ตอนที่ 125-2 ล่อเสือมาติดกับ

ชายาเคียงหทัย

ชายชุดดำคนที่เป็นหัวหน้าหยุดยืนนิ่ง กวาดตามองลูกธนูที่เรียงแถวอยู่กับพื้น แล้วขยับยกแขนซ้ายขวาของตนขึ้นสำรวจ แขนเสื้อด้านซ้ายเขามีรอยฉีกขาดเป็นแนวยาว

 

 

“องครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋อง ช่างไม่เสียชื่อจริงๆ” ชายในชุดดำเอ่ยเสียงขรึม

 

 

เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “ท่านกล่าวชมเกินไปแล้ว”

 

 

ดวงตาแข็งกร้าวของชายชุดดำหรี่ลงเล็กน้อย ในดวงตามีประกายเยียบเย็น “ชายาติ้งอ๋องหรือ”

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมอมยิ้มน้อยๆ “ถูกแล้ว ท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใดหรือ”

 

 

ชายชุดดำส่งเสียงหึเบาๆ “เจ้าไม่ต้องรู้ว่าข้าคือผู้ใด ขอเพียงรู้ว่าข้ามาเพื่อเอาชีวิตเจ้าเท่านั้นก็พอ”

 

 

เยี่ยหลีมิได้สนใจน้ำเสียงข่มขู่ของเขาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงเลิกคิ้วขึ้นยิ้ม “อ้อหรือ ข้าเองก็อยากรู้เช่นกันว่ามีสักกี่คนที่คิดอยากเอาชีวิตข้า ในเมื่อท่านมาแล้ว ก็อยู่ต่อสักหน่อยเถิด”

 

 

เพียงนางยกมือขึ้นให้สัญญาณ ก็มีลูกไฟสีแดงพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงที่ดังแหลมบาดหู ก่อนระเบิดออกเป็นดอกไม้สีแดงดอกยักษ์บนท้องฟ้า สีแดงประหลาดนั้นปกคลุมท้องฟ้าเหนือตำหนักติ้งอ๋องทั้งหมดไว้ในทันที บรรดาผู้ที่เงยหน้าขึ้นมองต่างรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นในใจ

 

 

ชายชุดดำอยู่ในความระแวดระวัง มิได้หันมองขึ้นไปบนฟ้า แต่กลับหันมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง ดูเหมือนจะมีบางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้นมาในความมืด ชายชุดดำเอียงหูหมายจะฟังเสียงโดยรอบให้ชัดเจน แต่ในยามที่ด้านนอกมีเสียงรบราฆ่าฟันดังไม่หยุดนี้ ต่อให้มีกำลังภายในล้ำเลิศอย่างเขา ก็ไม่มีทางได้ยินเสียงอันใดเป็นแน่

 

 

บนกำแพง เฟิ่งจือเหยาในชุดสีแดงกระโดดเข้าโจมตีนักฆ่าผู้หนึ่ง ก่อนหันมองบนท้องฟ้าด้วยสายตาชื่นชมแล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “พระชายา นี่คือดอกไม้อันใดกัน งามดีเหลือเกิน ไว้ข้าจะทำชุดใหม่แล้วปักลายดอกไม้นี้”

 

 

มุมปากเยี่ยหลีกระตุกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เอ่ยเรียบๆ ว่า “นี่คือดอกม่านจูซาหวา หรือมีอีกชื่อว่าปี่อั้นฮวา เป็นดอกไม้ชนิดเดียวที่มีอยู่ในยมโลก หรือที่เรียกกันว่า ดอกไม้แห่งความตาย”

 

 

เฟิ่งจือเหยาถึงกับชะงักไป จนเกือบตกลงมาจากกำแพง ยิ้มแห้งๆ กล่าวว่า “พระชายาล้อเล่นเก่งจริงเชียว”

 

 

“เฟิ่งซาน เจ้ามาเพื่อเล่นหรือ” ไม่รู้ม่อหวาปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงตั้งแต่เมื่อใด สายตาเยือกเย็นมองลงมายังกลุ่มคนที่อยู่ในลานด้านล่าง

 

 

“หึ ถึงกับบังอาจกล้าบุกรุกเข้ามาในเรือนประมุขของตำหนักติ้งอ๋อง คงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!” จางฉี่หลันอยู่ในชุดออกรบเต็มยศ มือถือปืนยาวยืนเด่นอยู่บนมุมหนึ่งของหลังคาเรือน เดิมทีเขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่อยู่แล้ว ยิ่งเขาเป็นทหารมาทั้งชีวิตยิ่งทำให้เขามีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาอย่างเต็มเปี่ยม ยามนี้เมื่อยืนอยู่บนกำแพงจึงยิ่งทำให้เขาดูประหนึ่งนั่งพร้อมออกรบอยู่บนหลังม้า

 

 

ชายในชุดดำรู้ตัวอย่างรวดเร็วว่าตนได้เข้ามาสู่วงล้อมของตำหนักติ้งอ๋องเสียแล้ว หากเป็นตามปกติพวกเขาควรพุ่งเข้าไปจับตัวชายาติ้งอ๋องเพื่อใช้ต่อรองให้ปล่อยพวกเขาออกไปโดยทันที เพียงแต่เมื่อเห็นชายาติ้งอ๋องยืนสงบนิ่งอยู่ใต้ชายคาโดยมีเพียงสาวใช้สองคนและชายคนหนึ่งยืนอยู่ข้างกาย ก็ทำให้พวกเขานึงลังเลใจขึ้นมาทันที หากพุ่งเข้าใส่นางจะเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นหลุมพรางอีกอย่างหนึ่ง

 

 

“ชายาติ้งอ๋องช่างมีแผนการที่ล้ำลึกยิ่งนัก ที่ยอมอดทนซ่อนตัวอยู่หลายวันเช่นนี้ ก็เพื่อจะล่อให้พวกข้าเข้ามาติดกับอย่างนั้นหรือ” ชายในชุดดำเอ่ยพร้อมมองจ้องเยี่ยหลีเขม็ง

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงใสว่า “เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับพวกท่านที่รวมหัวกันวางแผนตั้งแต่ท่านอ๋องของข้ายังไม่ทันไปจากเมืองหลวง พอท่านอ๋องไปได้ไม่เท่าไรพวกเจ้าก็ส่งคนเข้ามารังแกสตรีที่อ่อนแออย่างข้ากันไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน ข้ากลับรู้สึกว่าข้ามีศีลธรรมมากพอแล้ว หลายวันมานี้ เชื่อว่าพวกเจ้าคงเล่นสนุกกันพอแล้ว ยามนี้…คอยดูฝีไม้ลายมือของตำหนักติ้งอ๋องของข้าบ้างเป็นไร”

 

 

ด้านนอกกำแพง เดิมทีที่องครักษ์ตำหนักติ้งอ๋องดูจะเริ่มต้านไว้ไม่อยู่นั้น จู่ๆ สถานการณ์ก็กลับเปลี่ยนเป็นฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง มีองครักษ์อีกจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากความมืดเข้าไปร่วมวงต่อสู้ด้วย สถานการณ์ด้านนอกจึงประหนึ่งเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา ไม่มีนักฆ่าคนใดคิดที่จะกระโดดข้ามกำแพงเข้ามาในเรือนประมุขอีก โดยมากมีแต่คิดที่จะหนีออกไปเสียมากกว่า แต่เส้นทางออกจากตำหนักก็มีองครักษ์ฝีมือดีของตำหนักติ้งอ๋องขวางไว้อยู่เช่นกัน เมื่อถูกโจมตีจากสองทางพร้อมๆ กัน การต่อสู้ภายในตำหนักติ้งอ๋องจึงดุเดือดขึ้นอีกครั้ง

 

 

เมื่อรู้ตัวว่าพวกตนถูกล้อมไว้อยู่ภายใน ชายในชุดดำกลุ่มที่อยู่ในลานเรือนประมุขจึงเริ่มร้อนใจขึ้น มีนักฆ่าสามสี่คนที่ไม่รู้จัดคิดใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน กระชับอาวุธในมือพร้อมพุ่งตัวเข้าใส่เยี่ยหลีทันที จั๋วจิ้งและชิงหลวนที่ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยหลีออกไปขวางไว้

 

 

บนกำแพงสูง เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วมองสถานการณ์ในลานด้านล่าง เมื่อเห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ จึงหันกลับไปมองสำรวจสถานการณ์การต่อสู้ทางด้านนอก ก็เห็นว่าทุกที่ที่มีเงาดำเคลื่อนผ่านก็จะเหลือเพียงศพในชุดสีดำที่นอนสิ้นลมหายใจอยู่กับพื้นเท่านั้น

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็อดอุทานด้วยความชื่นชมไม่ได้ “พระชายาช่างมีฝีมือเป็นเลิศยิ่งนัก หากว่ากองทัพตระกูลม่อมีฝีมือเช่นนี้ ทั่วทั้งใต้หล้าและสี่มหาสมุทรจะไม่สงบเรียบร้อยอย่างไรได้”

 

 

ม่อหวาที่ยืนอยู่ข้างกายเขา มองตามสายตาเขาไป ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างเงียบๆ

 

 

เยี่ยหลีมองศพชายชุดดำสามสี่คนที่พุ่งเข้ามาก่อนเสียชีวิตลงท่ามกลางกองธนูระเกะระกะด้วยสายตานิ่งเรียบ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มคนที่เหลือ

 

 

ชายชุดดำคนที่เป็นหัวหน้าหัวเราะหึหึ ก่อนเอ่ยว่า “ดี ไม่เสียแรงที่เป็นตำหนักติ้งอ๋อง ไม่เสียแรงที่เป็นหน่วยเฮยอวิ๋นฉี เพียงแต่…พระชายาคิดว่าพวกเราจะเตรียมกันมาเพียงเท่านี้หรือ”

 

 

เยี่ยหลีค่อยๆ เดินออกมาจากชายคา มองชายชุดดำด้วยสายตาเรียบเฉย “ไม่ว่าพวกเจ้าจะเตรียมตัวกันมามากน้อยเพียงใด แต่วันนี้ข้าก็ไม่คิดให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดออกไป ท่านคงเป็นเจ้าสำนักเยี่ยซาที่แท้จริงสินะ”

 

 

ชายในชุดดำอึ้งไป ก่อนรีบหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว “ดูท่าคนของข้าคงบอกพระชายาไปหมดแล้ว ฝีมือดียิ่งนัก! ถ้าเช่นนั้น…ก็มาวัดกันให้รู้แพ้รู้ชนะเถิด!”

 

 

พูดจบ ชายชุดดำก็พุ่งทะยานเข้าใส่เยี่ยหลีทันที ระหว่างที่พุ่งตัวมายังสามารถหลบลูกธนูที่ยิงออกมาจากในมุมมืดได้อีกด้วย จั๋วจิ้งขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดยิงธนู

 

 

เยี่ยหลีมองชายชุดดำที่ทะยานเข้ามาหานางอยู่เงียบๆ ก่อนขยับเบี่ยงตัวหลบคมมีดเล็กน้อย มีดสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ไปทางข้อมือข้างที่ชายชุดดำถือมีดอยู่ ดวงตาของชายชุดดำมีแววประหลาดใจ

 

 

ชายชุดดำขยับมีดในมือ ปัดการโจมตีของเยี่ยหลี เยี่ยหลีส่งเสียงหึเบาๆ ยกกริชในมือขึ้นเหนือมีดเล่มใหญ่ พร้อมปล่อยกริชในมือแล้วยื่นอีกมือมารับไว้อย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งกริชเข้าใส่ซี่โครงด้านซ้ายของชายชุดดำ

 

 

กริชของเยี่ยหลีเป็นกริชที่ม่อซิวเหยาให้ช่างฝีมือตีขึ้นตามแบบที่นางวาดขึ้นมาเองกับมือ ซึ่งไม่เพียงเป็นแบบที่แปลกประหลาดเท่านั้นแต่ยังคมกริบอีกด้วย ในขณะที่ดาบใหญ่กระทบกับดาบเล็ก ก็เกิดประกายไฟกระจายออกมาอย่างไม่น้อยหน้า ซ้ำยังได้ทิ้งรอยขีดข่วนลงบนดาบใหญ่อีกด้วย ในขณะที่กริชเล่มเล็กกลับไม่เป็นอันใดเลยแม้แต่น้อย ยังคงส่องประกายสว่างไปทั่วทุกทิศทาง

 

 

ชายชุดดำหลบหลีกการโจมตีของเยี่ยหลีอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองจ้องเยี่ยหลีดูอันตรายยิ่งขึ้น เดิมทีเขามิได้เห็นชายาติ้งอ๋องอยู่ในสายตา ด้วยเพราะกำลังภายในของชายาติ้งอ๋องนั้นไม่อาจเรียกว่าฝีมือดีด้วยซ้ำ เพียงถือว่าไม่เลวเท่านั้น แต่เพียงแค่การประมือกันช่วงสั้นๆ ชายาติ้งอ๋องที่ยังมิได้ใช้กำลังภายในเลยแม้แต่น้อยกลับทำให้เขาต้องเกือบเสียเปรียบ หากสตรีผู้นี้มีวิชากำลังภายในล้ำเลิศอีกอย่างแล้ว ชายชุดดำมิกล้าคิดจริงๆ ว่าตนจะเป็นคู่ต่อสู้ของนางได้หรือไม่

 

 

เยี่ยหลีเองก็มิได้คิดจะต่อสู้กับอีกฝ่ายเต็มกำลังอยู่แล้ว เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบถอยอออกมาอยู่ในระยะที่ปลอดภัย มองชายชุดดำด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้าสำนักเยี่ยซา ก็เพียงเท่านี้เองหรือ จับตัวไปเถิด”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งพยักหน้า ส่งสัญญาณมือให้กับคนที่อยู่ในความมืด

 

 

เงาในความมืดปรากฏตัวขึ้นในลานอย่างเงียบๆ เริ่มเข้าต่อสู้กับชายชุดดำโดยไม่เอ่ยอันใดจนนิดเดียว กระบวนท่าวิทยายุทธของคนเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับเยี่ยหลีอยู่หลายส่วน หากลองประเมินดูดีๆ แล้ว ชายชุดดำยังห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของคนกลุ่มนี้มากนัก แต่การที่พวกเขาออกอาวุธได้อย่างแม่นยำนั้นกลับทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก หากโดนมีดหรือหมัดเข้าไปที่ตัวของชายชุดดำเพียงทีเดียว จะต้องทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บไม่น้อยเป็นแน่

 

 

พวกเขาร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี ยิ่งมีพลแม่นธนูคอยช่วยจากในความมืดด้วยแล้ว จึงใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อ (สิบห้านาที) ก็สามารถจัดการนักฆ่าภายในลานทั้งหมดได้ ส่วนพวกเขามีกันอยู่เพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก

 

 

เจ้าสำนักเยี่ยซาถูกคนสะกัดจุดไว้ ซ้ำยังถูกเชือกมัดไว้ด้วยวิธีการประหลาด เยี่ยหลีเดินเข้าไปพร้อมยิ้มเรียบๆ “ได้ยินว่าฐานะที่แท้จริงของเจ้าสำนักนั้นช่างลึกลับยิ่งนัก แม้แต่สำนักข่าวที่เก่งกาจที่สุดอย่างเทียนอี้เก๋อก็ยังไม่รู้ ดูท่าวันนี้ข้าคงจะสามารถไขความกระจ่างของความลึกลับในข้อนี้ได้แล้วกระมัง”

 

 

จั๋วจิ้งยื่นมือเข้าไปดึงหน้ากากของชายชุดดำออก เผยให้เห็นใบหน้าของชายวัยสี่สิบกว่าปีที่ดูดุดัน เยี่ยหลีมองใบหน้าไม่คุ้นตานั้นด้วยความสงบนิ่ง เฟิ่งจือเหยาที่ยืนคอยสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงมาตลอด มายามนี้ถึงกับกระโดดลงมาจากบนกำแพง จ้องเขม็งไปยังชายชุดดำก่อนเอ่ยด้วยความตกใจว่า “มู่ฉิงชัง!”