิดีโอให้ดูก็ได้…”

หยางเจี้ยนคุยอย่างออกรส การประลองของปรมาจารย์ขั้นแปด แม้ว่าจะพบเห็นได้น้อย เมื่อก่อนก็มีให้เห็นอยู่บ้าง แต่เพราะพวกเขาอายุยังน้อย จำรายละเอียดไม่ได้นัก ไม่ก็ทั้งคู่ประลองกันอย่างลับๆ คนอื่นรู้เพียงผลลัพธ์ เดิมทีก็ไม่รู้ความเป็นไปเป็นมา

ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน อาจเป็นเพราะยามนี้ระบบอินเตอร์เน็ตมีความก้าวหน้า ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว

ทุกคนได้รับข่าวสารล่วงหน้า อาศัยเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะเห็นการประลองแบบวิดีโอก็ได้

เมื่อปล่อยข่าวเรื่องการประลองของพี่หม่าแล้ว หยางเจี้ยนก็เบี่ยงไปหัวข้ออื่นอย่างรวดเร็ว พูดถึงสิ่งที่ตัวเองแบกไว้บนหัว “วันนี้การสมัครสอบวรยุทธ์เริ่มต้นแล้ว พ่อฉันพูดว่า จะใช้เงินเยอะเท่าไรก็ต้องสอบ พวกเราตระกูลหยาง ฝากความหวังไว้ที่การสอบวรยุทธ์ของฉัน เฮ้อ แรงกดดันเยอะจริงๆ หากสอบไม่ผ่านขึ้นมา พวกนายว่าจะทำยังไง?”

ฟางผิงเอ่ยสัพหยอก “ฉันกำลังคิดว่านี่นายกำลังอวด หรือกำลังอวดกันแน่?”

หยางเจี้ยนยิ้มอย่างไร้เดียงสา ส่ายหน้าพัลวัน “ไม่ได้อวด กดดันจริงๆ พวกนายไม่รู้สถานการณ์ของฉันเสียหน่อย สอบวรยุทธ์มีตั้งห้าด่าน ผ่านสามด่านได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เรื่องอื่นหมิ่นเหม่อยู่จริงๆ”

“สอบวรยุทธ์ห้าด่าน?”

เดิมทีฟางผิงไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาของหยางเจี้ยนนัก

แต่ยามนี้ ฟางผิงกลับตาเป็นประกาย

————————–