ตอนที่ 219 หมาป่าก็หลอกเป็นเหมือนกัน

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หนึ่งวันต่อมา เจี่ยงซงกลับมาบ้าน พอเข้ามาก็เห็นหวงเกาหลันนั่งอยู่บนเตียง ข้างๆ มีตำรวจนั่งอยู่นายหนึ่ง เจี่ยงซงตะลึงงัน ก่อนเข้ามานั่งข้างหวงเกาหลัน ดึงภรรยาพลางว่า “ไม่ว่าจะกี่ปีฉันก็จะรอเธอ เธอไปแล้วฉันจะไม่แต่งงาน จะรอเธอตลอดไป”

หวงเกาหลันมองเจี่ยงซงแล้วขยับเข้าไปใกล้ สัมผัสอ้อมกอดอบอุ่นของเขา ถามว่า “คุณรู้นานแล้วใช่ไหม? หลายปีมานี้ที่ฉันเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงแบบนี้ ทำไมถึงไม่หย่ากับฉันล่ะ? คุณมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้นี่”

เจี่ยงซงกอดหวงเกาหลัน “เด็กโง่ เด็กละเมอกลางดึก ฉันรู้ตั้งนานแล้ว แต่เธอเป็นภรรยาฉันนี่นะ! ฉันส่งเธอให้ตำรวจไม่ได้ ได้แต่ขอโทษเว่ยซูเฉียวที่ตายไป แต่หวังมาตลอดว่าจะมีวันนี้ วันที่เธอเข้าใจทุกอย่าง กลับมาเป็นเธอคนเดิม ไม่ได้มีชีวิตเหมือนคนไร้วิญญาณ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง…”

หวงเกาหลันร้องไห้ ที่แท้เจี่ยงซงก็รักเธอมาตลอด ตอนนี้เธอพอใจแล้ว

คืนนั้น หวงเกาหลันกับเจี่ยงซงทำเรื่องที่คู่แต่งงานใหม่ทำกันเป็นครั้งแรก

เมื่อหวงเกาหลันไปสถานีตำรวจ เจี่ยงซงก็ลาออกจากงานกลับมาอยู่บ้าน ทำความสะอาดบ้านทุกวันเหมือนตอนที่หวงเกาหลันอยู่บ้านทุกประการ…

สุดท้ายหวงเกาหลันหาตัวเองพบ แม้จะเข้าคุกไป แต่ด้วยความที่สารภาพเอง บอกขั้นตอนทุกอย่าง แถมยังกลับใจแล้ว ศาลจึงตัดสินลงโทษสิบแปดปี จากนั้นสองเดือนต่อมา หวงเกาหลันพบว่าตัวเองตั้งครรภ์…

แต่นั่นคือเรื่องราวหลังจากนี้ ในเวลานี้ ฟางเจิ้งกำลังถือจอบเล็กพาหมาป่า ลิง และกระรอกมาขุดผักป่าริมแม่น้ำ เมื่อสภาพอากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่จึงไม่ได้มีเพียงหน่อหลิ่วเฮา แต่มีต้นแดนดิไลออนเพิ่มมา ชื่อทางวิชาการของมันเรียกว่าผูกงอิง ตอนนี้แดนดิไลออนเพิ่งงอกมาจากดิน ยังไม่โต ไม่ออกดอก ใบยังอ่อนมาก

พืชชนิดนี้เมื่อโตแล้วจะขึ้นเต็มที แต่คนที่ยอมกินมันมีไม่มาก เพราะว่ามัน…

เพราะมีประสบการณ์จากหน่อหลิ่วเฮาครั้งก่อนแล้ว ถึงกระรอก หมาป่าเดียวดาย และเจ้าลิงจะไม่รู้ว่าสิ่งนี้กินได้หรือไม่ อร่อยไหม แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา รสชาติต้องไม่เลวแน่ๆ! ดังนั้นเจ้าสามตัวนี้จึงแบ่งงานกันทำ หมาป่าเดียวดายคาบตะกร้าต่อไป กระรอกกับลิงเป็นกำลังหลักในการขุดผักป่า กระรอกเก็บหน่อหลิ่วเฮาเป็นหลัก ส่วนลิงขุดผูกงอิง

ส่วนฟางเจิ้งกำลังนั่งเล่นมือถืออยู่ใต้ต้นไม้ บางครั้งจะกวาดสายตามองเจ้าสามตัวที่ทำงานพร้อมกับเล่นไปด้วย ก่อนจะถ่ายคลิปสั้นๆ แชร์ในโซเชียลมีเดียของตัวเอง

แต่เมื่อลงไปกลับได้ยอดไลก์มาติดๆ กัน

ตอนนี้ฟางเจิ้งเพิ่งพบว่าเขาเหมือนจะมีเพื่อนเยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้ว

คอมเมนต์แรกคือหม่าเจวียน ‘ว้าว มีลิงเพิ่มมาด้วย ไต้ซือ จากนี้เปลี่ยนชื่อวัดเอกดรรชนีเป็นสวนสัตว์เถอะค่ะ’

ฟางเจิ้งถูๆ จมูก ตอบกลับว่า ‘รออาตมาไปต่อไม่ไหวจริงๆ ก่อน จะคิดเรื่องนี้ดูนะ’

แต่อวี๋กว่างเจ๋อโผล่มาจากไหนไม่รู้ ตอบทันทีทันใด ‘ไม่ต้องเปิดสวนสัตว์หรอกครับ ผมยินดีต้อนรับเจ้าสามตัวน้อยนี้เสมอ คิดค่าแรงตามดาราเลยครับ’ อวี๋กว่างเจ๋อสนใจสัตว์สามตัวนี้ของฟางเจิ้งมาตลอด ถ้าเขาไม่ได้เห็นเจ้าสามตัวนี้ของฟางเจิ้งมีชีวิตกับตาตัวเองมาก่อน ก็คงสงสัยหนักว่าเป็นตัวการ์ตูนรึเปล่า พวกมันฉลาดกันมาก! อีกทั้งสมัยนี้การถ่ายหนังอะไรแพงที่สุด? ไม่กล้าบอกว่าสเปเชียลเอฟเฟกต์แพงที่สุด แต่ก็เข้าเนื้อที่สุด แถมเป็นเงินที่จำต้องจ่าย ดังนั้นแล้วภาพยนตร์เกี่ยวกับสัตว์ในจีนจึงมีให้เห็นน้อยมาก

ทว่าสัตว์สามตัวนี้ทำให้อวี๋กว่างเจ๋อมองเห็นความหวัง ถ้าดึงพวกมันเข้ามาในกองถ่ายเขาได้…อวี๋กว่างเจ๋อเหมือนเห็นประตูใหญ่ฮอลลีวูดเปิดรอเขา เขาจึงอยากดึงสามตัวนี้มาถ่ายหนังตลอด น่าเสียดายที่ฟางเจิ้งไม่ยอม เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้

ฟางเจิ้งขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนตอบยิ้มๆ ‘ถ้าประสกทำให้พวกมันสามตัวตามไปได้ อาตมาไม่คัดค้าน’

ฟางเจิ้งพูดอย่างมั่นใจเต็มสิบ บางทีโลกข้างนอกอาจมีสิ่งของต่างๆ มากมาย แต่จะให้เจ้าสามตัวน้อยไปจากเขาเหรอ? ยาก! โลกข้างนอกมีข้าวผลึกไหม? โลกข้างนอกมีน้ำสะอาดไหม? โลกข้างนอกมีคนไหนบ้างคุยกับพวกมันได้? พวกมันอยู่กับฟางเจิ้งไม่ใช่แค่เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่มากกว่านั้นคือฟางเจิ้งมองพวกมันเป็นคน ไม่ใช่สัตว์ นี่คือความเคารพจากใจจริง เจ้าสามตัวนี้มีสติปัญญา แน่นอนว่าต้องเข้าใจว่าควรอยู่กับใครจึงจะดี

อวี๋กว่างเจ๋อเห็นแบบนั้นก็พลันเกิดความสนใจ ‘ท่านพูดแล้วนะ มีโอกาสผมจะลองแน่’

ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาไม่เข้าใจราคาค่างวดของการถ่ายหนัง คิดว่าอวี๋กว่างเจ๋อแค่พูดเล่นๆ ไปอย่างนั้น

ฟางเจิ้งคุยทางด้านนี้เสร็จ ไม่นานคอมเมนต์ก็เริ่มมาอวยกัน พวกผู้หญิงจากกองถ่ายเรื่องล่มเมืองมากันหมด คอมเมนต์กันไปต่างๆ นานา ฟางเจิ้งจึงเก็บมือถือไปอย่างเด็ดขาดแล้วไปขุดผักป่า

ทำงานอยู่หนึ่งชั่วโมงก็ได้ผักป่ามาสองตะกร้า ในที่สุดฟางเจิ้งก็พาลิง หมาป่าเดียวดาย และกระรอกขนของกลับ

กลับขึ้นเขามาแล้ว เขานำหน่อหลิ่วเฮากับผูกงอิงลวกน้ำร้อน หยิบออกมาบีบน้ำออกวางไว้ข้างๆ จากนั้นหยิบซีอิ๊วออกมาหน่อย ก็เสร็จสิ้นการเตรียมอาหารประเภทผักเขียวแบบง่ายๆ

ฟางเจิ้งชิมหน่อหลิ่วเฮาก่อนคำหนึ่ง กลิ่นหอมสดชื่นกลั้วปาก เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ ตามด้วยใบผูกงอิงอีกคำ สีหน้าฟางเจิ้งพลันแปลกไป แต่ก็ยังกลืนลงคอ แล้วอาศัยจังหวะที่เจ้าสามตัวไม่อยู่รีบดื่มน้ำบริสุทธิ์ไปอึกใหญ่ จากนั้นแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หยิบผักสดออกไปสองชาม

เจ้าสามตัวนี้อาศัยจังหวะที่ฟางเจิ้งทำอาหารออกไปเล่นที่ไหนไม่รู้

ฟางเจิ้งวางข้าวลงบนโต๊ะ หมาป่าเดียวดายได้กลิ่นจึงวิ่งกลับมาก่อน เห็นฟางเจิ้งเตรียมกินข้าวแล้วจึงคาบชามกระถางดอกไม้ของมันวิ่งมาอย่างว่าง่าย ฟางเจิ้งตักให้มันเต็มๆ ก่อนพูดยิ้มๆ “วันนี้อยากลองผักใหม่ไหม? ของดีนะ แก้ร้อนในด้วย”

พูดจบฟางเจิ้งหยิบผูกงอิงกำเล็กจิ้มซีอิ๊วแล้ววางลงในชามของหมาป่าเดียวดาย “รีบกินสิ เดี๋ยวพวกมันกลับมานายจะไม่ได้โชคดีได้กินเยอะแบบนี้นะ”

หมาป่าเดียวดายดมอยู่สักครู่ ได้กลิ่นหอมสดชื่นเล็กน้อย ที่เหลือเป็นกลิ่นซีอิ๊ว ก่อนจะมองประตูใหญ่ด้วยความระแวงแวบหนึ่ง เห็นลิงกับกระรอกยังไม่กลับมา จึงมองฟางเจิ้งด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นกัดเข้าไปคำหนึ่ง

“บรู้ว…โฮ่งๆ…” ผูกงอิงเข้าปาก หมาป่าเดียวดายกัดไปสองคำ ดวงตาพลันแดงก่ำ!

แดนดิไลออนหรือก็คือส่วนใบของต้นผูกงอิง ใบนี้เป็นยาจีน กินไปจะขมมาก ขมสุดๆ! ล้างน้ำแล้วยังขม! หมาป่าเดียวดายรู้สึกเหมือนกินผักขมกองใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะมีขนสีขาวปกคลุมไว้ เดาว่าหน้ามันคงเขียวแล้ว

เห็นท่าทีหมาป่าเดียวดาย ฟางเจิ้งก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย หลอกได้สำเร็จ!

หมาป่าเดียวดายกำลังจะคายออกก็ได้ยินเสียงลิงร้องเจี๊ยกๆ มันจึงอดทนไว้ หรี่ตาลง ทำท่าทางเหมือนกินอย่างมีความสุข ในดวงตามีน้ำตาแห่งความสุข…ซ้ำยังไหลรินลงมาเรียบร้อย

พอเจ้าลิงเข้ามาก็เห็นฟางเจิ้งกับหมาป่าเดียวดายกินข้าวแล้ว ในชามหมาป่าเดียวดายยังมีใบผักที่เก็บมาใหม่อีก จึงร้อนใจโดยพลัน มันร้องเสียงแปลกๆ พลางวิ่งเข้ามาตักข้าวเอง ก่อนจ้องชามผูกงอิงเขม็ง

ฟางเจิ้งชำเลืองตามองลิงแวบหนึ่ง “กินสิ ถ้าไม่กินจะไม่เหลือแล้วนะ”