บทที่ 261 ไม่ต้องคลายปม
“ฮั่นจุยรึ”
เฉินเฉียงปัดมือของจางหยวนออกไปพร้อมกับสายตาอาฆาตแค้นที่ฉายแววออกมายิ่งกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวกับฮั่นจุยสินะ
ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสสูงแห่งสภาสูงภาคกลางแล้วนั้นแต่กลับเห็นชีวิตของนักรบร่วมเผ่าพันธุ์เป็นต้นไม้ใบหญ้าแบบนี้ คนเช่นนี้เรียกได้ว่าไร้มโนธรรมอย่างไม่ต้องสงสัย
และยิ่งเมื่อเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของจางหยวนและพวกของตนแล้ว หัวใจของเฉินเฉียงก็ยิ่งเจ็บปวด
ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าผู้ที่แกร่งที่สุดในกองกำลังอย่างเจิ้งยี่ยังตกอยู่ในสภาพเกือบตาย
กองกำลังของพวกเขานั้นทำคุณประโยชน์ให้เผ่าพันธุ์ของตนมากตั้งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่ไอ้พวกระดับสูงนั่นกลับทำอันตรายกับกองกำลังของเขาอย่างไม่ละอายราวกับไม่ได้มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน
“จางหยวน ออกมาเดี๋ยวนี้”
มีใครบางคนตะโกนออกมาจากด้านนอกเต็นท์พักของกองกำลังเทียนเว่ย
เมื่อจางหยวนได้ยินก็ถึงกับสะดุ้ง ราวกับเขากำลังหวาดกลัวกับเจ้าของเสียงอย่างจับใจ
“เกิดห่าเหวอะไรอีก” เฉินเฉียงถามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
“กัปตัน ไม่มีอะไร ข้าแค่ออกไปสักพักเท่านั้น ท่านอย่าได้ออกไปเป็นอันขาด”
เมื่อพูดจบ จางหยวนก็รีบเปิดผ้าม่านหน้าเต็นท์พักแล้วเดินออกไป
ถึงแม้เฉินเฉียงจะอยู่ในเต็นท์ แต่ด้วยพลังจิตที่ครอบคลุมกว่าสองพันเมตรของเขานั้นย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงการพูดคุยของจางหยวนกับคนอีกคนหนึ่ง
ชายคนนั้นจ้องมองจางหยวนอย่างดูแคลนแล้วพูดออกมา “จางหยวน นายน้อยผู้สูงส่งฮั่นของเรานั้นบอกว่าถ้าพวกเจ้าไม่อยากให้คนใต้บังคับบัญชาของเจ้านั้นต้องตกตาย เจ้าก็ควรจะเอาแก่นวิญญาณของเจ้ามาแลกเม็ดยาฟื้นฟูเหล่านี้ซะ”
“องครักษ์ฉี พวกเราไม่เหลือแก่นวิญญาณแล้วจริงๆ เราใช้พวกมันแลกเม็ดยากับพวกท่านไปหมดแล้ว”
“งั้นก็ลืมยาไปซะ” องครักษ์ฉีได้เก็บเม็ดยาฟื้นฟูในทันทีแล้วเตรียมที่จะกลับไป
“อ้อ จางหยวน นายน้อยผู้สูงส่งฮั่นของพวกเรานั้นบอกว่า ในวันพรุ่งนี้เข้า ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นแนวหน้า ให้พวกเจ้านั้นเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีมนุษย์กลายพันธุ์ซะ”
“หากเจ้ากล้าขัดคำสั่งล่ะก็ เตรียมที่จะรับการลงโทษตามกฎของกองทัพได้เลย เหอะ”
เมื่อเห็นองครักษ์ฉีกลับเต็นท์หลักไปแล้ว จางหยวนก็ได้กลับเข้าเต็นท์ไป
“มันมากเกินไปแล้ว” หลังจากเจิ้งยี่กินเม็ดยาฟื้นฟูเข้าไปแล้ว อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นมาก แม้แต่เขาเองก็ยังได้ยินการสนทนาระหว่างจางหยวนและองครักษ์ฉีจึงได้คำรามออกมา
“กัปตัน พวกเราควรจะทำยังไงดี”
จางหยวนได้เดินมาหาเฉินเฉียงพลางคอตกและถามออกมา
เฉินเฉียงพูดอะไรออกมา เขาเพียงหันไปดูอาการเจิ้งยี่และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดี พรุ่งนี้เจ้าก็น่าจะหายดีแล้ว”
เจิ้งยี่ไม่ได้แสดงท่าทางใดๆออกมา ราวกับจะปล่อยให้เฉินเฉียงทำอะไรก็แล้วแต่เขา
“เจิ้งยี่ เจ้ารู้รึเปล่าว่าหลังจากที่ข้าออกจากเขตแดนจักรพรรดิแล้ว ข้าไปที่ใดมา”
เจิ้งยี่ยังคงไม่แยแส
“ข้าไปที่เกาะเทียนลี่และไปหาราชาสวรรค์”
เจิ้งยี่มีใบหน้ากระตุกในทันที
เฉินเฉียงได้พูดต่อ “แล้วเจ้ารู้รึเปล่าว่าเมื่อไปถึงแล้วสิ่งแรกที่เขาให้ทำหลังจากที่ข้าได้พบเขาแล้วคืออะไร”
“เขาให้ข้าดูดแผ่นแก่นพลังงานจากหัวของเขา”
เมื่อเจิ้งยี่ได้ยินก็เบิกตามองอย่างกว้างขวางในทันใด แม้แต่จางหยวนและคนอื่นๆเองไม่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่หูกระดิกยิบ
“ถึงแม้ว่าในตอนนั้น องครักษ์หยานจะอยู่ไม่ห่างกายราชาสวรรค์เลยแม้แต่น้อย แต่หากข้าสามารถดูดแผ่นแก่นพลังจากออกมาจากหัวราชาสวรรค์ได้ องครักษ์หยานก็สมควรจะฆ่าข้าทิ้งเสียตรงนั้น”
“แต่เมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า หากข้าสามารถฆ่าผู้อยู่ในระดับราชาได้แล้วมีหรือที่ข้าจะไม่กระทำ”
“ข้าจึงได้ทำตามคำขอของเขา”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจิ้งยี่ จางหยวน และคนอื่นๆก็แทบจะหยุดลมหายใจ ราวกับพวกเขานั้นอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง จนรู้สึกตื่นเต้นแทนเสียมิได้ และนิ่งเงียบรอฟังเฉินเฉียงพูดต่ออย่างตั้งใจ
เฉินเฉียงที่นิ่งเงียบ เมื่อเห็นท่าทางของเจิ้งยี่และคนอื่นๆแล้วนั้นก็เข้าใจได้ว่าทุกคนสนใจฟังแล้วจริงๆ จึงได้พูดต่อ “แต่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลลัพธ์ของมันคืออะไร”
“ราชาสวรรค์น่าจะต้องการลองใจกัปตัน เมื่อถึงเวลาจริงเขากลับหลบไป” เสียงตอบนี้มาจากปากของหนอนหนังสือประจำกลุ่มหรือก็คือหลู่จี้ เฉินเฉียงยิ้มเมื่อได้ยินแล้วส่ายหัวไปมาในทันที
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ราชาสวรรค์ก็เป็นถึงราชาเหนือมนุษย์ ต่อให้กัปตันทรงพลังขนาดไหนก็ไม่อาจจะดูดแผ่นแก่นพลังงานออกมาได้”
“องครักษ์หยานเข้ามาหยุดกัปตันเหรอ”
เฉินเฉียงเริ่มขำจนตัวโยนก่อนจะพูดออกมาในที่สุด
“พวกเจ้าเดาผิดแล้ว งั้นข้าบอกเลยก็แล้วกัน ไม่มีแผ่นพลังงานในหัวของราชาสวรรค์แต่อย่างใด”
“ห้ะ เป็นไปได้ยังไงกัน จะเป็น….อ้ะ เข้าใจล่ะ ราชาสวรรค์นั้นไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์แต่เป็นสายลับของเผ่าพันธุ์เราที่แฝงตัวเข้าไป”
หลู่จี้ได้พูดออกมาอีกครั้ง และนี่ทำให้ทุกคนที่ได้ยินก็คิดไปว่ามันเป็นไปได้ที่สุดแล้ว
เฉินเฉียงที่ได้ยินก็ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา หลังจากนั้นเขาได้หันหน้าไปมองเจิ้งยี่ด้วยท่าทางจริงจัง “ในตอนนั้น ข้าเองก็คิดแบบเดียวกับหลู่จี้ แต่ราชาสวรรค์นั้นกลับบอกข้าเองว่าเขานั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์ที่แท้จริง”
“เจิ้งยี่ สิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปนี้คือสิ่งที่ราชาสวรรค์บอกกับข้าด้วยตัวเขาเอง ข้าหวังว่ามันจะทำให้เจ้านั้นดีใจล่ะนะ”
เจิ้งยี่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ในทันทีที่เขาได้ยินนั้น ลูกคอของเขาก็ขยับเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดวงตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังตั้งใจฟังอย่างชัดเจนและสื่อออกมาว่า บอกมาได้แล้ว
“ราชาสวรรค์บอกข้าว่าหลังจากที่ได้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แบบมีชีวิตแล้วนั้น ยามใดก็ตามที่คนเหล่านี้บ่มเพาะไปถึงระดับราชานักรบทักษะพิเศษ แผ่นแก่นพลังงานที่อยู่ในหัวจะสลายไปอย่างสมบูรณ์และทำให้ร่างกายนั้นไม่ได้ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือแผ่นแก่นพลังงานเหล่านั้นที่หายไปนั้นจะหลอมรวมไปกับร่างกายมนุษย์ และนั่นจะทำให้เจ้านั้นกลับกลายเป็นมนุษย์ทั่วไป”
เหตุผลที่เฉินเฉียงไม่พูดออกมาว่าเจิ้งยี่สามารถกลับมาสืบทายาทหลังจากก้าวเข้าไปสู่ระดับราชาจักรพรรดิเทพสงครามนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากให้เจิ้งยี่นั้นหวังไว้ไกลเกินไป
นั่นก็เพราะระดับราชาจักรพรรดิเทพสงครามนั้นมันห่างไกลเกินไป
แน่นอนว่าหลังจากที่ได้ยินคำของเฉินเฉียง เจิ้งยี่ก็กลับมามีดวงตาที่เปล่งประกายอีกครั้ง เขาจับแขนของเฉินเฉียงและถามออกมา “เจ้าพูดความจริงรึ”
“แน่นอน” เฉินเฉียงหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ “เจ้ายังจำองครักษ์หยานได้ใช่รึเปล่า ในเขตแดนจักรพรรดินั่นน่ะเธอได้พูดออกมาว่าเธอเองก็เคยเป็นเฉกเช่นเจ้า ในตอนที่เธอนั้นกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แรกๆนั้นเธอเกลียดตัวเองที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่สุด ต่อมาภายหลัง เธอมุ่งมั่นแต่การบ่มเพาะ และนี่ทำให้เธอก้าวเข้าไปอยู่ระดับกึ่งราชาอย่างรวดเร็ว”
“เหตุผลที่องครักษ์หยานนั้นยอมรับความเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ได้นั้นเป็นเพราะราชาสวรรค์ยอมบอกเรื่องนี้กับเธอ ทำให้เธอมีความหวังในการมีชีวิตต่อไป”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เฉินเฉียงก็ไม่ต้องจะพูดต่อไปอีก
เหตุผลที่เจิ้งยี่ออกหน้าในการต่อสู้ทุกครั้งพร้อมหัวใจที่เกลียดชังนั้นเป็นเพราะตัวเขาเกลียดชังตัวเองที่เปลี่ยนไป เขาจึงทำการต่อสู้ราวกับไม่สนใจไยดีต่อชีวิตของตน ราวกับตนนั้นไม่มีอนาคตอีกต่อไป
หลังจากได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้วนั้น เฉินเฉียงเชื่อว่าเจิ้งยี่จะต้องเข้าใจมันอย่างแน่นอน
“เยี่ยม”
จางหยวนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นได้เข้าไปตบบ่าเจิ้งยี่อย่างหนัก พร้อมพยักหน้าไปมาซ้ำๆราวกับตัวเองตกอยู่ในสภาพมนุษย์กลายพันธุ์เองเสียอย่างงั้น
แต่นี่ก็ทำให้เจิ้งยี่กลับมาได้สติ
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็บอกได้ว่าเจิ้งยี่หลังจากเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยมาแล้วนั้น แสดงท่าทางออกมาด้วยบรรยากาศที่หนักอึ้งมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้ ท่าทางของเขากลับเปลี่ยนไป
ตราบใดที่เจิ้งยี่ก้าวเข้าไปสู่ระดับราชาขุนพล เจิ้งยี่จะไม่แตกต่างจากพวกเขาอีกต่อไป กับพี่น้องที่ดีแบบนี้มีหรือที่เขาจะไม่ดีใจด้วย
และนี่ทำให้ทุกคนในกองกำลังมีความสุขและรีบเข้าไปแสดงความยินดีกับเจิ้งยี่ และเมื่อเจิ้งยี่ได้เห็นฉากนี้แล้ว เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะตาชื้นขึ้นมาในทันใด
เฉินเฉียงที่เห็นก็ได้พูดต่อ “ดังนั้น เจิ้งยี่ นับต่อนี้ เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเองอีกต่อไปแล้วนะ”
“หากนับจากคำพูดของราชาสวรรค์นั้น สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์กลายพันธุ์นั้นจะมีเพียงวิธีการบ่มเพาะเพียงเท่านั้น”
“มนุษย์ สามารถใช้การบ่มเพาะเคล็ดวิชาต่างๆเพื่อทำให้ตัวเองสื่อสารกับพลังฟ้าดินได้ ส่วนมนุษย์กลายพันธุ์นั้นก็ใช้เทคโนโลยีในขั้นสูงอย่างแก่นพลังงานในการเปลี่ยนยีนส์ภายในร่างให้สามารถสื่อสารกับพลังฟ้าดินได้เพียงเท่านั้น นอกจากนั้นไม่มีอะไรแตกต่างกัน”
“กัปตัน ข้าเข้าใจแล้วว่าท่านต้องการจะสื่ออะไร ข้าขอบคุณท่านจริงๆ”
เจิ้งยี่พยักหน้ารับ
หลังจากคลายปมในใจเจิ้งยี่ได้แล้ว พร้อมทั้งเปลี่ยนสามัญสำนึกของจางหยวนและพวกที่มีต่อมนุษย์กลายพันธุ์ได้สำเร็จแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พูดต่อ “เอาล่ะ จางหยวน ต่อไป เราก็มาพูดหัวข้อหลักของเราได้สักที”
จางหยวนและพวกเร่งพยักหน้ารับ และหันมามองเฉินเฉียงอย่างพร้อมเพรียง
ที่เฉินเฉียงพูดออกมานั้นถูกต้องแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการแก้ไขปัญหาที่กองกำลังกำลังเผชิญอยู่
หากฮั่นปู้เอ๋อยังคงเล่นแง่กับกองกำลังของพวกเขาแบบนี้ พวกเขาจะต้องตกตายในวันพรุ่งนี้
“จางหยวน คืนนี้ พวกเจ้าทุกคนต้องฟื้นฟูร่างกายและบ่มเพาะไปพร้อมๆกัน ข้าเชื่อว่าหลังจากต่อสู้กันมาถี่ๆแบบนี้ พวกเจ้าทุกคนนั้นอีกไม่นานจะต้องก้าวข้ามการบ่มเพาะในเวลาอันใกล้ ไม่ต้องกังวลเรื่องแผ่นพลังงาน พวกเจ้าสามารถใช้ของข้าได้เท่าที่ต้องการ”
“พรุ่งนี้เข้าพวกเราจะโจมตีมนุษย์กลายพันธุ์ตามคำสั่งของฮั่นปู้เอ๋อ”
“แต่ตอนที่จะออกไปสู้รบนั้น พวกเจ้าต้องทำท่าราวกับยังเจ็บหนักอยู่”
จางหยวนเมื่อได้ยินก็ถามออกมาอย่างสงสัย “กัปตัน ฮั่นปู้เอ๋อนั้นต้องการฆ่าเราชัดๆ แล้วพวกเราจะช่วยเขาอีกทำไมกัน”
“ไม่สู้เราหนีไปตั้งแต่คืนนี้ไม่ดีกว่าเหรอ”
กัวเหลียง หลางซานเอ๋อและคนอื่นๆพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นไม่อยากทำงานให้ฮั่นปู้เอ๋ออีก
“แน่นอนว่าเราต้องจากไป”
“แต่หากเราอยู่ๆไปเลยนั้นข้าก็อดไม่ได้ที่จะค้างคาใจกับสิ่งที่พวกมันทำกับพวกเจ้า”
“แม้พวกเราจะจากไป แต่พวกเราก็ต้องแก้แค้นให้หนำใจซะก่อน”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ชวนขนพองสยองเกล้าของเฉินเฉียงในตอนนี้ จางหยวนก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นระรัวจนต้องกล่าวเตือนเฉินเฉียงอีกครั้ง “เฉินเฉียง ความคิดของเจ้าอันตรายไปรึเปล่า ยังไงซะฮั่นปู้เอ๋อมันก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเรา พวกเราไม่ควรจะทำลายพวกเดียวกันเองเพียงเพราะแค้นส่วนตัว”
“อีกอย่างคือพ่อของมันก็คือผู้อาวุโสสูงของภาคกลาง หากเราทำเกินไปแล้วจนทำให้ต้องเผชิญหน้ากับราชาขุนพลเลยนะ ดีไม่ดีอาจถูกกล่าวหาว่าทำร้ายพวกเดียวกันอีก”
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาในทันทีที่ได้ยิน และพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “จางหยวน เจ้ากล่าวผิดแล้ว”
“จางหยวนที่ข้ารู้จักนั้นนอกจากเป็นชายที่แข็งแกร่งแล้วยังเป็นคนที่ตรงไปตรงมา”
“แล้วชายคนนั้นมันหายหัวไปไหนแล้วกัน”
“ขนาดโดนข่มเหงจนจะตายห่ากันหมดแล้วยังทำเพียงคิดจะวิ่งหนีเนี่ยนะ กับเรื่องแบบนี้แล้วไม่ใช่สิ่งที่ข้า นายพลแห่งกองกำลังเทียนเว่ยควรจะอดทนไว้ได้”
“ในตอนนี้แม้จะมีอีกหลายเรื่องที่ข้ายังไม่อาจบอกพวกเจ้าได้ แต่หลังจากผ่านวิกฤตในครั้งนี้แล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้พวกเจ้าฟัง รวมถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเขตแดนจักรพรรดิด้วย โดยเฉพาะเรื่องบันไดสู่สรวงสวรรค์”
“บันไดสู่สรวงสวรรค์….เหรอ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเฉียงคิดจะบอกกว่าในเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นคนในกองกำลังของตนนั้นมีชีวิตอยู่อย่างดิ้นรนไปวันๆแบบนี้แล้ว เขาจึงคิดใช้เรื่องนี้จุดประกายความต้องการอยู่รอดของทุกคน
เช้าวันถัดมา เฉินเฉียงได้ดำดินลงไป และติดตามจางหยวนและพวกเข้าร่วมสงคราม
จางหยวนและพวกนั้นพักอาศัยอยู่นอกพื้นที่ต้องของที่พักอยู่แล้ว หลังจากที่พวกเขาออกไปกว่าชั่วโมง กองกำลังหลักก็เริ่มเคลื่อนไหว
ในตอนนี้มีผู้ชายที่ท่าทางทะมัดทะแมงแปดคนได้แบกเกี้ยวเดินตรงไปที่จางหยวน บนเกี้ยวนั้นมีร่างกายที่สะโอดสะองของชายหนุ่มวับยี่สิบปีได้นั่งตรงกลางระหว่างคนทั้งแปด ระดับการบ่มเพาะของเขาอยู่เพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่กลับวางท่าราวกับราชาทรงบัลลังก์
โดยไม่ต้องพูดอีก ชายคนนี้คือลูกชายคนเล็กของฮั่นจุย ฮั่นปุ้ยเอ๋อ
เมื่อเกี่ยวได้หยุดอยู่ห่างจากกองกำลังเทียนเว่ยที่ระยะห้าสิบเมตร ฮั่นปุ้ยเอ๋อก็ได้สะบัดพัดของตนอย่างสะโอดสะอง ก่อนจะโบกพักให้องครักษ์ฉีเข้ามาหาและฟังคำสั่งของฮั่นปู้เอ๋อ หลังจากนั้นเขาจึงเดินไปยังกองกำลังเทียนเว่ย
“จางหยวน นายน้อยฮั่นผู้สูงส่งได้บอกมาว่าให้พวกเจ้านั้นเปิดทางให้กองกำลังของพวกเราในวันนี้”
“รับคำสั่ง”
จางหยวนได้ตอบกลับโดยไม่มีท่าทีใดๆก่อนจะหันกลับหลังและพาคนในกองกำลังที่กำลังช่วยกันพยุงกันและกันเข้าสู่สงคราม
เมื่อจางหยวนและพวกจากไปแล้ว ฮั่นปู้เอ๋อยังคงอยู่ที่เดิมไม่จากไปไหน
“นายน้อยฮั่น ข้าเกรงว่าไอ้พวกจางหยวนนั้นในครั้งนี้คงไม่ได้กลับมาแล้ว ในตอนที่ออกมาจากเขตแดนจักรพรรดินั้นพวกมันทำให้ท่านจ้าวลี่เสียหน้ามากนัก ในวันนี้ท่านได้ล้างอายระบายความโกรธของท่านจ้าวลี่แล้ว”
ฮั่นปู้เอ๋อได้เหลือบมองไปยังองครักษ์ฉีปราดหนึ่งก่อนจะพูดออกมาอย่างดูแคลน “จ้าวลี่มันคือผู้ใดกัน”
“ไม่ใช่ว่ามันแค่ต้องการความดีความชอบจากพ่อของข้าจึงให้ข้ามาเป็นกัปตันกององครักษ์ของจิ้งชวนนี้หรอกรึ”
“ไอ้เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมันแต่อย่างใด หากไม่ใช่เพราะจ้าวลี่มันบอกว่าไอ้สิบสองคนนี้เก็บของดีมาไว้มากมายอย่างแก่นวิญญาณนับล้านก้อนล่ะก็ พวกมันก็ไม่ได้มีสิ่งใดให้ข้าได้ชายตาแลมองเลยแม้แต่น้อย”
“แต่ก็นะในเมื่อพวกมันไม่ได้รับการรักษาเมื่อคืนนี้ พวกมันก็คงจะตกตายในเงื้อมมือมนุษย์กลายพันธุ์ในวันนี้จริงๆล่ะนะ”
“ฉีน้อย บอกให้กองกำลังหลักติดตามมันไปย่างช้าๆ เมื่อใดก็ตามที่พวกมันทั้งสิบสองตกตาย ให้กองกำลังหลักลงมือ แล้วก็บอกไอ้จ้าวลี่ด้วยว่าข้าให้เจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลานับจากนี้เป็นต้นไป”
องครักษ์ฉีเมื่อได้ยินก็แสดงออกมาอย่างยินดีแล้วรีบพูดออกมา “ขอขอบคุณ นายน้อยผู้สูงส่งฮั่นที่เมตตาผู้นี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของฮั่นปู้เอ๋อ เฉินเฉียงที่ดำดินอยู่ก็เข้าใจได้ทันทีว่าหลุมพรางในครั้งนี้เป็นสิ่งที่จ้าวลี่ต้องการ
และแน่นอนว่าเรื่องนี้พวกมันต้องการให้จางหยวนและคนอื่นๆตกตายในน้ำมือของมนุษย์กลายพันธุ์ถึงจะเลิกรา
ถึงแม้ว่าจางหยวนนั้นจะต่อสู้อย่างหนักด้วยความเชื่อที่ว่าเขานั้นกำลังสร้างเกียรติยศให้เผ่าพันธุ์ ต่อให้ต้องสละชีวิตก็ยินดี แต่หากว่าจางหยวนและพวกได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขาจะคิดยังไงอีก เขาจะรู้สึกเสียใจขนาดไหนกันนะ
เผ่าพันธุ์มนุษย์และพวกพ้องที่ตนเองต่อสู้เพื่อปกป้องมาโดยตลอด กลับเป็นฝ่ายผลักดันพวกเขาเข้ากองเพลิงเสียเอง
“จางหยวน ตามข้ามา”
เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้พาจางหยวนและพวกดำดินไปห่างไกลจากสนามรบร่วมสองร้อยไมล์
เมื่อได้พาทุกคนขึ้นไปบนพื้นดิน เฉินเฉียงก็ได้ออกคำสั่ง “จางหยวน พวกเจ้ารออยู่นี่ก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
เมื่อเห็นเฉินเฉียงกำลังจกจากไป จางหยวนได้รีบเข้าไปรั้งเขาไว้แล้วถามออกมา “กัปตัน ท่านจะทำอะไร”
“ฆ่า”
เมื่อได้ยินคำพูดที่เย็นยะเยียบของเฉินเฉียงก็ทำให้ทุกคนในกองกำลังต้องถึงกับเหงื่อตกในทันที
“กัปตัน”
แต่เพียงจางหยวนได้ตะโกนออกมา เฉินเฉียงก็หายไป
“แม่…เอ๊ย ไอ้กัปตันเฮงซวย นี่มันจะเกินไปแล้ว” จางหยวนได้กระทืบเท้าไปยังจุดที่เฉินเฉียงหายไปและแสดงความเป็นกังวลออกมา
“ข้าว่าศิษย์น้องทำถูกแล้วนะในครั้งนี้ ไอ้เลวระยำฮั่นปู้เอ๋อนั่นได้เอามีดจอคอพวกเราไว้แล้ว แล้วจะให้พวกเรายอมให้มันเชือดทิ้งไปเฉยๆรึไงกัน”
“ไหนจะแก่นวิญญาณที่พวกเราลำบากลำบนหามาอย่างเลือดตาแทบกระเด็นยังถูกมันชิงไปต่อหน้าต่อตาอีก”
“เพื่อนกัว เจ้าก็รู้ไม่ใช่รึไงว่าถ้ากัปตันของพวกเราไปฆ่าฮั่นปู้เอ๋อจริงแล้วเจ้าคิดว่าผู้อาวุโสฮั่นจุยจะปล่อยพวกเราไปรึไงกัน”
“โอ้ยยย ข้าล่ะกลัวมันฆ่าตายจริงๆ” หลางซานเอ๋อพูดออกมาราวกับเสแสร้งแกล้งทำ “ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่รอดพ้นความตายอยู่แล้ว ถ้าหากฆ่าไอ้ฮั่นปู้เอ๋อไปได้ก็ย่อมดีกว่าการที่ยอมตกตายโดยมีสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจไม่ใช่รึไงกัน”
“พวกเราเองก็ออกหน้าในสงครามให้พวกมันหลายครั้งหลายครา แต่ไอ้เวรนั่นกลับไม่ส่งคนมาช่วยพวกเราเลยสักครั้ง นั่นคือสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำต่อกันรึไง”
“ถูกต้อง ต่อให้ต้องตายแต่อย่างน้อยก็ขอให้ลากไอ้ฮั่นปู้เอ๋อนั้นไปด้วยจะได้ไปกระทืบมันต่อในนรก”